ตอนที่ 38 ข้าจะร้องเพลงกล่อมเจ้า / ตอนที่ 39 เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าปวดใจมากเพียงใด
ตอนที่ 38 ข้าจะร้องเพลงกล่อมเจ้า
แสงอรุณสาดส่องรอดผ่านช่องประตูหน้าต่าง ผ้าม่านสีฟ้าปักดิ้นเงินห้อยลงมาจากขอบหน้าต่างกำลังพลิ้วไหวตามแรงลม
เฟิงอู๋โยวชักกระตุกฉับพลัน จากนั้นก็สำลักน้ำที่ยังตกค้างอยู่ในช่องอกออกมาจนหมด
“แค่กๆ”
นางยกมือขึ้นมาลูบคลำใบหน้าตัวเอง ดวงตาอันเลือนรางของนางมองไปที่ผ้าม่านสีฟ้าอย่างงุนงง
“เจ้าตื่นแล้ว!”
จวินมั่วหรันมองเฟิงอู๋โยวด้วยแววตาอ่อนโยน น้ำเสียงทุ้มต่ำเจือแววสุขใจ
“…”
เฟิงอู๋โยวมองเขาแน่นิ่ง ภายในใจพลันนึกว่าตัวเองกำลังฝันอยู่แน่ๆ
ไม่เช่นนั้นจวินมั่วหรันจะปฏิบัติกับนางอย่างอ่อนโยนแบบนี้ได้เยี่ยงไร
นางค่อยๆ เอื้อมมือออกไปหยิกที่ต้นขาของจวินมั่วหรัน “ไม่เจ็บใช่หรือไม่ ข้ารู้ว่านี่คือความฝัน”
จวินมั่วหรันกุมมือเฟิงอู๋โยวอย่างถะนุถนอม “ข้ารู้ว่าเจ้าไม่อยากไปจากข้า”
มือของนางเย็นเฉียบ เย็นจนคิ้วของจวินมั่วหรันที่คลายออกจากกันก่อนหน้านี้ขมวดติดกันอีกครั้งทันที
เฟิงอู๋โยวรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ จึงรีบดึงมือกลับมาหยิกแก้มตัวเอง
และมันกลับรู้สึกเจ็บ!
นี่ไม่ใช่ความฝัน!
เฟิงอู๋โยวตกใจตาเหลือก ลุกขึ้นพรวด “เจ้าเป็นจวินมั่วหรันจริงๆ ใช่หรือไม่”
เขาคลี่ยิ้มพลางตอบเสียงต่ำ “จริงแท้แน่นอน”
เฟิงอู๋โยวเอามือก่ายหน้าผากพลางนึกในใจ นี่ตัวเองกำลังเห็นผีอยู่แน่ๆ
ทั้งหมดที่เกิดขึ้นจะต้องไม่ใช่เรื่องจริงแน่นอน!
ถ้าจวินมั่วหรันอ่อนโยนขนาดนี้ตั้งแต่แรก นางคงไม่ตกใจจนเสียอาการขนาดนี้หรอก
ไม่สิ เดี๋ยวก่อน!
ตัวเองจมน้ำตายที่แม่น้ำคูเมืองแล้ว แต่ไฉนถึงกลับมาอยู่ที่เรือนมั่วหรันได้
ขณะที่นางกำลังเค้นความทรงจำว่าคืนเมื่อวานว่าเกิดอะไรขึ้นอยู่นั้น จวินมั่วหรันก็เปิดถ้วยโอสถทาแผลอีกครั้งและใช้นิ้วควักเนื้อครีมสีหยกนวลขึ้นมาก่อนเตรียมทาให้เฟิงอู๋โยว
“จวินมั่วหรัน นี่เจ้าจะทำอะไร!”
เฟิงอู๋โยวร้องเสียงหลงพร้อมกับพยายามปัดมือจวินมั่วหรันที่ยื่นเข้ามาออกไป
จวินมั่วหรันค่อยๆ ชักมือกลับไป แม้สีหน้าจะดูเยือกเย็น แค่น้ำเสียงกลับอบอุ่นชโลมใจ “เจ้าได้รับบาดแผล”
“ข้าไม่เจ็บ!”
เฟิงอู๋โยวรีบดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมร่างกายตัวเองอย่างมิดชิด
“ยังจะบอกว่าไม่เจ็บอีก” จวินมั่วหรันเริ่มหงุดหงิด น้ำเสียงของเขาเริ่มเย็นลง “ข้าใช้โอสถทั้งหมดในตำหนักเพื่อห้ามเลือดให้เจ้า”
“…”
เฟิงอู๋โยวหมดคำจะบรรยาย นางรู้สึกว่าหากทั้งหมดที่เกิดขึ้นไม่ใช่ภาพหลอนที่เกิดจากน้ำทะลักเข้าสมองตัวเอง เช่นนั้นก็แสดงว่าน้ำทะลักเข้าสมองจวินมั่วหรันจนนิสัยกลับตาลปัตรเป็นคนละคน
พูดกันตามหลักการ ถ้าจวินมั่วหรันรู้ว่านางเป็นสตรี ก็เท่ากับว่าเขาตามจับสตรีหัวขโมยที่ล่วงเกินเขาเจอแล้ว และคนนิสัยอย่างเขา นางไม่มีทางรอดอยู่แบบนี้แน่นอน
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นด้านหน้าตอนนี้ จวินมั่วหรันไม่เพียงแต่ไม่โมโหแต่ยังดูแลเอาใจใส่นางอย่างดี…
“จวินมั่วหรัน เจ้ารู้ใช่ไหมว่าข้าคือผู้ใด”
เฟิงอู๋โยวกำชายผ้าห่มแน่น ดวงตาแลดูคลุมเครือขึ้นราวกับกังวลความโชคชะตาของตัวเองที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้
“เรื่องนี้…มันสำคัญด้วยหรือ” จวินมั่วหรันย้อนถามกลับ และพยายามดึงผ้าห่มที่นางใช้คลุมร่างตัวเอง “มานี่ โอสถหยกตัวนี้ มีฤทธิ์ช่วยลดอาการบวมช้ำ ให้ข้าทาให้เจ้าดีๆ เถิด”
เฟิงอู๋โยวส่ายหน้าระรัวและพูดปฏิเสธเสียงแข็ง “ไม่ ไม่ต้อง!”
“เด็กดี!”
เฟิงอู๋โยวแทบอยากจะร้องไห้ ยิ่งไปกว่านั้นนางกลับคิดว่าจวินมั่วหรันถูกล้างสมองไปแล้ว
อันที่จริง เมื่อเทียบกับคนที่เหี้ยมโหดเย็นชาบ้าอำนาจคนก่อนหน้านี้ จวินมั่วหรันที่อ่อนโยนเอาใจใส่ด้านหน้าคนนี้ดีกว่าเยอะ
แต่เฟิงอู๋โยวรู้สึกว่าการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันของเขาทำเอานางกลัวจนขนหัวลุกอยู่ไม่น้อย
“ดื้อจัง”
จวินมั่วหรันบีบจมูกเฟิงอู๋โยวอย่างเอ็นดู จากนั้นก็วางโอสถหยกในมือลงก่อนคว้านางเข้ามาโอบกอด “หรือต้องให้ข้าร้องเพลงกล่อมเจ้า เจ้าถึงจะทำตามที่ข้าบอก”
ตอนที่ 39 เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าปวดใจมากเพียงใด
เพลงกล่อม!? คนอย่างจวินมั่วหรันจะร้องเพลงกล่อม!
เฟิงอู๋โยวรู้สึกว่าสมองของเขาจะต้องบาดเจ็บแน่
ใช่ มันต้องเป็นแบบนี้แน่ๆ
“สุ่ยเอ๋อร์ เด็กดี ให้ข้าทาโอสถให้เจ้านะ” จวินมั่วหรันปล่อยคนที่ตกใจตัวแข็งทื่อในอ้อมกอดออกพลางพูดขึ้นอย่างนุ่มนวล
“สุ่ยเอ๋อร์?”
เฟิงอู๋โยวนึกในใจ หรือว่าคนที่ชื่อสุ่ยเอ๋อร์ที่หลุดออกมาจากปากจวินมั่วหรัน คือสตรีในใจของเขา
นางส่ายหน้าและรีบผลักเขาออกไป “เซ่อเจิ้งหวาง เจ้าจำผิดคนแล้ว”
“เป็นไปไม่ได้ ต่อให้เจ้ากลายเป็นเถ้ากระดูก ข้าก็จำเจ้าได้”
จวินมั่วหรันผุดยิ้มมุมปาก “เจ้าก็คือหนูน้อยที่ข้าช่วยขึ้นมาจากแม่น้ำคูเมือง เป็นของขวัญที่ฟ้าส่งมา”
ขณะที่พูดอยู่นั้น มือของเขาที่วางอยู่บนหลังฝ่ามือนางก็ค่อยๆ ดึงผ้าห่มออกก่อนล้วงเข้าไปข้างใน
“จวินมั่วหรัน เจ้าจะทำอะไร”
เฟิงอู๋โยวกอดหน้าอกตัวเองแน่นและต่อว่าจวินมั่วหรันที่อยู่ห่างจากนางเพียงไม่กี่คืบอย่างระมัดระวัง
เขาดึงมือกลับไปอีกครั้ง ก่อนชี้ไปที่ส่วนที่นูนออกมาบนร่างกายของนาง “ข้าจะทาโอสถให้ โอสถหยกตัวนี้มีฤทธิ์ลดบวม เจ้าไม่ต้องกังวล”
“บวมบ้าอะไร!”
เฟิงอู๋โยวสะกดความรู้สึกที่อยากตะโกนด่าออกไป ทำได้แต่ถลึงตาใส่เขา
ทุกส่วนบนร่างกายของนางยังอยู่ครบปลอดภัยดี แค่ตรงนั้นยังอวบอึ๋มในขนาดที่พอเหมาะ
ขืนจวินมั่วหรันทำให้ส่วนโค้งนูนสองก้อนนั้นหายไปล่ะก็ นางฆ่าเขาทิ้งแน่นอน!
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
เสียงเคาะประตูดังมาจากด้านนอกเรือน เพราะเถี่ยโส่วได้ยินเสียงเอะอะภายในห้อง “ท่านใต้เท้า แม่ทัพเฟิงเป็นเยี่ยงไรบ้างขอรับ ต้องการแพทย์หลวงหรือไม่ขอรับ”
“ไปพามาให้เร็ว”
จวินมั่วหรันนึกไตร่ตรองขึ้นในใจ เลือดบนร่างกายของเฟิงอู๋โยวยังไหลไม่หยุด อาการบวมช้ำก็ยังไม่ลดลง จำเป็นต้องตามหมอมารักษาอย่างเร่งด่วน
ก่อนหน้านี้เฟิงอู๋โยวคิดว่าจวินมั่วหรันแค่สมองตื้อไปชั่วขณะ แต่นี่เขากลับลืมเรื่องทั้งหมดก่อนหน้านี้ไปอย่างสิ้นเชิง
แต่คำถามก็คือ ไฉนเขายังจำว่าตัวเองเป็นเซ่อเจิ้งหวางได้ ซึ่งหมายความว่าเขาไม่ได้ความจำเสื่อมแบบธรรมดาแน่นอน!
นี่ไม่ใช่อาการของความจำเสื่อม แต่ไฉนนิสัยของเขาถึงเปลี่ยนไปจากก่อนหน้านี้แบบคนละขั้ว หรือว่าจวินมั่วหรันป่วยเป็นโรคหลายบุคลิก
เมื่อคิดได้เช่นนี้ เฟิงอู๋โยวก็ถามขึ้นสีหน้าจริงจัง “เซ่อเจิ้งหวาง เจ้าจำเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อสองวันก่อนได้หรือไม่”
“นอกจากเจ้า ยังมีเรื่องอะไรที่คุ้มค่ามากพอให้ข้าจำอีก” จวินมั่วหรันตอบกลับอย่างเป็นธรรมชาติ ในหัวมีแต่เรื่องทาโอสถให้นาง
ดูเหมือนว่าจวินมั่วหรันจะจำเรื่องที่นางยั่วยุและหยามหมิ่นเข้าไม่ได้แล้ว
ดี ดีจริงๆ!
เฟิงอู๋โยวครุ่นคิดในใจ จวินมั่วหรันที่อยูข้างหน้าตอนนี้เป็นบุคลิกที่สองของเขา ไม่ใช่บุคลิกหลัก และมีโอกาสจะถูกบุคลิกหลักไล่ไปได้ทุกเมื่อ
ด้วยเหตุนี้ ก่อนที่บุคลิกหลักของเขาจะเข้ามายึดร่างนี้อีกครั้ง นางจะต้องปลอมตัวกลับเป็นบุรุษอีกครั้ง และเมื่อบุคลิกหลักของจวินมั่วหรันกลับคืนมาเป็นปกติ เขาก็จะจำเรื่องที่นางปลอมตัวเป็นชายไม่ได้
เฟิงอู๋โยวเหลือบมองไปที่เสื้อผ้าสะอาดที่วางอยู่ด้านหน้าเตียงก่อนคว้ามากอดไว้ จากนั้นก็สวมใส่มันอย่างรวดเร็ว
ยังดีที่มีผ้าพันแผลพันอยู่ตามร่างกาย ต่อให้ไม่รัดหน้าอก ขอแค่เสื้อผ้าตัวใหญ่พอ คนอื่นก็น่าจะมองไม่เห็นส่วนเว้าส่วนโค้งของนางได้
เมื่อจวินมั่วหรันเห็นเช่นนั้นก็ยื่นมือมาจับข้อแขนเล็กเรียวของเฟิงอู๋โยวกระชับแน่น ก่อนถามนางอย่างไม่เข้าใจ “เหตุใดถึงไม่ยอมทาโอสถ เจ้าไม่รู้หรือว่าการที่ข้าเห็นเจ้าบาดเจ็บขนาดนี้ ข้าปวดใจเพียงใด”
ใบหน้าของเขาเจือแววโมโหเล็กน้อย ดวงตาดำสนิทใต้คิ้วทรงกระบี่เริ่มมีน้ำตาคลอ มันแต่งแต้มมนต์เสน่ห์ที่ตราตรึงยิ่งกว่าเดิม เพียงแค่เห็นแวบแรกก็ทำเอาเฟิงอู๋โยวจิตใจปั่นป่วน ความรู้สึกสั่นไหวทันที
นางไอกระแอมเสียงแผ่วเพื่อกลบเกลื่อนความรู้สึกปั่นป่วนของตัวเอง ก่อนปรับคำพูดและคำเรียกของเขาใหม่ “ท่านใต้เท้า ขอท่านอย่าได้เข้าใจผิด กระหม่อมไม่ได้บาดเจ็บก็แค่เป็นผลมาจากการออกกำลังกาย ทำให้กล้ามเนื้อขยายใหญ่ขึ้นก็เท่านั้น”
“จริงหรือ”
“จริงขอรับ!”
“แล้วเหตุใดร่างกายของเจ้าจึงเลือดไหลไม่หยุด”
เฟิงอู๋โยวรู้สึกปวดขมับขึ้นมาทันที แม้นางจะหน้าด้านแต่ก็ด้านไม่มากพอที่จะพูดคุยเรื่องส่วนตัวของสตรีกับบุรุษ
เงียบขรึมไปครู่หนึ่ง ก่อนเริ่มแต่งเรื่องขึ้นมาอีกครั้ง “ที่ท่านเห็นไม่ใช่เลือดขอรับ มันเป็นแค่น้ำหมึก”
“จริงหรือ”
เฟิงอู๋โยวพยักหน้าอย่างหนักแน่นก็จะเริ่มพูดเอาใจเขาต่อ “แน่นอนขอรับ! กระหม่อมเป็นถึงผู้ที่เพียบพร้อมรอบด้านแห่งแคว้นเป่ยหลี แม่ทัพเฟิงผู้มีความรู้มากมาย หมึกในท้อง[1]มากเกินไปก็ย่อมล้นปริ่มออกมาเป็นธรรมดา แต่ถึงกระนั้นก็ไม่ใช่ปัญหาขอรับ”
“แม้จะเป็นเรื่องที่เจ้าแต่งขึ้นมา แต่ข้าก็เชื่อเจ้า” เมื่อจวินมั่วหรันเริ่มรู้สึกว่าเฟิงอู๋โยวอาจจะไม่ได้บาดเจ็บจริงๆ ก็ถึงกับก้มหน้าคอตกอย่างผิดหวัง
[1] หมึกในท้อง เป็นการเล่นคำในภาษาจีนที่มาจากสำนวนที่ว่า หมึกเต็มท้อง หมายถึงนักปราชญ์หรือคนที่มีความรู้ การศึกษา