ตอนที่ 20 เริ่มสงสัย / ตอนที่ 21 เจ้าเจ้าโตมาด้วยอะไร
ตอนที่ 20 เริ่มสงสัย
จี้มั่วอิ้นเหรินเห็นเฟิงอู๋โยวไม่ลุกขึ้นสักที ส่วนจวินมั่วหรันก็หายโกรธเป็นปลิดทิ้ง จึงรวบรวมความกล้าเดินเข้าไปด้านหน้าเฟิงอู๋โยว และยื่นมือของตัวเองส่งไปให้นาง
“จี้มั่วอิ้นเหริน ไฉนฝ่าบาทถึงทำเป็นหูทวนลม”
จวินมั่วหรันนั่งแยกขาออกจากกันบนราชรถหยกอย่างผ่อนคลาย
เขายกแขนข้างหนึ่งมาเท้าคาง ก่อนเหลือบมองไปที่เฟิงอู๋โยวด้วยสายตาลุ่มลึกเกินหยั่งถึง “หัวขโมยออกอาละวาดในแคว้นตงหลินเป็นความผิดของผู้ใด”
จี้มั่วอิ้นเหรินได้ยินเช่นนั้นจึงโน้มตัวลงเล็กน้อยพลางตอบเสียงทุ้มต่ำ “เป็นเพราะข้าผู้นี้ปกครองแคว้นได้ไม่เอาไหน”
“ในเมื่อรู้ตัวว่าปกครองแคว้นได้ไม่เอาไหน ไฉนยังไม่กลับวังสำนึกผิดในสิ่งที่ตนกระทำ” นิ้วมือเรียวยาวได้รูปของจวินมั่วหรันเคาะบนแท่นรองแขนลายกิเลนและมังกร พลางเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบเย็น
“วันนี้แคว้นตงหลินได้แม่ทัพฝีมือดี ตัวข้าดีใจกับเรื่องนี้เป็นยิ่งนัก เห็นแก่การที่แม่ทัพเฟิงผันตัวมาอยู่ฝ่ายเดียวกับแคว้นเรา ขอเซ่อเจิ้งหวางโปรดอนุญาตให้แม่ทัพ…”
จวินมั่วหรันปัดมือขัดขังหวะจี้มั่วอิ้นเหรินอย่างหมดความอดทน “รีบกลับวังเสีย หลังจากคัดกฎการปกครองแคว้นแปดร้อยจบ จงให้ข้ารับใช้นำไปส่งที่ตำหนักเซ่อเจิ้งหวาง”
“เซ่อเจิ้งหวาง เห็นๆ อยู่ว่าแม่ทัพเฟิงเป็นคนจากแคว้นเป่ยหลี พูดกันตามหลัก โทษฐานลักขโมยของเขาหาได้ข้องเกี่ยวกับข้าไม่” เมื่อจี้มั่วอิ้นเหรินนึกถึงเรื่องคัดกฎการปกครองแคว้นแปดร้อยจบก็เปลี่ยนท่าที ไม่ข้องเกี่ยวกับเฟิงอู๋โยวเสียดื้อๆ
เฟิงอู๋โยวจนปัญญา เดิมทีคิดว่าจี้มั่วอิ้นเหรินมีวาจากล้าแกร่ง แต่นึกไม่ถึงว่าจะหมดฤทธิ์เมื่อต้องเผชิญกับวาจาน่ายำเกรงของจวินมั่วหรัน
เหตุการณ์ลักษณะนี้ช่างเหมือนตอนที่เจ้าสุนัขทึ่มผลักนางให้ตกน้ำตายไม่มีผิด จัดการปัญหาไม่ได้และไม่น่าพึ่งพาเหมือนกัน!
“ในเมื่อรู้ว่าแม่ทัพเฟิงเป็นคนจากแคว้นเป่ยหลี ยังริอาจเรียกเขาว่าเป็นแม่ทัพฝีมือดี อ่านกฎการปกป้องแคว้นไปอย่างเสียเปล่าแล้วกระนั้นหรือ จงรีบกลับวัง ณ บัดนี้ และจงคัด กฎการปกครองแคว้นหนึ่งพันจบ ยามเฉินวันพรุ่งนี้ต้องนำมาส่งที่ตำหนักเซ่อเจิ้งหวาง” จวินมั่วหรันหรี่ตาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา รังสีอำมหิตทรงอำนาจแผ่ซ่านจนชวนให้สิ้นหวังยามได้สัมผัส
จี้มั่วอิ้นเหรินเห็นเช่นนั้นจึงไม่กล้าต่อต้านอีกต่อไป และยอมกลับวังภายใต้การอารักขาของจุยเฟิงแต่โดยดี
“เฟิงอู๋โยว จงบอกมาว่าเหตุใดจึงลอบขโมยของในตำหนักเซ่อเจิ้งหวางยามวิกาล”
จวินมั่วหรันโน้มตัวมาข้างหน้าเล็กน้อยพลางเท้าศอกลงบนตัก เขาหรี่ตาถามเฟิงอู๋โยวที่นั่งแข็งทื่ออยู่บนพื้นอย่างอยากรู้
เฟิงอู๋โยวส่ายหน้าระรัวก่อนปฏิเสธขึ้นทันควัน “ขอเรียนท่านใต้เท้าให้กระจ่าง ข้าน้อยกระทำแต่เรื่องอันพึงกระทำ เรื่องลักขโมยพรรค์นั้นหาได้กล้ากระทำไม่”
“หืม?”
จวินมั่วหรันเลิกคิ้วขึ้น สายตาบีบคัดจ้องไปที่ใบหน้าของเฟิงอู๋โยวอีกครั้ง
เฟิงอู๋โยวพยักหน้าอย่างหนักแน่น “เมื่อคืนวานก่อนเกิดเหตุพลิกผันขึ้นที่ค่ายศึกแห่งแคว้นเป่ยหลี กระหม่อมมองเห็นความเสื่อมถอยของแคว้นเป่ยหลี จึงตัดสินใจตัดขาดความสัมพันธ์กับท่านพ่อเฟิงจือหลิน พร้อมกับยุติความสัมพันธ์เจ้าบ่าวกับเป่ยถางหลงถิงเช่นกัน จากนั้นก็ควบม้าเข้ามาในเขตแคว้นตงหลิน เดิมทีคิดอยากถวายตัวสวามิภักดิ์ภายใต้บังคับบัญชาของเซ่อเจิ้งหวาง ทว่าเกิดพบกับวัตถุโบราณล้ำค่าภายในตำหนักเซ่อเจิ้งหวางโดยไม่คาดคิด ภายในใจรู้สึกราวกับวัตถุโบราณล้ำค่าชิ้นนี้ต้องชะตากับกระหม่อม ทำให้กระหม่อมต้องรับเอาไว้ขอรับ”
“ฮ่า”
เมื่อคำพูดของนางโพล่งขึ้นมา เถี่ยโส่วก็หลุดขำออกมาอย่างกลั้นเอาไว้ไม่อยู่
อันที่จริง ทุกคนที่ได้ยินเช่นนั้นราวกับถูกกระตุกต่อมขำ มิวายต่างพากันเม้มปากกลั้นหัวเราะอย่างสุดจะฝืน เว้ยเสียแต่จวินมั่วหรัน
มีจวินมั่วหรันเพียงคนเดียวที่ยังคงรักษาสีหน้าเรียบนิ่งปราศจากสุขทุกข์ไว้บนใบหน้าหล่อเหลา ราวกับถูกแต่งปั้นมาอย่างวิจิตรบรรจง
“โกหกทั้งเพ”
หลังจากนั้นพักใหญ่ เขาเห็นสภาพเฟิงอู๋โยวนั่งอยู่บนพื้นอย่างเชื่อฟัง ดวงตาเรียวเล็กราวกับดอกท้อทั้งสองข้างเบิกกว้าง ภายในใจพลันถูกความรู้สึกบางอย่างเข้ามาสะกิด ประหนึ่งปลายกิ่งหลิวโฉบผ่านสะกิดระคายช่องหัวใจ
“ขอท่านใต้เท้าโปรดยุติธรรม กระหม่อมแค่รู้สึกว่าวัตถุโบราณล้ำค่าชิ้นนี้ต้องชะตากับกระหม่อมก็เท่านั้น นอกจากนี้ บนของชิ้นนี้ก็ไม่ได้สลักชื่อเจ้าของเอาไว้ ดังนั้นการที่กระหม่อมไม่รู้ก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ไม่ใช่หรือขอรับ”
ทันทีที่ฟังคำอธิบายของเฟิงอู๋โยวจบ จวินมั่วหรันก็นึกถึงกางเกงชั้นในของตัวเองที่ถูกแขวนอยู่บนป้อมปราการประตูเมือง มิหนำซ้ำยังเขียนด้วยตัวอักษรใหญ่เบอเร่อว่า ‘จวินมั่วหรัน’
ไม่รู้เป็นเพราะอะไร เขารู้สึกว่าเฟิงอู๋โยวเกี่ยวพันกับสตรีหัวขโมยที่ลักลอบเข้าเรือนเขาเมื่อคืนวานก่อนไม่มากก็น้อย
เมื่อไตร่ตรองอย่างละเอียด สายตาของจวินมั่วหรันก็เหลือบไปมองที่ระหว่างขาของเฟิงอู๋โยวอย่างมีนัยยะ
“ท่านใต้เท้าขอรับ ไฉนถึงได้จ้องมองระหว่างขาของกระหม่อมบ่อยครั้งเช่นนี้”
เฟิงอู๋โยวรีบปิดจุดนั้นเอาไว้อย่างมิดชิด นางกลัวจวินมั่วหรันจะสังเกตเห็นคราบเลือดบนกางเกงของนาง
ครั้นจวินมั่วหรันตั้งสติกลับมาได้จึงรีบละสายตาออกทันที “พูดพล่อยๆ”
“หากท่านใต้เท้าอยากเห็น กระหม่อมหากล้าขัดขืนไม่ ทั้งท่านใต้เท้าและกระหม่อมล้วนเป็นบุรุษ ทำความรู้จักกันมากกว่านี้หน่อยหาใช่เรื่องผิดแปลกไม่ แต่ท่านใต้เท้าอาจไม่ทราบ ตอนที่กระหม่อมอยู่ในค่ายศึกแห่งแคว้นเป่ยหลี หาได้มีผู้ได้เทียบเทียมได้ แม้หุ่นของแม่ทัพเฟิงไม่สูงใหญ่ หากว่าด้วยเรื่องสัญลักษณ์ความเป็นชาย ทุกคนต่างรู้ดีว่าของกระหม่อมไม่ธรรมดา!”
ตอนที่ 21 เจ้าเจ้าโตมาด้วยอะไร
“หึ…ตัวเตี้ยกว่าจริงๆ”
จวินมั่วหรันแค่นเสียงหึในลำคอพลางยืนยันว่าเฟิงอู๋โยวเป็นผู้ชายจริงๆ อย่างไม่ต้องสงสัย
ยังไม่ต้องพูดพฤติกรรมบ้าบิ่นภายในค่ายศึกที่เขาไปยั่วยุองค์หญิงหลีอินแห่งแคว้นเป่ยหลี ลำพังแค่คำพูดคำจาที่ขัดจารีตของนาง ก็เป็นอะไรที่ไม่มีทางหลุดออกมาจากปากสตรีได้อย่างแน่นอน
เมื่อคิดเช่นนี้ จวินมั่วหรันก็ปล่อยมือออกจากผ้าม่านบนราชรถหยกอย่างหน่ายอารมณ์ พร้อมกับเอ่ยเสียงทุ้มตำ “นำแม่ทัพเฟิงกลับตำหนัก”
“ห๊ะ?”
ก่อนหน้านี้คิดว่าจวินมั่วหรันต้องการฆ่าอีกฝ่ายเพื่อปิดปาก แต่อยู่ๆ กลับเรียกเขาและสั่งให้พาตัวเฟิงอู๋โยวกลับตำหนักอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
เถี่ยโส่วหนังตากระตุก รู้สึกว่าเรื่องนี้มันไม่ธรรมดา
เขาครุ่นคิดอยู่หนึ่ง ดูจากไหวพริบของเฟิงอู๋โยว ไม่นานคงแทนที่ตัวเองหรือไม่ก็จุยเฟิงได้และกลายเป็นคนรับใช้คนโปรดของจวินมั่วหรันได้
“เชิญขอรับ แม่ทัพเฟิง”
เถี่ยโส่วค้อมตัวคลี่ยิ้มให้เฟิงอู๋โยวเล็กน้อย พร้อมกับผายมือ ‘เชิญ’ อย่างเป็นมิตร
เฟิงอู๋โยวสูดลมหายใจเข้าลึกๆ หนึ่งเฮือก พยายามใช้มือท้องสองข้างปกปิดเสื้อผ้าที่เปื้อนคราบเลือด ก่อนพยายามลุกขึ้นมาอย่างลำบากและเดินตามหลังเถี่ยโส่วไปอย่างเชื่อฟัง
“มีข้าอยู่ด้วย แม่ทัพเฟิงอย่าได้กังวล” เถี่ยโส่วเหลือบมองไปที่มือที่ประกบเข้าหากันอย่างประหม่าของเฟิงอู๋โยว ก่อนพูดปลอบด้วยเสียงทุ้มต่ำ
“เจ้าเป็นคนดีจริงๆ เรียกข้าว่าอู๋โยวก็พอแล้ว” เฟิงอู๋โยวคิดว่ามีเพื่อนเพิ่มเท่ากับมีทางรอดเพิ่ม ดังนั้นจึงรีบตอบกลับอย่างเกรงใจ
เมื่อได้ยินเฟิงอู๋โยวชมตัวเองว่าเป็นคนดี ใบหน้าของเถี่ยโส่วก็ร้อนฉ่าขึ้นมาทันที
ตั้งแต่เขาเริ่มติดตามรับใช้จวินมั่วหรันมา ความชื่นชมยกย่องก็ไหลมาเทมาอย่างไม่หยุดหย่อน ทว่าในช่วงสิบปีมานี้กลับไม่เคยมีใครชมเขาว่าเป็นคนดีเลยสักคน
“พวกเราคนกันเอง หลังจากนี้ต่อไปอู๋โยวไม่ต้องทำตัวเกรงใจกับข้าหรอก” เถี่ยโส่วเกาหัวอย่างเคอะเขินและยิ้มแห้งๆ
ภายในราชรถ จวินมั่วหรันจนปัญญายิ่งนัก เดิมทีเขาต้องการจะพาเฟิงอู๋โยวกลับตำหนักเพื่อทรมาน
แต่คิดไม่ถึงว่าเถี่ยโส่วจะเข้าใจเจตนาของเขาผิดและคิดว่าตัวเขาต้องการพาเฟิงอู๋โยวกลับตำหนักเป็นแขกเหรื่อ
ด้านนอกราชรถหยก เถี่ยโส่วตามประกบเฟิงอู๋โยวอย่างใกล้ชิด ในสมองของเขาพยายามคิดหาเรื่องพูดคุยอย่างสุดความสามารถ ทั้งนี้ก็เพื่อพยายามกระชับความสัมพันธ์ฉันพี่น้อง
“อู๋โยว เจ้าชอบกินอะไร เดี๋ยวพี่ชายอย่างข้าจะซื้อให้”
“อะไรที่กินได้ขอรับ”
“แล้วเจ้าชอบอาวุธแบบไหน พี่ชายอย่างข้าจะหลอมให้เจ้าเอง”
“เข็มเงินขอรับ”
“แล้วเจ้าชอบสตรีแบบไหน เดี๋ยวข้าจะช่วยเจ้าหา”
“เอาแบบวัยเจริญพันธุ์”
…
เฟิงอู๋โยวไม่คิดไม่ฝัน ภายนอกเถี่ยโส่วดูเหมือนคนเย็นชาไร้เยื่อใยแต่กลับมีนิสัยเป็นกันเองยิ่งนัก
ตอนนี้นางปวดท้องสุดจะทน ซ้ำยังต้องคอยคิดตอบคำถามที่ยิงมาไม่หยุดของเขาอีก ทำเอาเหงื่อกาฬบนหน้าผากเริ่มตก
ระหว่างพูดคุยกัน จู่ๆ เถี่ยโส่วก็ก้มหน้าเข้ามาใกล้ๆ เฟิงอู๋โยวพร้อมสูดลมหายอย่างฟุดฟิด “เฟิงอู๋โยว ทำไมเจ้าถึงตัวหอมแบบนี้ เหมือนกลิ่นสาวๆ เลย”
“สงสัยคงติดกลิ่นเครื่องร่ำแป้งหอมมาตอนที่หยอกเย้ากับองค์หญิงหลีอินเมื่อคืนวันก่อน”
“กลิ่นเครื่องร่ำแป้งหอมขององค์หญิงหลีอินช่างหอมหวนเสียจริง เจือกลิ่นคาวเลือดเล็กน้อย ผสมกับความเป็นบุรุษและสตรีเข้าด้วยกันลงอย่างลงตัว น่าประหลาดยิ่งนัก!”
เฟิงอู๋โยวฝืนยิ้มปากกระตุก ภายในใจคิดว่าเถี่ยโส่วจะต้องเป็นพวกสมองทึ่มแน่
แต่ก็โชคดีที่เถี่ยโส่วเป็นคนไม่ค่อยฉลาดนัก เพราะถ้าเป็นคนปกติทั่วไป หากได้กลิ่นคาวเลือดเจือจางบนร่างกายของนาง พวกเขาจะต้องจับได้ว่านางเป็นสตรีขึ้นมาทันที
หลังจากนั้นสักพักใหญ่ๆ อยู่ๆ เถี่ยโส่วก็ตื่นเต้นขึ้นมาอีกครั้ง “อู๋โยว ตรง ตรงนั้นของเจ้าใหญ่โตขนาดนั้นเชียวหรือ”
“อืม”
เฟิงอู๋โยวหยุดชะงักเล็กน้อย เพราะเริ่มรู้สึกว่ามีของเหลวอุ่นผ่าวไหลลงมาตามน่องขา ทำเอานางเครียดจัดจนแทบไม่มีกะจิตกะใจพูดคุยกับเถี่ยโส่ว
“อู๋โยว เจ้าบอกพี่ชายอย่างข้าได้หรือไม่ว่าเจ้าโตมาด้วยอะไร ทำไมเจ้าโลกถึงใหญ่ขนาดนั้น” เถี่ยโส่วขยับเข้ามากระซิบถามข้างหูเฟิงอู๋โยว
ภายในราชรถหยก จวินมั่วหรันที่แอบฟังเถี่ยโส่วกับเฟิงอู๋โยวพูดคุยกันอย่างตั้งใจก็ไอกระแอมขึ้นมา ทำเอาเขาเกือบสำลักน้ำลายตัวเองตาย
เขาไม่คิดไม่ฝันว่าทหารองครักษ์เงาที่ตัวเองปลุกปั้นมากับมือจะ…ทะลึ่งขนาดนี้!