ตอนที่ 6 อู๋โยวเป็นโรคขี้อายแล้วเหรอ / ตอนที่ 7 ถูกเจ้าเอาชนะแบบนี้
ตอนที่ 6 อู๋โยวเป็นโรคขี้อายแล้วเหรอ
ตุบๆ ตุบๆ
เฟิงอู๋โยวกุมหน้าอกแน่น หัวใจเต้นระรัวดั่งลั่นกลอง
นางตระหนักได้เป็นอย่างดีว่าหากถูกจับได้ในช่วงเวลานี้ วันนี้ของทุกๆ ปี หลุมศพของนางจะต้องรกร้างแน่ๆ
คิดถึงได้แบบนี้ เฟิงอู๋โยวก็หวั่นสะท้านไปทั้งตัว หลังชนกำแพงเย็นวาบ ร่างของนางห้อยหัวค้างเติ่งเหมือนเหยื่อติดตะขอเบ็ด เฟิงอู๋โยวพยายามหันไปยิ้มอย่างประจบ “สหาย มือของเจ้ากำลังจับเท้าข้าอยู่ คือแบบนี้นะ อันที่จริงพวกเราก็เป็นผู้ชายเหมือนกัน คลุกคลีใกล้ชิดกับเจ้าย่อมเป็นเรื่องปกติ แต่ข้าโชคร้ายดันไปติดโรคดอกหลิว[1]เข้า ข้าไม่อยากแพร่เชื้อให้คนอื่น”
นางกะพริบตาพริ้มพราวให้ผู้ชายที่อยู่บนกำแพง แต่เมื่อพบว่าคนที่จับนางอยู่นั้นไม่ใช่จวินมั่วหรัน ก็ปั้นหน้าเหี้ยมโหดทันที “เจ้าหมาจรจัดจากไหนกันเนี่ย ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้”
ตุบ
เสียงของเฟิงอู๋โยวเพิ่งจะสิ้นสุดลง ผู้ชายในชุดขาวที่อยู่บนกำแพงก็คลายมือออก ทำเอาร่างของเฟิงอู๋โยวที่ค้างเติ่งอยู่บนกำแพงตำหนักเซ่อเจิ้งหวางร่วงตกพื้นดังตุบ
“แม่ทัพอู๋โยว ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ”
ไป๋หลี่เหอเจ๋อยืนนิ่งอยู่บนกำแพง เขามองเฟิงอู๋โยวในสภาพสะบักสะบอมลงมาจากข้างบน
เขาเอามือไพล่หลังหน้าตาเฉย ก่อนจะใช้แขนชายแขนเสื้อยาวๆ เขี่ยเท้าของเฟิงอู๋โยวไปมาอย่างรังเกียจ
สัญญาณเตือนวูบขึ้นในใจเฟิงอู๋โยวทันที นางมองไป๋หลี่เหอเจ๋อที่ยืนสง่าอยู่บนกำแพงด้วยความรู้สึกว่า ‘ทรงเจ้าหมอนี่คงไม่ใช่คนดีเท่าไหร่’
นิ่งเงียบไปพักหนึ่ง เฟิงอู๋โยวก็ข่มใจพูดออกไปด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง “เจ้าคงจำคนผิดแล้ว ข้าไม่ใช่สหายอู๋โยวคนที่เจ้าพูดถึง”
“เอ๋…น่าสนใจ”
ไป๋หลี่เหอเจ๋อหัวเราะเสียงแผ่ว น้ำเสียงที่ไพเราะ เนื้อเสียงนุ่มนวล ให้ความรู้สึกเย็นสบาย
เฟิงอู๋โยวจ้องตาเป็นประกายดุจดวงดาวของไป๋หลี่เหอเจ๋อ ถามเขากลับอย่างไม่สบอารมณ์ “แล้วเจ้ามาทำอะไรแถวตำหนักเซ่อเจิ้งหวางยามวิกาลแบบนี้ คิดอะไรอยู่กันแน่”
“นอนไม่หลับ ออกมาเดินเล่น แล้วเจ้าล่ะ” ไป๋หลี่เหอเจ๋อคลี่ยิ้มตอบพร้อมกับกระโดดข้ามกำแพงมายืนอยู่ต่อหน้าเฟิงอู๋โยว
ตาจ้องตา ไป๋หลี่เหอเจ๋อให้ความรู้สึกเรียบนิ่งเหมือนน้ำแข็งพันปี เฟิงอู๋โยวสัมผัสถึงความเฉลียวฉลาดของเขาที่ซุกซ่อนอยู่ในดวงตาผ่อนคลายคู่นั้น
เสี้ยวพริบตาต่อมา ไป๋หลี่เหอเจ๋อทำลายความเงียบลง ลูกกระเดือกกระเพื่อมเล็กน้อย น้ำเสียงไม่ช้าไม่เร็วพลันเปล่งออกมา “เจ้ารู้ใช่หรือไม่ สุ่มดูเซ่อเจิ้งหวางแห่งแคว้นตงหลิน มีโทษประหารชีวิต”
“ข้าจะกล้ามาเดินเที่ยวเตร่ที่หน้าประตูตำหนักเซ่อเจิ้งหวางได้เยี่ยงไร ไม่เหมือนเจ้าที่ตระเวนร่อนไปทั่ว เอ่อ แล้วก็ เจ้าจะมาทำตัวเหมือนอยู่สูงส่งกว่าข้าไม่ได้ เรื่องบางเรื่อง เป็นอันรู้กัน”
“กาลเวลาล่วงเลยผันผ่าน ไฉนฤกษ์ยามกลับถูกลิขิต ครั้นดาราพรั่งพราว ดวงดาวแห่งบุพเพสันนิวาสย่อมสั่นคลอนเคลื่อนไหว” ไป๋หลี่เหอเจ๋อยิ้มยิงฟัน ไม่สนใจคำพูดสาธยายของเฟิงอู๋โยวทั้งหมด
พูดจบก็กระโดดขึ้นไปเหยียบบนกระบี่ยาวกลางอากาศ ก่อนร่อนหายกลืนไปกับท้องฟ้าราตรี
“วิหคฉาดโฉบผ่านดวงชะตาอย่างนั้นเหรอ ดวงดาวแห่งบุพเพสันนิวาสสั่นคลอน!”
เฟิงอู๋โยวเอามือปิดปากพลางแอบขำ ก่อนพูดพึมพำกับตัวเอง “นึกไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าคนสมัยก่อนบอกรักกันคลุมเครือแบบนี้ นี่เขาเปรียบเทียบข้ากับดาววิหคฉาดเลยหรือ”
ตอนนี้ นางไม่ได้ตระหนักถึงสถานการณ์ของตัวเอง ทำให้เมื่อหันกลับไปก็เกือบจะเจอกับทหารองครักษ์เงาที่กำลังลาดตระเวนอยู่รอบๆ ตำหนักเซ่อเจิ้งหวาง
ยังดีที่ปฏิกิริยาตอบสนองของนางฉับไว จึงหยุดฝีเท้าได้ทันกาล และกลั้นหายใจซ่อนตัวอยู่ตรงมุมอับ
“สิบแปดองครักษ์เงาจงฟัง จงตามหาสตรีในภาพให้ทั่วเมืองและจับตัวมาให้ได้”
จุยเฟิงถือภาพวาดหลายสิบแผ่นในมือพร้อมกับตะเบ็งเสียงออกคำสั่งอยู่ด้านหน้าองครักษ์เงาทั้งสิบแปดคน
เฟิงอู๋โยวค่อยๆ ชะเง้อหน้าออกมาอย่างระวัง พยายามเพ่งมองภาพวาดลวกๆ ในมือของจุยเฟิง
“มันจะมากเกินไปแล้ว! ตาของข้าสวยขนาดนี้ รูจมูกทั้งสองข้างก็ได้รูปสมส่วน เหมือนคนในรูปจรงไหน”
ไฟโทสะในใจปะทุขึ้น มือทั้งสองข้างกำกางเกงชั้นในของจวินมั่วหรันแน่นขึ้น นาวงพูดอย่างเคียดแค้น “จวินมั่วหรัน รอก่อนเถอะ แล้วเราจะได้เห็นดีกัน”
ตอนที่ 7 ถูกเจ้าเอาชนะแบบนี้
ณ เรือนมั่วหรัน ตำหนักเซ่อเจิ้งหวาง น้ำพุเย็นชื่นหลั่งไหล แสงจันทร์นวลผ่อง
จวินมั่วหรันหลับตาพริ้มทั้งสองข้าง อาบน้ำพุเย็นสดชื่นชำระล้างร่างกาย
เวลาประมาณเกือบหนึ่งถ้วยชา เขาค่อยๆ ลืมตาดำสนิทขึ้น มองไปยังไอควันที่ลอยขึ้นมาเหนือบ่อน้ำพุ รู้สึกเหมือนกลิ่นของสตรีผู้นั้นยังคงอบอวลอยู่ เป็นเหตุให้เขาหงุดหงิดขึ้นในบัดดล
“ไม่คิดว่าทั่วใต้หล้าจะมีสตรีหน้าด้านไร้ยางอายเช่นนี้!”
ภายใต้ใบหน้าหล่อเหลาย้ายวนพราวเสน่ห์ของจวินมั่วหรัน ซ่อนแววดุร้ายยากสังเกต เขายิ้มมุมปากฉายแววดูถูกขึ้นมา
เสี้ยวพริบตาต่อมา เขาในชุดแพรสีดำที่สวมทับด้วยชุดคลุมสีเข้มอีกชั้น ปล่อยผมยาวสลวยสยายไปด้านหลัง สะท้อนเสน่ห์แพรวพราว แรงดึงดูดชวนหลงใหลล้วนแฝงอยู่ในทุกท่วงท่าการเคลื่อนไหว
“จุยเฟิง ภาพวาด”
จวินมั่วหรันเดินจ้ำออกจากตำหนักเซ่อเจิ้งหวาง น้ำเสียงของเขาเย็นชา ท่าทางน่าเกรงขาม สีหน้าแววตาเคร่งขรึมชนิดที่เห็นแล้วต้องขาสั่นอย่างไม่รู้ตัว
เมื่อเฟิงอู๋โยวเห็นสภาพการณ์เช่นนั้นก็รีบถอยหลบทันที
ณ เวลานี้ นางรู้สึกโชคดีที่ตัวเองพูดคำพูดทะลึ่งเหล่านั้นออกไปตั้งแต่เนินๆ ถ้าพูดช้ากว่านี้ แล้วเกิดจวินมั่วหรันมีสติได้ยินขึ้นมา แบบนั้นคงแย่แน่ๆ
“ตามจับให้ทั่วเมือง ตายแล้วก็ต้องหาร่างให้เจอ”
จวินมั่วหรันรับภาพวาดมา แต่ทันใดนั้นก็กวาดตามองมาบริเวณที่เฟิงอู๋โยวซ่อนตัวอยู่
แค่แวบเดียว เฟิงอู๋โยวก็รู้สึกว่าหัวใจตัวเองเต้นระรัวกว่าเดิม อีกนิดเดียวก็แทบจะล้มฟุบคุกเข่าไปที่พื้นแล้วร้องเพลง ‘ถูกเอาชนะแบบนี้[2]’ ให้จวินมั่วหรันฟังให้รู้แล้วรู้รอด
ยังดีที่จวินมั่วหรันไม่เอะใจพบเห็นสิ่งผิดปกติ
เขาสะบัดชายแขนเสื้อเบาๆ ผมดำขลับปลิวสยายไปกับแรงลม น่าเกรงขามอย่างหาผู้ใดเทียบมิได้
หลังจากจวินมั่นหรันออกคำสั่งกับสิบแปดองครักษ์เงาด้วยตัวเอง เฟิงอู๋โยวก็ต้องหวั่นสะท้านกับรังสีกระชากวิญญาณของเขาอีกครั้ง
นางคดคู้งอตัวอยู่ในมุมอย่างหวาดระแวง “ไฉนถึงต้องลุ่มหลงจนขาดสติไปหาเรื่องกับปีศาจตัวฉกาจที่ไม่ควรมีเรื่องด้วยที่สุดในแคว้นตงหลินด้วย”
หลังจากครุ่นคิดอย่างละเอียดอยู่พักใหญ่ นางก็ค่อยๆ ลุกขึ้น จากนั้นก็กระโดดข้ามกำแพงตำหนักเซ่อเจิ้งหวาง และเข้าไปที่เรือนมั่วหรัน
“ช่างเถอะ อะไรจะเกิดก็ปล่อยให้มันเกิดเลยแล้วกัน ดูเหมือนพวกทหารที่คอยอารักขาตำหนักเซ่อเจิ้งหวางในละแวกนี้ออกไปกันหมดแล้ว ดังนั้นในตำหนักก็น่าจะปลอดภัยกว่าด้านนอก”
เฟิงอู๋โยวถอนหายใจเสียงแผ่วพลางถือพ่วงองุ่นอยู่ในมือ จากนั้นก็เข้ามานอนตะแคงพักผ่อนอยู่บนซากเตียงในเรือนมั่วหรัน
“เฮ้อ! ใครจะไปคิดว่าเจ้าเส้นเลือดน้อยป่วยติดเตียงนั่นจะเป็นถึงเซ่อเจิ้งหวางผู้ทรงอำนาจทั่วใต้หล้า”
“ก่อนที่จะเกิดเรื่อง ข้าก็ถามเขาแล้วว่าเขาเต็มใจจะช่วยข้าถอนพิษหรือไม่ และเขาก็ตกลงแล้วนะ”
ยิ่งคิด เฟิงอู๋โยวก็ยิ่งหงุดหงิด นางกินองุ่นและคายเม็ดองุ่นไปพลาง
อี๊ด เอี๊ยด
เกิดเสียงเสียดสีของไม้ดังขึ้นขณะนางนอนพลิกตัวอยู่บนซากเตียง
“ซืด”
ขณะจัดวางร่างกาย จู่ๆ นางก็ซูดปากพลันก้มหน้ามองที่บริเวณท้องตัวเองอย่างหวั่นใจ
“ไฉนถึงปวดขนาดนี้ หรือว่าคำพูดไม่ดีของข้าย้อนกลับเข้าหาตัวเอง” เฟิงอู๋โยวพยายามนั่งลง มือทั้งสองข้างกุมบริเวณที่ปวด ใบหน้าเหยเกจากความหวาดกลัว
แม้นางจะมีความรู้เกี่ยวกับทางการแพทย์อยู่บ้าง แต่ก็ไม่รู้วิธีรักษาโรคดอกหลิว
“เจ้าเส้นเลือดน้อยนี่มันสมควรตายจริงๆ เห็นสะอาดสะอาด แต่นึกไม่ถึงว่าจะติดโรคติดต่อแบบนี้!”
เฟิงอู๋โยวยิ่งคิดก็ยิ่งตื่นตระหนก จากนั้นจะพยายามคลานไปที่โต๊ะเตี้ยๆ ตัวหนึ่ง ก่อนเอื้อมมือสั่นเทาไปหยิบถาดผลไม้บนโต๊ะพลางบ่นพึมพำ
“เจ้าแม้กวนอิมผู้ช่วยเหล่าสรรพสัตว์ดับทุกข์เจ้าคะ ลูกผิดไปด้วย! หลังจากนี้ลูกจะไม่เที่ยวทำลายชีวิตดีๆ ของผู้อื่นแล้วเจ้าค่ะ ได้โปรดประทานยารักษาให้ลูกด้วยเถิดเจ้าค่ะ”
“ไม่สิ ถึงแม้องค์โพธิสัตว์ผู้เปี่ยมด้วยเมตตาจะสามารถช่วยดับทุกข์จากโลกมนุษย์ได้ แต่ใช่ว่าพวกพระองค์จะรู้จักโรคดอกหลิว”
คิดไปคิดมาอยู่นาน และแล้วเฟิงอู๋โยวก็ตัดสินใจ เอาไว้รอให้ฟ้าสางกว่านี้ค่อยไปหาหมอหลางจง ในเมืองนี้ก็ได้ แล้วขอให้เขาช่วยปัดเป่ารักษาโรคติดต่อนี้”
[1] โรคดอกหลิว คือโรคซิฟิลิส
[2] ถูกเอาชนะแบบนี้ คือชื่อเพลงของศิลปินจีนนามว่า “น่าอิง”