ตอนที่ 258 มีคนอยากจะเข้าร่วม
กล่าวจบก็จะไปจัดการ
เผิงซีกลับยื่นมือมาขวางเขาเอาไว้ “เขาเพิ่งจะเข้าไปในดินแดนแห่งความฝัน ยังไม่ต้องรีบ ตอนที่ติดต่อเฮยเหย่ต้องระวังหน่อย คนผู้นี้ตัวตนไม่แน่ชัด อย่าทำให้ตัวตนเราถูกเปิดเผยออกไป”
ชิงจั๋วกล่าว “เรื่องนี้คุณชายวางใจได้ครับ ทางนั้นขอเพียงมีเงินให้ ไม่ว่าใครไปหาก็ไม่มีทางถามอะไรมากครับ”
เผิงซีกล่าว “คนที่พวกเราจะไปเข้าร่วมด้วยยังไม่ตอบอะไรกลับมาเหรอ?”
ชิงจั๋วกล่าว “ยังไม่ตอบกลับมาครับ บอกแค่ให้พวกเรารอครับ ความคิดของพวกเขาก็พอจะเข้าใจได้อยู่ จะต้องระมัดระวังอยู่แน่ ถ้าไม่สืบเรื่องของพวกเราจนรู้แน่ชัด ก็น่าจะไม่ยอมรับพวกเราง่ายๆ” กล่าวจบก็อดถอนใจออกมาไม่ได้
เขาเองก็คิดไม่ถึงว่าตัวเองจะมีวันที่ขึ้นมาเดินบนเส้นทางของโจรกบฏด้วย
อย่าว่าแต่เขาเลยที่คิดไม่ถึง ก่อนหน้านี้เผิงซีเองก็คิดไม่ถึงว่าตัวเองจะเดินมาถึงจุดนี้ได้ แต่เขาก็ไม่รู้จะทำอย่างไร ตัวเขาที่ตอนนี้เป็นอาชญากรที่ทางสภาเซียนต้องการตัวไม่สามารถทำอะไรอย่างเปิดเผยได้ ในเมื่อถูกบีบจนถึงขนาดนี้แล้ว ไม่ว่าเดินทางไหนก็เหมือนกัน เช่นนั้นแทนที่จะอยู่อย่างหลบๆ ซ่อนๆ ไม่ได้เห็นเดือนเห็นตะวัน มิสู้เดินไปบนเส้นทางหนึ่งจนสุดทางดีกว่า
พูดอีกอย่างก็คือตอนนี้เขาติดต่อกับทางเศษเดนราชวงศ์ก่อนไปแล้ว ในตอนที่ราชวงศ์ปัจจุบันไม่ยอมรับเขา เขาก็ได้แต่ต้องเปลี่ยนทางเดิน
เขาอายุยังน้อย ไม่ยอมที่จะหายไปเงียบๆ เช่นนี้ ยังอยากจะประสบความสำเร็จอยู่ เขาเชื่อว่าด้วยความสามารถของตนเองแล้ว ไม่ว่าจะเดินไปบนเส้นทางไหนก็ล้วนแต่จะต้องประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน
ขอเพียงเดินไปบนเส้นทางนี้ได้ มันก็เป็นเส้นทางที่สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ จะคิดบัญชีกับใครก็ทำได้สะดวกเช่นกัน เป็นเส้นทางแห่งบุญคุณความแค้น เมื่อถึงตอนนั้นหนี้เลือดก็ต้องชำระคืนด้วยเลือด คิดบัญชีทั้งต้นทั้งดอก!
ก่อนหน้าที่หอการค้าตระกูลโจวจะล้มละลายก็ทำธุรกิจใหญ่โตไม่น้อยเช่นกัน ก็เหมือนอย่างหอการค้าตระกูลอู หอการค้าตระกูลฉวี่และหอการค้าตระกูลเผยที่ก่อนหน้านี้ก็ทำธุรกิจใหญ่โต การติดต่อกับคนประเภทต่างๆ จึงเป็นเรื่องที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ เส้นทางบางเส้นตัวเขาก็พอจะรู้ว่าอยู่ตรงไหน เพียงแต่ก่อนหน้านี้ไม่กล้าไปข้องเกี่ยวกับมัน แสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นเท่านั้น จะได้ไม่มีปัญหาอะไร แต่ในเวลานี้เขาย่อมไม่กลัวปัญหาอะไรเหล่านั้นแล้ว
“ในเมื่อไม่เชื่อพวกเรา อย่างนั้นก็รอไปก่อนแล้วกัน” เผิงซีถอนใจ
……
ณ เมืองหลวงของดินแดนเซียน บนยอดเขาที่มีเมฆหมอกลอยเอื่อยแห่งหนึ่ง
ในสถานที่อย่างเมืองหลวงนี้ คนทั่วไปไม่มีสิทธิ์ได้อาศัยอยู่บนยอดเขา ต่อให้มีเงินก็ไม่ได้ คนที่สามารถอยู่บนยอดเขาได้ล้วนแต่เป็นคนที่ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเทพ
อาคารที่พักที่สามารถตั้งอยู่บนยอดเขาได้ล้วนแต่เป็นสถานที่ที่เรียกกันว่าวังเทพ
ด้านบนประตูของวังเทพที่ตั้งอยู่บนยอดเขาแห่งนี้มีตัวอักษรขนาดใหญ่เขียนเอาไว้ว่า : ‘วังเทพตรวจสวรรค์’
วังเทพตรวจสวรรค์ ตรวจสอบทุกดินแดน มีหน้าที่ตรวจสอบเทพเซียนของทุกดินแดน ไม่มีอำนาจในการจัดการ หากพบผู้กระทำผิดต้องรายงาน!
คนผู้หนึ่งบินจากทางวังเซียนมาที่นี่ ผู้ที่มามีรูปร่างผอมสูง หนวดเครายาวสามเส้น บุคลิกทรงอำนาจน่าเกรงขาม สวมชุดแพรเฉียนคุนของขุนนางที่ทำงานอยู่ในสภาเซียน บนร่างมีแสงสว่างปรากฏวาบขึ้นมา ทะลุผ่านข่ายพลังป้องกันเข้าไป องครักษ์ที่เฝ้าประตูรีบประสานมือคราวะ “ท่านผู้ตรวจการ”
คนผู้นี้ก็คือเจ้านายคนปัจจุบันของวังเทพตรวจสวรรค์ ฉู่หมิงหวง!
ฉู่หมิงหวงโบกมือให้ทุกคนเล็กน้อย สื่อว่าไม่ต้องมากพิธี ก่อนจะก้าวอาดๆ เข้าไปในวังเทพ
เขาเดินผ่านพื้นที่ว่าราชการ เข้าไปในเรือนด้านใน มีเจ้าหน้าที่เซียนหญิงคนหนึ่งออกมาต้อนรับ เธอมีชื่อว่าหลิวเหนียน เป็นเจ้าหน้าที่จดบันทึกที่คอยอยู่ข้างกายฉู่หมิงหวง
หลิวเหนียนยกแขนเสื้อพร้อมย่อกาย “ท่านผู้ตรวจการ”
ฉู่หมิงหวงส่งเสียง ‘อืม’ ตอบรับ เดินผ่านข้างกายเธอไป
หลิวเหนียนรีบหมุนตัวเดินตามไปทันที เอ่ยถามว่า “ท่านผู้ตรวจการกลับมาจากวังเซียน ไม่ทราบว่าเหนียงเหนียงเป็นอย่างไรบ้างคะ?”
เดิมทีเธอเป็นสาวใช้ที่อยู่ข้างกายฮองเฮา ฮองเฮาเห็นว่าเธอมีความสามารถทำงานได้ จึงมอบตำแหน่งเล็กๆ ให้เธอ ส่งเธอมาคอยช่วยงานอยู่ข้างกายฉู่หมิงหวง
พูดอีกอย่างก็คือฉู่หมิงหวงเองก็เป็นคนของฮองเฮาเช่นกัน ขอบเขตอำนาจของวังเทพตรวจสวรรค์แห่งนี้อยู่ในการควบคุมของฮองเฮา หลังจากสภาเซียนก่อตั้งขึ้นมา อำนาจส่วนนี้ก็อยู่ในมือฮองเฮามาโดยตลอด องค์จักรพรรดิไม่เคยย้ายอำนาจนี้ไปให้ใครมาก่อน ถือได้ว่าเป็นหนึ่งในเส้นแบ่งของสามีภรรยาที่จะไม่ก้าวก่ายกัน
“เหนียงเหนียงสบายดี” ฉู่หมิงหวงตอบกลับไป
ทั้งสองคนเดินเข้าไปในโถงด้านใน ฉู่หมิงหวงนั่งลงด้านหลังโต๊ะ หลิวเหนียนเทชาให้เขา ลองเอ่ยถามหยั่งเชิงว่า “เรื่องในดินแดนแห่งความฝันวุ่นวายขนาดนี้ ท่านผู้ตรวจการอยากจะเดินทางไปตรวจสอบดูหน่อย ไม่ทราบว่าเหนียงเหนียงอนุญาตหรือไม่คะ?”
ฉู่หมิงหวงเอ่ยด้วยสีหน้าเรียบเฉย “เหนียงเหนียงตรัสว่าเรื่องนี้ฝ่าบาททรงมีแผนการของพระองค์อยู่ ต่อให้วุ่นวายอย่างไรก็เนื่องเพราะมีเหตุผล ให้พวกเราอย่าเข้าไปยุ่ง เหนียงเหนียงไม่อนุญาต”
หลิวเหยียนร้องโอ้ วางถ้วยช้าลง จากนั้นพลิกมือหยิบเอากลักโลหะใบหนึ่งออกมา วางลงตรงหน้าเขา กล่าวว่า “นี่เป็นรายงานที่หอมืดเพิ่งส่งมาค่ะ”
เธอใช้พลังกดลงไปบนกลักโลหะ กลักโลหะแยกตัวเปิดออกทันที กลายเป็นถาดโลหะใบหนึ่งในพริบตา ภายในถาดโลหะมีสมุดเล่มบางวางอยู่เล่มหนึ่ง
ฉู่หมิงหวงหยิบสมุดขึ้นมาพลิกอ่านดู พลิกไปหน้าแล้วหน้าเล่า ตอนที่พลิกไปจนถึงหน้าสุดท้ายกลับชะงักไปเล็กน้อย จ้องมองรายงานที่อยู่บนสมุดพลางกล่าวพึมพำว่า “หลัวคังอัน…”
เมื่อเห็นเขามีท่าทางครุ่นคิด จ้องมองดูรายงานหน้านั้นไม่วางตา หลิวเหนียนจึงขยับเข้าไปข้างกายเขา ชะโงกหน้าดูเล็กน้อย เข้าใจทันทีว่าเขากำลังดูอะไรอยู่ จากนั้นกล่าวว่า “หลัวคังอันคนนี้ก็คืออดีตผู้พิทักษ์เทพคนหนึ่งของเมืองหลวง ได้ยินว่าเขาไปล่วงเกินวังพิฆาตมาร ก็เลยถูกลบชื่อออกจากบัญชีรายชื่อเซียน ไล่ออกจากหน่วยผู้พิทักษ์เทพของเมืองหลวง หรือก็คือคนที่แสดงฝีมือในการประมูลที่ทางแคว้นเซียนคุนกว่างของหนานหรูจัดขึ้นค่ะ จากที่ทางเหนียงเหนียงว่ามา เขาถูกหลงซืออวี่แนะนำเข้าไปในหน่วยผู้พิทักษ์เทพของเมืองหลวง เป็นศิษย์สายตรงของหลงซืออวี่…หรือว่าท่านผู้ตรวจการจะรู้จักเขาคะ?”
ฉู่หมิงหวง ส่ายหน้า “ไม่อาจเรียกได้ว่ารู้จัก แค่รู้สึกว่าชื่อคุ้นตา พอได้ยินเธอพูดมาแบบนี้ก็นึกขึ้นมาได้ ตอนที่ถ่ายทอดสดการประมูลฉันก็ได้ดูเหมือนกัน เขาก็คือคนที่พาเทพธิดาเข้าไปทำอะไรสกปรกในห้องควบคุมของเทพมหาวิญญาณสินะ”
หลิวเหนียนเม้มปากอมยิ้ม กล่าวว่า “ใช่ค่ะ เขานั่นแหละค่ะ นับว่าเขาโชคดีที่มีชื่อเสียงแย่ๆ แบบนี้ มิเช่นนั้นท่านผู้ตรวจการไหนเลยจะจำเขาได้ ดูเหมือนหลัวคังอันผู้นี้จะมีชื่อเสียงแล้วจริงๆ เกรงว่าทั่วทั้งดินแดนเซียนคงจะไม่มีใครไม่รู้จักเขาแล้วล่ะค่ะ”
ฉู่หมิงหวงแค่นเสียง ‘เหอะ’ ออกมาอย่างดูแคลน “ต่ำตม! ฉันก็ว่าแล้วว่าทำไมถึงคุ้นตา ใครกันที่ยอมจ่ายเงินพันล้านเพื่อเอาชีวิตคนแบบนี้?”
หลิวเหนียนกล่าว “คนที่ติดต่อหอมืดได้ให้ตั๋วเงินพันล้านที่ไม่ได้ระบุชื่อมาค่ะ ทางคลังเงินไม่ถามว่าเป็นใคร พอเห็นตั๋วเงินก็ให้เงิน ไม่สะดวกที่จะสืบ จะให้สืบไหมคะ?”
ฉู่หมิงหวงนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนกล่าวว่า “ถ้าฉันจำไม่ผิดล่ะก็ คนคนนี้ก็คือรองประธานของหอการค้าตระกูลฉินคนนั้นใช่หรือเปล่า? ไหนบอกว่าเขาเข้าไปในดินแดนแห่งความฝันแล้วยังไงล่ะ? หอการค้าตระกูลฉินประกาศจะให้เงินรางวัลสามพันล้านเสียใหญ่โต คนๆ นี้เข้าไปในดินแดนแห่งความฝันแล้ว นับว่ากำลังเผชิญกับอันตรายแล้ว แล้วเหตุใดถึงยังมีคนยอมจ่ายเงินอีกพันล้านเพื่อเอาชีวิตเขาด้วย?”
หลิวเนียนกล่าว “นี่จะต้องมีเหตุผลอย่างแน่ค่ะ”
ฉู่หมิงหวงกล่าวว่า “อย่างนั้นก็สืบดูหน่อยแล้วกัน…ตั๋วเงินไม่ระบุชื่อ เห็นตั๋วให้เงิน พูดอีกอย่างก็คือหลังจากจบเรื่องแล้ว คนที่ติดต่อไม่มีทางโผล่หน้ามาอีก สืบได้ยาก”
หลิวเหนียนกล่าว “แต่อันที่จริงนี่เป็นเงินหนึ่งพันล้านมุก ถ้าหากปฏิเสธล่ะก็ ยังไงก็ต้องมีคนไปรับเอาตั๋วเงินกลับมาแน่ จะให้ปฏิเสธรายการนี้ไหมคะ?”
ฉู่หมิงหวงนิ่งเงียบไปอีกครั้ง ปิดสมุดลง วางกลับลงไปในถาด เอ่ยเนิบๆ ว่า “หอมืดให้ความสำคัญกับเรื่องรักษาคำพูด หากไม่ใช่สถานการณ์ที่มีความจำเป็นล่ะก็…จัดการไปตามกฎเถอะ”
“ค่ะ!” หลิวเหนียนเก็บถาดกลับไป
ฉู่หมิงหวงเองก็ค่อยๆ ลุกขึ้นยืน เดินไปใต้ชายคาด้านนอกประตู สองมือไพล่หลังแหงนมองฟ้า เอ่ยพึมพำออกมาหลังผ่านไปครู่ใหญ่ “เข้าไปในดินแดนแห่งความฝันแล้ว หลัวคังอันเอ๋ยหลัวคังอัน เจ้าคนไม่เจียมตัว คิดจะทำอะไรกันแน่…”
……
ณ สวนชิงหยวน ไป๋กุ้ยเหรินปีนขึ้นไปบนหอสูงด้วยท่าทางเปลืองแรงอีกครั้ง เมื่อเห็นเหมยชิงหยาที่นั่งตัวตรงสง่างามอยู่ด้านหลังโต๊ะ เธอก็เดินลงไปนั่งลงตรงข้าม จากนั้นยื่นมือออกไปอย่างยากลำบาก คิดจะช่วยเทชาให้เหมยชิงหยา
เหมยชิงหยายื่นไม้ปัดฝุ่นออกมา ขวางมือของเธอเอาไว้ “ไม่ต้อง”
ไป๋กุ้ยเหรินหัวเราะคิกคักพลางกล่าวอะไรตามมารยาทเล็กน้อย คล้ายจงใจหยอกเย้าเขา
ทั้งสองเวลาเจอหน้าล้วนแต่เป็นเช่นนี้ คนหนึ่งจะทำ อีกคนไม่ให้ทำ
ไป๋กุ้ยเหรินจึงได้แต่ต้องล้มเลิกความคิดไป เอ่ยยิ้มๆ ว่า “ว่ามาเถอะค่ะ มีเรื่องอะไร ท่านมาที่นี่ แสดงว่าจะต้องมีเรื่องอยากถามอย่างแน่นอน”
เหมยชิงหยากล่าว “ทางดินแดนแห่งความฝัน มีคนของท่านไหนเข้าไปบ้าง?”
ไป๋กุ้ยเหรินกล่าว “ในเมื่อเกี่ยวพันกับความลับของเทพมหาวิญญาณรุ่นที่แปดก็ย่อมต้องทนไม่ไหวอย่างแน่นอน ทางท่านห้ามีความเคลื่อนไหว ดูเหมือนจะส่งคนเข้าไปด้วย ทางท่านเก้ายังไม่มีความเคลื่อนไหว ส่วนท่านสิบสาม ยังเหมือนเดิมค่ะ เงียบกริบ เหมือนล้มแล้วลุกขึ้นมาไม่ได้อย่างไรอย่างนั้นแหละค่ะ มีความเคลื่อนไหวหรือไม่ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกัน ฉันว่านะคะ ท่านสิบสามอาจจะไม่อยู่แล้วจริงๆ ก็ได้ค่ะ ไม่อย่างนั้นตามหลักแล้ว จากนิสัยของเขา ทั้งเรื่องเคล็ดลับการสร้างข่ายพลังของหอการค้าตระกูลฉิน อีกทั้งยังมีเรื่องความลับของเทพมหาวิญญาณรุ่นที่แปด เขาไม่มีทางทนไหวแน่ค่ะ”
“ก็อาจจะ” เหมยชิงหยาถอนใจออกมา จากนั้นขมวดคิ้วขึ้นมาอีกครั้ง “ที่ผ่านมาท่านสิบสามก็ไม่ค่อยสนิทกับพวกเราเท่าไร ไม่ต้องไปพูดถึงเขาแล้ว แต่ท่านเก้านี่ยังไงเนี่ย ไปเป็นลูกน้องเขาจนติดใจหรือไง?”
ไป๋กุ้ยเหรินกล่าว “เอาแต่อยู่เงียบๆ ไม่เผยตัว ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะ หรือว่าจะชอบผู้หญิงคนนั้นเข้าแล้วคะ?”
เหมยชิงหยาแค่นหัวเราะ “คนอย่างเขาเนี่ย เธอคิดว่าเขาจะไปชอบผู้หญิงอย่างนั้นได้เหรอ? ฉันมองไม่ออกจริงๆ ว่าผู้หญิงคนนั้นจะมีเสน่ห์อะไร เขาหลอกใช้เธอเพื่อปกปิดตัวตนมากกว่า”
“น่าจะใช่ค่ะ” ไป๋กุ้ยเหรินเอ่ยพึมพำพลางพยักหน้า จู่ๆ คล้ายคิดอะไรขึ้นมาได้ “อ้อใช่ ทางคนของท่านเก้ามีข่าวใหม่มา บอกว่ามีคนอยากจะมาเข้าร่วมด้วยค่ะ”
เหมยชิงหยาเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “คนที่ทำผิดกฎหมายจากดินแดนต่างๆ มีตั้งไม่รู้เท่าไร การที่มีคนอยากจะมาเข้าร่วมด้วยมันก็เป็นเรื่องปกติไม่ใช่เหรอ?”
ไป๋กุ้ยเหรินกล่าว “แต่คนนี้มีเงินติดตัวอยู่นิดหน่อยค่ะ”
พอได้ยินว่ามีเงิน เหมยชิงหยาก็ตื่นตัวขึ้นมาทันที เอ่ยถามว่า “ใคร?”
ไป๋กุ้ยเหรินกรอกตาใส่เขา “ท่านเนี่ยนะ ไม่หยาบคายไปหน่อยหรือคะเนี่ย พอได้ยินว่ามีเงินล่ะตาโตขึ้นมาเชียว”
ไม้ปัดฝุ่นที่อยู่ในมือเหมยชิงหยาสะบัดทีหนึ่ง เปลี่ยนไปพาดไว้บนแขนอีกข้าง “เธอก็ลองคำนวณดูสิ ค่าใช้จ่ายตั้งเท่าไร จะเลี้ยงคนตั้งมากมายขนาดนั้นก็ต้องมีแหล่งรายได้หรือเปล่า ตอนนี้ท่านสิบสามนั่นเป็นตายยังไงก็ไม่รู้ สรุปคือไม่รับงาน แหล่งรายได้หลักไม่มีแล้ว แล้วเราจะไปเอาเงินมาจากไหน? ให้พวกคนที่เธอสอนขึ้นมาเหล่านั้นไปหาเศษเงินน่ะเหรอ พอใช้ไหมล่ะ ถ้าไม่มีเงินแล้วจะทำงานยังไง?”
“รู้แล้วค่ะๆ พอพูดถึงเรื่องเงินแล้วฉันปวดหัวยิ่งกว่าท่านอีกค่ะ” ไป๋กุ้ยเหรินยกมือขึ้นปราม กลับเข้าประเด็นใหม่ เอ่ยอย่างจริงจังว่า “เผิงซีค่ะ ยังจำได้ไหมคะ?”
“เผิงซี?” เหมยชิงหยาเผยสีหน้าครุ่นคิด “เหมือนเคยได้ยินชื่อนี้ที่ไหนมาก่อน”
ไป๋กุ้ยเหรินกล่าว “ก็หลานชายของประธานหอการค้าตระกูลโจวที่สู้กับหอการค้าตระกูลฉินยังไงล่ะคะ ไอคนที่ขโมยเงินหอการค้าตระกูลโจวไปก้อนใหญ่ ทำให้หอการค้าตระกูลโจวเงินขาดมือหมุนไม่ทัน เขาขโมยเงินหอการค้าตระกูลโจวไปหมื่นกว่าล้าน จากข่าวที่ได้ยินมา ตระกูลหนานชีขู่เอาเงินเขาไปหกพันล้าน เก็บไว้พันล้าน อีกห้าพันล้านเอาไปให้หอการค้าตระกูลฉิน หอการค้าตระกูลพานเองก็โดนแบบนี้เหมือนกัน ในมือของเผิงซีคนนี้น่าจะยังมีเงินอยู่อีกหลายพันล้านค่ะ จะรับเข้ามาไหมคะ?”
เหมยชิงหยากล่าว “ทางท่านเก้าไม่รับเขาไว้เหรอ?”
ไป๋กุ้ยเหรินกล่าว “ท่านเก้าเป็นแบบนี้แล้ว ยังจะรับอะไรอีกล่ะค่ะ ต่อให้อยากจะรับก็ไม่มีทางรับง่ายๆ กลัวว่าจะเป็นหนอนบ่อนไส้ที่ทางสภาเซียนส่งมา จะต้องสืบดูจนแน่ชัด หากไม่แน่ใจก็ไม่มีทางที่จะรับไว้หรอกค่ะ”
เหมยชิงหยาลุกขึ้นยืน เดินกลับไปกลับมาอยู่ในหอ
เขาเดินไปทางซ้าย ไป๋กุ้ยเหรินก็หันหน้ามองไปทางซ้าย เขาเดินไปทางขวา ไป๋กุ้ยเหรินก็หันหน้ามองไปทางขวา ร่างกายอ้วนฉุ หันไปหันมาก็ลำบากอยู่เหมือนกัน
จากนั้นครู่หนึ่ง เหมยชิงหยาที่กำลังจมอยู่ในห้วงความคิดก็หยุดฝีเท้า เอ่ยถามว่า “ฉันจำได้ว่าคนคนนี้เหมือนจะเป็นผู้บำเพ็ญเพียรด้วยใช่หรือเปล่า? ความสามารถของเขาเป็นยังไงบ้าง?”
“ใช่ค่ะ เขาเป็นผู้บำเพ็ญเพียรค่ะ ตอนนั้นฉันก็เคยตรวจสอบดูแล้วค่ะ ค่อนข้างมีความสามารถทีเดียว” ไป๋กุ้ยเหรินตอบกลับไป ทันใดนั้นพลันรับรู้ได้ถึงความผิดปกติในคำพูดนี้ ลุกพรวดขึ้นมาทันที เอ่ยถามว่า “ท่านหมายความว่ายังไงคะ?”
เหมยชิงหยาเอ่ยเบาๆ “มีตำแหน่งสำคัญในหอการค้าตระกูลโจว เคยดูแลคนไม่น้อย จะต้องมีประสบการณ์ในการบริหารอย่างแน่นอน สิ่งที่สำคัญที่สุดคือเขามีเงิน ไม่จำเป็นต้องให้พวกเราจ่ายอะไรให้ หลังจากท่านเหล่านั้นล้มหายตายจากไป ลูกน้องที่พากันแยกย้ายไปก็ควรจะเอากลับมาใช้งานใหม่ได้แล้ว แล้วก็ควรจะมีคนออกมารับงานได้แล้ว สิบสามมารสวรรค์พังพินาศแล้ว ควรจะมีคนออกมาถือธงนำหน้าใหม่!”
……………………………………………………