ชะตาฟ้าหาญกล้าท้ายอดคน – ตอนที่ 240 เมืองหมอก

ชะตาฟ้าหาญกล้าท้ายอดคน

ตอนที่ 240 เมืองหมอก

คนอื่นๆ ต่างลอบถอนหายใจ

หยางเจินกล่าวอย่างเรียบเฉย “ไปเตรียมตัวเถอะ”

“ครับ” ทุกคนรับคำ ค่อยๆ ทยอยเดินออกไป เหลืออยู่เพียงเหยาเทียนมี่ผู้เป็นน้องสี่ที่ไม่ได้ขยับไปไหน ตามแผนแล้วเขาก็ต้องอยู่ที่นี่

กระทั่งทุกคนออกไปจนหมด หยางเจินจึงเอ่ยถามอีกครั้ง “สามตระกูลใหญ่สมรู้ร่วมคิดกับพวกโจรกบฏหรือเปล่า?”

เหยาเทียนมี่กล่าว “เรื่องสมรู้ร่วมคิดคงไม่ถึงขนาดนั้น แต่ธุรกิจใหญ่โตถึงขั้นนี้ การจะมีการติดต่อกันบ้างย่อมเป็นเรื่องที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้”

หยางเจิน “ฉันต้องการหลักฐาน หลักฐานที่แน่นหนา!”

เหยาเทียนมี่ “ท่านสองวางใจได้ มีแน่ครับ”

หยางเจินเดินลงมาจากแท่นไพศาล ก้าวไปที่หน้าประตู สองมือไพล่ไว้ด้านหลัง ขนนกที่ประดับอยู่บนมงกุฎสีม่วงพริ้วไหวไปตามแรงลม เขาทอดตามองไกลออกไปทางเมืองหลวงที่เจริญรุ่งเรือง สายตาดูสงบเยือกเย็นเป็นอย่างมาก

……

เมืองเซินยวน สถานที่นี้หน้าตาเป็นเหมือนชื่อของมัน ทั่วทุกพื้นที่คือหุบเหวลึกหมื่นจั้ง ประกอบกันขึ้นมาจากผาสูงชันนับหมื่นแห่ง

ภายใต้แสงอาทิตย์ยามเช้าที่สาดส่อง แสงสว่างส่องผ่านหน้าผาที่เป็นเหมือนเสาหินขนาดใหญ่แห่งแล้วแห่งเล่า เกิดเป็นม่านแสนนับพันนับหมื่นตัดผ่านลงไปในหุบเหวลึก ดูคล้ายดินแดนความฝันในจินตนาการ ทั้งยังยิ่งใหญ่อลังการ

ระหว่างหน้าผาแต่ละแห่งล้วนสร้างสะพานเชื่อมต่อกันไว้ทุกทิศทาง เมื่อมองลงไปจากบนอากาศจะเห็นเป็นโครงสร้างเหมือนกับใยแมงมุม

หน้าผาแต่ละแห่งถูกเจาะเป็นโพรงที่สามารถใช้เป็นที่อยู่อาศัยของคนได้ คนที่สามารถอาศัยอยู่บนคฤหาสน์ที่อยู่ด้านบนที่เปิดโล่งได้นั้นล้วนเป็นอภิสิทธิ์ชนที่อยู่ในเมืองเซินยวนแห่งนี้

ส่วนภายในหุบเหวด้านล่าง เนื่องจากปัญหาเรื่องแสงสว่าง มันจึงเรียกได้ว่าเป็นเมืองที่ไม่เคยหลับใหลเมืองหนึ่งเลยก็ว่าได้

หลัวคังอันที่ลงมาจากเรือคุนกางแขนทั้งสองข้างพร้อมยืดอก หัวเราะเหอะๆ เขาไม่ได้มาที่นี่เป็นครั้งแรก

ในฐานะที่เป็นผู้บำเพ็ญเพียรของดินแดนเซียน ไม่ว่าจะเป็นคนของทางการ หรือไม่ใช่คนของทางการ ใครบ้างจะไม่อยากมาดูตลาดมืดที่ใหญ่ที่สุดของทุกดินแดนล่ะ?

ว่ากันว่าองค์จักรพรรดิกับฮองเฮาก็เคยปลอมตัวเสด็จมาเยือนที่นี่เช่นกัน

เช่นนี้แล้วผู้คนจากทั่วทุกดินแดนที่หลั่งไหลมายังตลาดมืดจะมีจำนวนเท่าไหร่? นับไม่ถ้วน มหาศาล

แล้วก็เป็นเพราะจำนวนคนอันมากมายมหาศาลที่หลั่งไหลมาที่นี่ เมืองเซินยวนถึงได้ถือกำเนิดขึ้นมา มีเมืองหมอกเกิดขึ้นก่อน หลังจากนั้นถึงมีเมืองเซินยวน ไม่อย่างนั้นคนทั่วไปคงไม่มีใครยอมอาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมแบบนี้เป็นเวลายาวนานได้

เมืองเซินยวนมีผู้พิทักษ์เมืองจำนวนมากคอยให้ความคุ้มครองอยู่ คนที่เข้าออกเมืองหมอก หรือว่าคนที่จะไปทำธุระอะไรที่เมืองหมอกล้วนแต่ใช้เมืองเซินยวนเป็นจุดแวะพักสำหรับพักผ่อนและตั้งหลักกัน เพื่อความสะดวกในการทำงานแล้ว กลุ่มอิทธิพลต่างๆ จำนวนมากก็ล้วนมีการจัดตั้งเครือข่ายของตนเองเอาไว้ที่นี่ด้วย ดังนั้นความสัมพันธ์ของคนที่นี่จึงค่อนข้างซับซ้อน

และเนื่องจากพื้นที่แถบนี้เป็นดินแดนรกร้างกว้างใหญ่ มีสัตว์ประหลาดดุร้ายเพ่นพ่าน สภาเซียนเลยให้เมืองเซินยวนเป็นศูนย์กลางการขนส่ง คนส่วนใหญ่ที่คิดจะไปกลับเมืองหมอกอย่างปลอดภัย โดยส่วนมากแล้วจะต้องมาตั้งหลักกันที่นี่ก่อนแล้วค่อยวางแผนการเดินทางขั้นต่อไป

การเดินทางเข้าออกของผู้คนจำนวนมากได้สร้างความเจริญรุ่งเรืองให้แก่เมืองเซินยวน เห็นลักษณะพื้นที่ดูโหดร้ายและอันตรายแบบนี้ แต่ระดับความเจริญรุ่งเรืองของที่นี่กลับไม่ใช่สิ่งที่เมืองปู๋เชวี่ยจะเทียบได้เลย เมื่อเทียบกันแล้วผู้คนที่นี่ก็ค่อนข้างร่ำรวย นี่จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้มีคนยอมมาอาศัยอยู่ที่นี่

เพราะว่าโอกาสค่อนข้างเยอะ ถึงขั้นที่มีคนที่ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองอื่นต่อไปไม่ได้มาแสวงหาโอกาสกันที่นี่

และนี่ก็คือเมืองเซินยวน เมืองเซินยวนคือสถานที่แบบนี้

“ไป” หลินยวนเรียกหลัวคังอันแล้วเดินออกไป เมื่อก่อนเขามาที่นี่บ่อย คุ้นเคยกับสถานที่แห่งนี้มากกว่าหลัวคังอันที่เพียงแค่เคยมาที่นี่เพื่อเปิดหูเปิดตาเท่านั้น

พวกเขาไม่ได้ไปพักในตัวเมือง หลินยวนเดินนำเขาไปที่พาหนะโบยบินที่จะเดินทางไปเมืองหมอก เป็นพาหนะที่ถูกควบคุมโดยผู้พิทักษ์เมือง

พาหนะโบยบินที่สะท้อนประกายโลหะอยู่ภายใต้แสงอาทิตย์ลำแล้วลำเล่าบินขึ้นลงอยู่บนหน้าผาแห่งหนึ่ง เดินทางครั้งหนึ่งสามารถบรรทุกผู้โดยสารได้เป็นร้อยคน ราคาค่าโดยสารครั้งหนึ่งก็ไม่ใช่ถูกๆ เรียกได้ว่ากำไรดีมากทีเดียว!

แน่นอน จะเลือกไม่นั่งพาหนะนี้ก็ได้ จะบินไปเองก็ได้ แต่สถานที่แห่งนี้ค่อนข้างซับซ้อน อาจจะพบเจออันตรายได้ง่าย การโดยสารพาหนะโบยบินที่มีผู้พิทักษ์เมืองคุ้มครองนั้นค่อนข้างปลอดภัยมากกว่า

เมืองหมอกจะว่าอยู่ไกลจากเมืองเซินยวนก็ไม่ใช่ จะว่าอยู่ใกล้ก็ไม่เชิง การนั่งพาหนะโบยบินไปก็ต้องใช้เวลาประมาณสองชั่วยามครึ่งเหมือนกัน

การที่หุบเขาหมอกวิญญาณกลายเป็นตลาดมืดที่ใหญ่ที่สุดในดินแดนเซียนได้ก็ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล ไม่เพียงแต่ภูมิประเทศที่มีความสลับซับซ้อนเป็นอย่างมาก แต่ยังเป็นเพราะบนพื้นดินด้านบนมีหมอกหนาทึบปกคลุมอยู่ตลอดทั้งปี อยู่ห่างออกไปแค่สิบจั้งก็แทบจะมองอะไรไม่เห็นแล้ว ส่วนใต้พื้นดินก็เป็นเหมือนเขาวงกตที่สลับซับซ้อน อีกทั้งพื้นดินยังมีความแข็งเป็นอย่างมากด้วย

จึงทำให้ที่นี่เป็นสถานที่ที่สะดวกแก่การหลบหนีเมื่อเกิดเรื่องขึ้น

เด็ดขาดเกินไปไม่สู้ผ่อนคลายสักหน่อย การจะหยุดเรื่องบางเรื่องให้เด็ดขาดเลยนั้นไม่สามารถทำได้ ถ้าบีบจนคนที่ทำอาชีพเหล่านี้หนีไปจนยิ่งซ่อนตัวลึกและไม่มีร่องรอยให้ตามหาได้ล่ะก็ หากมีเรื่องต้องจัดการขึ้นมามันจะยิ่งยุ่งยากมากขึ้นกว่าเดิม และเพื่อที่จะได้สะดวกแก่การควบคุมแล้ว สภาเซียนจึงจะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นกับเรื่องพวกนี้ไป ไม่อย่างนั้นถ้าฝืนใช้ไม้แข็งมาจัดการอย่างรุนแรง คนที่มารวมตัวกันอยู่ที่นี่ก็คงจะหนีกระจัดกระจายกันไปตั้งนานแล้ว

บนหน้าผาที่สูงที่สุดของเมืองหมอกก็มีพาหนะโบยบินหลายลำบินขึ้นบินลงอยู่เช่นกัน หลินยวนกับหลัวคังอันเดินออกมาจากพาหนะโบยบินที่ลงจอด พวกเขาไม่ได้หยุดทำอะไรทั้งนั้น หากแต่เดินลงจากเขา เข้าไปสู่ทะเลหมอกที่กว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา

ยิ่งเดินทางลงจากเขาไปมากเท่าไหร่ แสงก็ยิ่งสลัวลง ตอนที่ไปถึงตีนเขา เรียกได้ว่ามาถึงโลกที่มืดสลัวอย่างแท้จริงก็ว่าได้

บนถนนหนทางที่นี่ไม่มีรถยนต์ แล้วก็ไม่มีทางที่จะมีรถยนต์ด้วย เพราะที่นี่ไม่มีถนนเหมือนอย่างเมืองทั่วๆ ไป ทุกที่ล้วนเป็นทางเดินขรุขระ เนื่องจากลักษณะทางธรณีวิทยา พื้นทางเดินของที่นี่จึงค่อนข้างแข็ง ล้วนเป็นพื้นทางเดินที่เป็นก้อนหิน

ร้านค้าที่มาเปิดที่นี่ก็ตั้งกระจัดกระจายกัน ถ้าไม่เดินเข้าไปดูใกล้ๆ ก็ไม่รู้ว่าเป็นร้านอะไร

แต่แน่นอน ทุกคนต่างก็รู้กันดีอยู่แล้ว ของที่วางขายอยู่ในร้านไม่แน่ว่าจะเป็นของที่ทางร้านอยากจะขายจริงๆ ส่วนใหญ่แล้ววางขายอย่างหนึ่งแต่กลับขายอีกอย่างหนึ่ง เหมือนแขวนหัวแพะแต่กลับขายเนื้อหมา

โดยส่วนใหญ่แล้วก็ไม่มีใครเคยเห็นทิวทัศน์ทั้งหมดของเมืองหมอกอย่างชัดเจนเช่นกัน มีเพียงวันที่สภาพอากาศดีสุดๆ เท่านั้นที่หน้าตาของเมืองหมอกอาจจะปรากฏขึ้นมาให้เห็น

เวลาที่โลกเป็นสีขาวก็คือตอนกลางวัน เวลาที่โลกเป็นสีดำก็คือตอนกลางคืน

มาตรว่าตอนนี้จะเป็นเวลากลางวัน แต่ในร้านค้าส่วนใหญ่ก็ยังเปิดไฟอยู่

คนที่เดินผ่านข้างกายไปเป็นระยะๆ ล้วนไม่รู้ว่าใครเป็นใคร ที่นี่น้อยคนนักที่จะเปิดเผยใบหน้าที่แท้จริงกัน

หลินยวนเดินไปตามถนนขรุขระ ประเดี๋ยวก็เดินตรงไป ประเดี๋ยวก็เลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวา ดูคุ้นเคยกับเส้นทางเป็นอย่างดี หลัวคังอันที่มองซ้ายทีขวาทีทำได้เพียงเดินตามหลังเขาไป หลัวคังอันนับว่ามองออกแล้ว น้องหลินคนนี้คล้ายจะคุ้นเคยกับที่นี่อย่างมาก

หลัวคังอันบ่นพึมพำในใจ คนที่เรียนอยู่หลิงซานมาสามร้อยปีแต่เรียนไม่จบ เห็นทีคงจะไม่ได้สนใจเรื่องการเรียนเท่าไร ไม่อย่างนั้นจะคุ้นเคยกับสถานที่แบบนี้ได้อย่างไร

หลังเดินไปได้ระยะหนึ่ง หลินยวนก็มาหยุดที่หน้าประตูร้านค้าร้านหนึ่งที่เจาะทะลุเข้าไปในภูเขาหินตรงมุมของภูเขาลูกหนึ่ง ป้ายในร้านค้าได้ถูกเอาออกไปแล้ว สิ่งของภายในร้านก็ถูกขนออกไปจนหมดแล้วเช่นกัน

หลังยืนสำรวจอยู่ตรงหน้าประตูสักพัก หลินยวนก็เดินตรงเข้าไป

ภายในร้านค้าที่ว่างโล่งมีเพียงเก้าอี้โยกหนึ่งตัว บนเก้าอี้นอนไว้ด้วยคนคนหนึ่ง คนคนนั้นจ้องมองคนสองคนที่เดินเข้ามา นิ่งเงียบไม่เอ่ยทักทาย เพียงแค่จ้องมองทุกความเคลื่อนไหวของทั้งสองคนด้วยใบหน้าไร้อารมณ์

หลินยวนพลิกฝ่ามือหยิบดอกไม้สีแดงออกมาหนึ่งดอก โยนไปบนร่างของอีกฝ่าย

คนที่อยู่บนเก้าอี้โยกหยิบดอกไม้สีแดงที่อยู่ตรงท้องขึ้นมาดู ลุกขึ้นยืน กล่าวกับหลินยวนว่า “เรื่องเช่าจัดการเรียบร้อยแล้ว นี่คือใบรับรอง! จะทำอะไรก็ไปลงทะเบียนที่ ‘เรือนสุขสันต์’ เอาเอง” หลังจากให้ใบรับรองแล้ว คนคนนั้นก็เดินออกไป ไม่ได้พูดอะไรมาก และไม่ได้ถามอะไรมากด้วย แค่ทำตามสิ่งที่ได้รับมอบหมายมาหลังจากได้สัญญาณแล้วก็จากไป

หลัวคังอันมองดูเขาจากไป ก่อนจะหันกลับมาถามหลินยวนว่า “นั่นใคร?”

หลินยวนที่กวาดตามองไปทั่วๆ ร้านค้าตอบกลับ “ไม่รู้”

“เอ่อ…” หลัวคังอันหมดคำพูด พูดแบบนี้มันไม่เหลวไหลไปหน่อยเหรอ ใครก็ไม่รู้เอาร้านค้าในเมืองหมอกมาให้นายเนี่ยนะ? เพราะว่าค่าเช่าร้านค้าในเมืองหมอกไม่ใช่ถูกๆ ยิ่งไปกว่านั้นไม่ใช่นึกอยากจะเช่าก็เช่าได้เลย คนที่นี่ส่วนใหญ่ล้วนทำเรื่องที่ผิดกฏหมาย ใครจะไว้ใจกันได้ง่ายๆ ล่ะ?

แต่คนคนนี้มาถึงก็ได้ร้านค้ามาร้านหนึ่งเลย ตัวเขาเองก็ไม่ได้บอกฉินอี๋ว่าพวกเขาจะทำเรื่องนี้ เขาเชื่อว่านี่ไม่ใช่ฝีมือของทางหอการค้าตระกูลฉินด้วยเช่นกัน แต่ไหนแต่ไรมาคนคนนี้แอบทำอะไรลับหลังไม่เคยให้หอการค้าตระกูลฉินรับรู้อยู่แล้ว และจากเรื่องนี้ก็พอจะคาดเดาได้เลยว่าความสามารถของคนคนนี้ไม่ธรรมดาจริงๆ แม้แต่ร้านในเมืองหมอกก็เอามาได้ง่ายๆ

หลินยวนว่า “ตรวจดูหน่อย เอาให้ละเอียดหน่อย”

หลัวคังอันรับคำ ทั้งสองคนรีบตรวจค้นทั่วทั้งร้านค้าโดยละเอียดทันที

นี่คือร้านค้าที่ตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยว ภายในแบ่งเป็นสองห้อง ด้านบนยังมีพื้นที่สำหรับอยู่อาศัยอีกชั้นหนึ่ง สถานที่ไม่ได้ใหญ่ ถึงแม้จะเล็กแต่ก็มีข้าวของเครื่องใช้ครบครัน

เมื่อกลับมาเจอกัน หลังจากแน่ใจแล้วว่าไม่มีปัญหาอะไร หลินยวนก็ส่งกระดาษโน้ตใบหนึ่งให้เขา “ฉันจะไปลงทะเบียนที่ ‘เรือนสุขสันต์’ ส่วนแกไปสั่งทำของตามที่อยู่นี้”

หลัวคังอันก้มหน้ามองดู นอกจากที่อยู่แล้ว ในกระดาษนั้นยังเขียนพวกของอย่างถัง กะละมัง ชั้นวางของ ถุงผ้า และถุงผ้าแพรอะไรแบบนั้นไว้ด้วย เขาอดไม่ได้ที่จะเงยหน้าขึ้นมาด้วยความแปลกใจ กล่าวว่า “เอาของพวกนี้ไปทำไม? นายคงไม่ได้คิดจะมาเปิดร้านที่นี่จริงๆ ใช่ไหม?”

หลินยวนกล่าว “จะขายเครื่องหอม ก็ต้องมีของพวกนี้ จะให้วางขายที่พื้นก็ไม่ได้หรือเปล่า? เรื่องแค่นี้แกคงทำได้ใช่ไหม”

หลัวคังอันค่อนข้างตะลึง “นายจะมาเปิดร้านขายเครื่องหอมจริงๆ เหรอ? ไม่สิ! พวกเราต้องไปหาของที่ดินแดนแห่งความฝัน ไม่ใช่มาขายของอยู่ที่…”

ผัวะ! เขาลอยออกไป ถูกหลินยวนเตะจนกระเด็นออกไป กระแทกเข้ากับกำแพงแล้วร่วงลงมาที่พื้น พยายามปีนขึ้นมาพลางส่งเสียงไอค่อกแค่ก

หลินยวนค่อยๆ ก้าวเข้าไปใกล้ “ที่นี่ไม่ใช่เมืองปู๋เชวี่ย ฉันจะพูดอีกครั้งนะ ตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไป ระวังปากของแกให้ดี เรื่องที่ไม่ควรพูดอย่าให้หลุดรอดออกไปแม้แต่คำเดียว ถ้าแกอยากตายจริงๆ ก็อย่ามาทำให้ฉันลำบากไปด้วย ฉันจะช่วยสงเคราะห์แกให้!”

“อืมๆ …ลืมตัว ลืมตัวน่ะ จำได้แล้ว ไม่ทำแล้ว ไม่มีครั้งหน้าแล้ว” หลัวคังอันใช้มือหนึ่งกุมท้อง มืออีกข้างยกขึ้นมา ทำท่าเหมือนบอกให้หยุด ขอร้องว่าอย่าทำอีกเลย รสชาติของการถูกอัดแบบนี้มันไม่น่าอภิรมย์เลย

หลินยวนพบว่าคนคนนี้เป็นคนที่ถ้าไม่ตีก็ไม่หลาบจำ “พวกเรามีเวลาไม่มาก ไปทำเรื่องที่แกควรทำซะ ฉันจะเตือนแกอีกครั้ง สถานการณ์ที่นี่ซับซ้อนอย่างมาก คนที่แกพบเจอไม่รู้เลยว่ามีเบื้องหลังอะไร ระวังปากให้ดี อย่าเที่ยวพูดจาส่งเดช!”

“อืมๆ ” หลัวคังอันพยักหน้ารัวๆ เอี้ยวตัวไปหยิบกระดาษที่พื้น เดินตัวแนบชิดกำแพง จากนั้นถึงจะวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว

จากนั้นหลินยวนก็ออกไปเช่นกัน เขาตรงไปที่เรือนสุขสันต์ หยิบเอาใบรับรองออกมา ลงทะเบียนด้วยนามแฝงของเขากับหลัวคังอันเพื่อทำการแจ้งว่าที่ร้านจะขายอะไรทำนองนั้น

หลังจากคนของเรือนสุขสันต์ตรวจสอบแล้วว่าใบรับรองที่นำมาแสดงไม่มีปัญหาอะไร เรื่องอื่นๆ ก็ไม่ได้ถามอะไรมาก หลังจากได้รับเงินค่าลงทะเบียนแล้วก็มอบเอกสารที่ระบุกฎเกณฑ์ที่ควรรู้ให้ฉบับหนึ่ง

ส่วนเรื่องที่ทั้งสองคนเป็นใครมาจากไหน ชื่อที่ใช้เป็นชื่อจริงหรือเปล่า จุดประสงค์ที่แท้จริงของการค้าขายเครื่องหอมคืออะไร เรือนสุขสันต์ไม่ได้ถามแม้แต่นิดเดียว

การที่ให้มีการลงทะเบียนแบบนี้ก็เพียงเพื่อจะอธิบายกฎเกณฑ์ให้ฟังเท่านั้น

ที่สว่างมีกฎของที่สว่าง ที่มืดก็มีกฎของที่มืดเช่นกัน ถ้าไม่มีแม้แต่กฎขั้นพื้นฐานที่สุดล่ะก็ ทุกคนก็จะอยู่กันอย่างไม่สบายใจ เรือนสุขสันต์ก็คือหน่วยงานที่คนของเมืองหมอกร่วมกันสร้างขึ้นมาหลังจากเกิดความวุ่นวาย หลังความวุ่นวายก็จำเป็นต้องมีกฎที่เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา

ถ้าละเมิดกฎทุกคนก็จะร่วมมือกันจัดการ ร่วมมือกันบีบให้เจ้าของร้านส่งต่อร้านให้คนอื่น กดดันจนไม่สามารถปักหลักอยู่ในเมืองหมอกได้ เผลอๆ อาจจะถึงขั้นที่ต้องตายกันไปเลยก็ได้

………………………………………………………..

ชะตาฟ้าหาญกล้าท้ายอดคน

ชะตาฟ้าหาญกล้าท้ายอดคน

Status: Ongoing
อดีตแมงดาหวนคืนสู่มาตุภูมิในรอบ 300 ปี หวังจะใช้ชีวิตอย่างสงบเพื่อหลบเลี่ยงเรื่องบางอย่าง แต่กลับต้องเข้าไปพัวพันกับการประมูลเทพมหาวิญญาณและการชิงอำนาจจนเสี่ยงจะถูกเปิดเผยตัวตน?!อีก 1 ผลงานใหม่จากนักเขียนระดับแพลตตินัมของ Qidian ‘เยวี่ยเชียนโฉว’ผู้เขียนเรื่อง < พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า > และ < ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า >ณ แดนเซียนในยุคปัจจุบัน‘หลินยวน’ อดีตแมงดา เดินทางกลับมายังมาตุภูมิพร้อมกับตัวตนใหม่ด้วยหวังจะใช้ชีวิตอย่างสงบเพื่อหลบเลี่ยงเรื่องบางอย่างแต่ด้วยความจำเป็น เขาจึงต้องเข้าไปทำงานในบริษัทของคนรักเก่าที่เขาเคยหลอกใช้ในฐานะผู้ช่วยของ ‘หลัวคังอัน’ จอมลวงโลกที่โกหกว่าตัวเองคือผู้ทำให้ ‘ป้าหวัง’ 1 ใน 13 มารสวรรค์บาดเจ็บสาหัสและนั่นคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้หลินยวนต้องเข้าไปพัวพันกับการประมูล ‘เทพมหาวิญญาณ’ซึ่งเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์จำนวนมหาศาลและการชิงอำนาจระหว่างตระกูลจนเสี่ยงต่อการถูกเปิดเผยตัวตนที่แท้จริง?!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท
Close Ads ufanance
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตออนไลน์
Click to Hide Advanced Floating Content สมัคร ufabet
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตฟรีสปิน