ตอนที่ 9 เซ่อเจิ้งหวางต้อนเข้ามุม / ตอนที่ 10 ถูกจับได้แล้วหรือ
ตอนที่ 9 เซ่อเจิ้งหวางต้อนเข้ามุม
หลังจากออกนอกเรือนไปทั้งวัน ในที่สุดจวินมั่วหรันก็กลับมา ใบหน้างดงามหล่อเหลาของเขาราวกับเทพบุตร ทว่าแม้จะอยู่ห่างเป็นร้อยเมตรก็สัมผัสได้ถึงความโกรธของเขา
“ท่านใต้เท้าจับสตรีหัวขโมยได้แล้วหรือขอรับ” ด้านนอกห้อง เถี่ยโส่วเห็นจวินมั่วหรันกลับมา จึงเอ่ยปากถามขึ้น
“เถี่ยโส่ว เข้ามานี่”
น้ำเสียงดึงดูดชวนหลงใหลของเขา แฝงด้วยมนต์ขลังที่ชั่วร้าย ราวกับเป็นเสียงเรียกขานจากโบราณกาลที่อัดแน่นด้วยประสงค์และปณิธานดั้งเดิม แค่ได้ยิน เฟิงอู๋โยวก็รู้สึกลุ่มหลงเคล้ายเมามาย
“ท่านใต้เท้าขอรับ เกรงว่าชุดของข้าน้อยคงไม่เหมาะสมที่จะรับใช้อย่างใกล้ชิดขอรับ” เถี่ยโส่วยืนตะลึงแข็งทื่ออย่างไม่เป็นตัวของตัวเองหลังจากได้ยินคำสั่งของจวินมั่วหรัน
“ไสหัวเข้ามาสักที”
จวินมั่วหรันเห็นเถี่ยโส่วกำลังเข้าใจผิด ก็รีบลากเถี่ยโส่วที่ยืนแข็งทื่อเป็นท่อนไม้เข้าไปในห้อง
ปึ้ง
จวินมั่วหรันปิดประตูดังปึ้ง ทำเอาเถี่ยโส่วตกใจขวัญกระเจิงพลางพูดขึ้นอย่างติดๆ ขัดๆ “ท่านใต้เท้า ข้าน้อยยังไม่ได้อาบน้ำชำระกาย กลิ่นของข้าน้อยตอนนี้คงไม่พึงประสงค์เท่าไหร่นัก หรือควรตามจุยเฟิงมาดีขอรับ”
“เถี่ยโส่ว ข้ามีเรื่องอยากจะถามเจ้า” สายตาของจวินมั่วหรันหยุดค้างที่เถี่ยโส่วอยู่พักหนึ่ง จากนั้นสายตาก็เหลือบไปที่เป้ากางเกงของเขาอย่างไม่ละสายตา
ด้านหลังผนังไม้กั้น ในที่สุดเฟิงอู๋โยวก็รัดเข็มขัดเสร็จ นางกำลังแอบมองจวินมั่วหรันในสภาพกระวนกระวายใจอย่างจดจ่อ
เถี่ยโส่วน้ำตาหลั่งราวกับน้ำหลาก แต่ก็พยายามปั้นหน้าแสร้งยิ้ม “เกรงว่าคงมิอาจช่วยท่านใต้เท้าไขข้อข้องใจได้ มิสู้ให้ข้าน้อยไปตามจุยเฟิงมาช่วยไขข้อข้องใจไม่ดีกว่าหรือ”
จวินมั่วหรันขมวดคิ้วแน่น เขาไม่สนใจท่าทางกลุ้มใจของเถี่ยโส่วอย่างสิ้นเชิง ซ้ำยังบีบเถี่ยโส่วไปติดมุมผนัง
ปึ้ง
เสี้ยวพริบตาต่อมา เถี่ยโส่วหลับตาปี๋ เขาไม่คิดไม่ฝันว่าจวินมั่วหรันจะต้อนเขาเข้ามุมแบบนี้
เฟิงอู๋โยวเบิกตาโพล่ง นางมองดูความขึงขังของจวินมั่วหรันอย่างสนใจ
“เถี่ยโส่ว เจ้าคิดว่าหากข้าติดโรค ร่างกายข้าจะเป็นเยี่ยงไร” จวินมั่วหรันเงียบขรึมอยู่พักใหญ่ แต่สุดท้ายก็พูดสิ่งที่สงสัยติดค้างอยู่ในหัวออกมา
เขาเลื่อนมือไปที่เข็มขัดผ้าดิ้นทองบริเวณอย่างคล่องแคล่ว จากนั้นก็เลื่อนหน้าเข้ามากระซิบข้างหูเถี่ยโส่วอย่างแผ่วเบา “ลืมตาขึ้น ช่วยข้าคลายข้อสงสัย”
ด้านหลังผนังกั้นไม้ ขณะเฟิงอู๋โยวมองดูจวินมั่วหรันปลดเข็มขัดก็พยายามกลั้นหัวเราะไปพลาง
หากนางไม่ได้ตกอยู่ภายใต้รังสีชั่วร้ายที่แผ่ซ่านออกมาจากรอบตัวจวินมั่วหรัน เฟิงอู๋โยวคงหัวเราะลั่นไปนานแล้ว
เถี่ยโส่วถูกบีบบังคับให้ลืมตา เขาเม้มปากพลางมองไปตามร่างกายของจวินมั่วหรันแล้วก็หลับตาปี๋อีกครั้ง ก่อนพูดขึ้นปนเสียงสะอื้น “ท่านใต้เท้าดูปกติแข็งแรงที่สุดขอรับ น่าจะไม่ได้ติดโรคอะไรทั้งนั้นขอรับ”
“จริงหรือ เหตุใดข้าถึงรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ”
จวินมั่วหรันพูดพึมพำกับตัวเอง “เพราะดูจากพฤติกรรมน่าไม่อายของสตรีผู้นั้นแล้ว ข้ากังวลว่านางจะนำโรคติดต่อมาติดข้าก็เท่านั้น”
ได้ยินเช่นนั้น เฟิงอู๋โยวก็มองจวินมั่วหรันอย่างหงุดหงิดยิ่งกว่าเดิม เพราะนางกังวลเรื่องเดียวกับเขาเช่นกัน
ยิ่งคิดก็ยิ่งโมโห ออกแรงขยำกางเกงชั้นในของจวินมั่วหรันที่หยิบติดมือมาแน่นขึ้นเรื่อยๆ
ทำอะไรไม่ได้ ตอนนี้นางไร้อำนาจ ทำได้แค่โกรธ ถึงต่อให้โกรธแค่ไหนก็ทำได้แค่ระบายอารมณ์ใส่กางเกงในของเขาเท่านั้น
“เถี่ยโส่ว รีบไปตามแพทย์หลวงให้ข้าบัดนี้ แบบนี้ห้ามทำให้เอิกเกริก”
เถี่ยโส่วเพิ่งตั้งสติกลับมาได้ จึงรีบพูดปลอมจวินมั่วหรัน “ท่านใต้เท้าขอรับ เท่าที่ข้อน้อยเห็น ท่านหาไร้ซึ่งโรคภัย สิ่งที่ดูไม่เหมือนเดิมมีแต่ความตื่นหนกที่ยังไม่จางหาย ประเดี๋ยวข้าน้อยจะหาบทละครมาให้ ด้วยสติปัญญาของท่านใต้เท้า อ่านดูสักพักก็พอจะรู้ว่าร่างกายของท่านเป็นเยี่ยงไรแล้วขอรับฅ
ตอนที่ 10 ถูกจับได้แล้วหรือ
“เจ้ากำลังบอกว่าข้าไม่ได้ป่วยหรือ”
คิ้วที่ขมวดอยู่ของจวินมั่วหรันค่อยๆ คลายออกจากกัน ปลายเสียงสูงขึ้นแฝงแววดีใจ
เถี่ยโส่วพยักหน้าราวกับถูกเขย่า “หากท่านใต้เท้าไม่เชื่อ ให้ข้อน้อยไปหาวรรณคดีเรื่องความฝันในหอแดง[1]มาให้สักสองสามเล่มก็ได้ขอรับ”
“ไปได้แล้ว เรื่องคืนนี้ ข้าไม่ต้องการคนอื่นรับรู้”
จวินมั่วหรันปัดมือก่อนจัดระเบียบเสื้อผ้าของตัวเองให้เข้าที่เข้าทาง
สีหน้าของเขาแลดูเบื่อหน่าย อารมณ์ดูไม่ปกติ แม้จะอยู่ภายใต้ราตรีอันมืดสลัว แต่กระนั้นรังสีน่าเกรงขามก็ยังคงเอ่อทะลักออกมาอย่างชัดเจนจนไม่อาจสบตามอง
“รับทราบขอรับ”
ครั้นน้ำเสียงสิ้นสุดลง เถี่ยโส่วก็รีบวิ่งแจ้นออกจากเรือนมั่วหรันอย่างไม่เหลือแม้แต่เงา
เฟิงอู๋โยวมองตามเงาร่างของเถี่ยโส่วที่วิ่งไกลออกมา ภายในใจพลันรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย
ก่อนหน้านี้นางคิดว่าจวินมั่วหรันมีอารมณ์ทางเพศขึ้นมาและอยากจะเล่นฉากพิศวาสกับคนรับใช้ของตัวเอง แต่นึกไม่ถึงว่านี่เป็นแค่ละครที่เริ่มต้นเสียดิบดี แต่จบลงแบบเละเทะ
ฟุบ
ชายแขนเสื้อของจวินมั่วหรันโบกสะบัด เทียนตามผนังห้องพลันถูกจุดขึ้นทันที
ช่วงที่แทบไม่มีใครสังเกต เขาเหลือบมองเปลือกองุ่นที่เกลื่อนอยู่บนพื้น แล้วใบหน้างดงามหล่อเหลาของเขาก็ฉายแววอึมครึมขึ้นอีกครั้ง
“ยังไม่ไปอีกหรือ”
น้ำเสียงของจวินมั่วหรันยานคาง เขาค่อยๆ ย่อตัวลงพลางจ้องมองเปลือกองุ่นที่ยังเปียกอยู่
ด้านหลังผนังกั้นไม้ เฟิงอู๋โยวยกมือขึ้นปิดปากปิดจมูกของตัวเองอย่างตกใจพร้อมกับนึกเสียใจขึ้นมา
นางครุ่นคิด ที่แท้คำกล่าวธรรมดาที่ว่า ‘กินองุ่น ห้ามคายเปลือกองุ่น’ ได้แฝงปรัชญาการในชีวิตเอาไว้นี่เอง เพราะถ้าทำตามนี้มันคงช่วยชีวิตนางได้ แต่นางกลับไม่ทำตาม
ถ้ามีครั้งหน้าอีก นางจะกลืนทั้งเปลือกและเม็ดองุ่นให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย
หวืด
ครั้นจวินมั่วหรันสะบัดชายแขนเสื้ออีกครั้ง มวลอากาศก็เริ่มอัดแน่นเป็นลมหมุนอยู่กลางฝ่ามือของเขา ทันใดนั้นสิ่งของทุกชิ้นในเรือนก็ลอยขึ้นจากพื้นทันที
หากคนทั่วไปได้เห็นสีหน้าอำมหิตเยือกเย็นราวกับอาชูร่ากระหายเลือดของจวินมั่วหรันภายใต้แสงเทียน พวกเขาทั้งหลายจะต้องตกใจขวัญกระเจิงเป็นแน่ แต่ไม่ใช่สำหรับเฟิงอู๋โยว
แม้ในใจของนางจะหวาดกลัวรังสีอำมหิตเย็นเฉียบของจวินมั่วหรันมากแค่ไหน แต่เรื่องที่นางกำลังให้ความสนใจอยู่ตอนนี้กลับเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อยิ่งนัก
อย่างที่เห็นอยู่ตรงหน้า นอกจากซากเตียงที่ยังคงกองอยู่ที่เดิม แต่สิ่งของอย่างอื่นภายในเรือนมั่วหรันรวมถึงผนังกั้นไม้ที่เฟิงอู๋โยวซ่อนอยู่ด้านหลัง ต่างก็ถูกกำลังภายในของจวินมั่วหรันควบคุมเอาไว้หมด ทั้งหมดลอยขึ้นกลางอากาศเหนือจากพื้นหนึ่งเมตร
เฟิงอู๋โยวพยายามยึดเกาะอยู่กับโครงไม้ด้านหลังของผนังกั้นไม้ ในเวลาเดียวกันก็เหลือบไปเห็นกล้ามแขนอันกำยำของจวินมั่วหรันที่อยู่ด้านในชายแขนเสื้อ และก็ไม่อาจละสายตาได้อีกเลย
สำหรับนางแล้ว การแต่งตัวแบบปิดนิดเปิดหน่อย เป็นอะไรที่เย้ายวนที่สุดแล้ว ก็เหมือนกับจวินมั่วหรันในตอนนี้ แขนท่อนบนอันกำยำและร่องรักแร้ที่เห็นอย่างคลุมเครือ ล้วนถูกแขนเสื้อสีดำเข้มปกคลุมอยู่ แต่ก็พอมองลอดเข้าไปได้ มันช่างเร้าอารมณ์เป็นที่สุด
นางเอียงศีรษะ สายตาพยายามมองเข้าไปในแขนเสื้อของจวินมั่วหรันเรื่อยๆ
แต่ประสาทสัมผัสของจวินมั่วหรันค่อนข้างเฉียบคม เขาสัมผัสถึงสายตาประหลาดที่สุ่มแอบมองอยู่ด้านหลังผนังกั้นไม้ได้ทันที
“โผล่หัวออกมา”
สายตาเฉียบคมดุจเหยี่ยวจ้องไปที่ผนังกั้นไม้อย่างแน่วแน่ พร้อมกับผ่อนกำลังภายในที่ฝ่ามือลง
ชั่วพริบตาต่อมา สิ่งของทุกอย่างภายในเรือนก็วางลงกลับที่เดิม เว้นเสียแต่ผมยาวดำสนิทของเขาที่ยังคงปลิวสยายอยู่กลางอากาศ
ครั้นเฟิงอู๋โยวตระหนักถึงอันตรายที่ใกล้เข้ามา เข็มเงินที่อยู่ภายใต้แขนเสื้อของนางก็เริ่มเคลื่อนไหว
นางเผลอทำลายความบริสุทธิ์ของเขาไปอย่างไม่ตั้งใจ
แต่ต่อให้เขาจะโหดเหี้ยมน่ากลัวแค่ไหน แต่ด้วยความรวดเร็วและคล่องตัวของเฟิงอู๋โยว นางมั่นใจว่านางสามารถโจมตีเขาด้วยเข็มได้แน่นอน
ตุบ
ขณะที่เฟิงอู๋โยวกำลังจะลงมืออยู่นั้น ชิ้นผ้าเปื้อนเลือดที่นางพกติดตัวมาก็ร่วงลงพื้นอย่างผิดจังหวะ
ซึ่งมันก็คือเสื้อซับในสีพื้นที่เฟิงอู๋โยวหยิบมาจากตู้เสื้อผ้าของจวินมั่วหรัน แล้วใช้มันเป็นผ้าอนามัยนั่นเอง
[1] วรรณคดีเรื่องความฝันในหอแดงคือหนึ่งในสี่ยอดวรรณคดีจีน เป็นเรื่องราวชีวิตผู้หญิงจีนที่สะท้อนผ่านตัวละครหญิง 12 คน เพื่อสะท้อนชะตากรรมผู้หญิงภายใต้กรอบวัฒนธรรมขงจื่อที่ผู้ชายเป็นใหญ่