ตอนที่ 44 คัดต่อ / ตอนที่ 45 เขาคือความฝัน
ตอนที่ 44 คัดต่อ
ส่วนคนด้านหลังที่ตามจี้มั่วอิ้นเหรินมาติดๆ นอกจากจุยเฟิงที่สีหน้ากลัดกลุ้มแล้ว มีเถี่ยโส่วที่สีหน้าร้อนรน แล้วยังมีแพทย์หลวงซูประจำราชสำนัก ที่ดูชำชาญในทักษะการแพทย์
จวินมั่วหรันมองดูปึกกระดาษหนาๆ ในอ้อมแขนของเถี่ยโส่วโดยไม่คิดจะรับมาตรวจดูแม้แต่น้อย “ดูจากความเร็วของฝ่าบาทแล้ว หนึ่งวันหนึ่งคืนคงคัดได้แค่เจ็ดร้อยจบ ที่เหลืออีกสามร้อยจบ กระหม่อมจะอนุโลมให้เวลาเพิ่มอีกหนึ่งชั่วยาม”
แววตาจี้มั่วอิ้นเหรินเจือแววประหลาดใจ เขานึกไม่นึกว่าจวินมั่วหรันจะฉลาดหลักแหลมขนาดนี้
ยังไม่ทันตรวจสอบก็รู้แล้วว่าตัวเองลักไก่คัดไม่จบเหลืออีกสามร้อยจบ
“เซ่อเจิ้งหวาง อนุโลมให้หน่อยไม่ได้หรือ ข้าคัดจนสามารถท่องกฎการปกครองแคว้นได้คล่องแล้ว!” จี้มั่วอิ้นเหรินทำหน้าบึ้งพลางบ่นเสียงเล็กเสียงน้อย
จวินมั่วหรันสะบัดชายแขนเสื้อก่อนนั่งลง สายตามองจี้มั่วอิ้นเหรินอย่างเบื่อหน่าย “ฝ่าบาท ไหนลองบอกกระหม่อมหน่อยว่าฝ่าบาทจะท่องให้มันได้อะไร”
“ข้า…”
จี้มั่วอิ้นเหรินพูดไม่ออก เขาแค่พูดไปเรื่อย แต่พอมาคิดดูดีๆ ก็คิดว่าการท่องไม่มีประโยชน์อะไร
จวินมั่วหรันยกถ้วยชาขึ้นก่อนเบนหน้าไปหาเฟิงอู๋โยว “รินชา”
“ขอรับ”
เฟิงอู๋โยวขานรับอย่างไม่เต็มใจพลางด่าทอจวินมั่วหรันอยู่ในใจ
เมื่อจี้มั่วอิ้นเหรินเห็นรอยฟกช้ำบนใบหน้าเฟิงอู๋โยว ดวงตาก็สั่นคลอนขึ้น
เขารู้สึกผิดกับเรื่องที่พูดเอาตัวรอดโดยที่ไม่สนใจเฟิงอู๋โยวเมื่อวานนี้
ด้วยเหตุนี้ พอเขาเห็นเฟิงอู๋โยวถูกรังแกจนสะบักสะบอมแบบนี้ก็อดไม่ได้ที่จะถามถึงสาเหตุกับจวินมั่วหรัน “เซ่อเจิ้งหวาง แม่ทัพเฟิงเป็นแม่ทัพชั้นสูงของแคว้นตงหลินแล้ว ไฉนท่านถึงปฏิบัติต่อเขาเยี่ยงนี้”
จุยเฟิงหนังตากระตุกเพราะกลัวว่าจวินมั่วหรันจะโมโหจนพลอยเล่นงานจี้มั่วอิ้นเหรินไปด้วย
“ท่านใต้เท้าขอรับ ข้อน้อยพาแพทย์หลวงซูมาแล้วขอรับ” จุยเฟิงพูดขัดจังหวะจี้มั่วอิ้นเหรินทันที
จวินมั่วหรันทำเหมือนไม่ได้ยิน และหันไปดูใบหน้าของเฟิงอู๋โยวที่ถูกเขาบีบจนฟกช้ำ “เฟิงอู๋โยว เจ้าคิดเยี่ยงไรกับข้า”
“ตบตีเท่ากับชอบ ด่าทอเท่ากับรัก การที่ท่านใต้เท้ายอมบีบแก้มกระหม่อม อาจเป็นเพราะท่านรักและเอ็นดูกระหม่อมใช่หรือไม่ขอรับ เพียงแต่หากท่านเบามือกว่านี้หน่อย กระหม่อมอาจจะประทับใจกว่านี้ก็เป็นได้” เฟิงอู๋โยวพูดขึ้นด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึกพลางรู้สึกว่าเกิดเป็นเฟิงอู๋โยวนี่ช่างลำบากจริงๆ
เพื่อมีชีวิตรอด นางต้องพูดอะไรไปหลายๆ อย่างที่ขัดกับตัวนางเอง
จวินมั่วหรันพยักหน้าอย่างพอใจ จากนั้นก็หันไปเลิกคิ้วให้จี้มั่วอิ้นเหรินที่มองมาหาเขาด้วยสายตาเย็นชา “เป็นอะไรไป ไม่อนุญาตให้กระหม่อมปฏิบัติต่อเขาอย่างนั้นหรือ”
“ข้าสั่งท่านได้ที่ไหน”
จี้มั่วอิ้นเหรินเบะปากพลางบ่นอุบอิบ
ภายในเวลาหนึ่งชั่วยาม คัดเพิ่มอีกสามร้อยจบ ถ้าทำไม่ได้ก็กลับไปขังตัวเองอยู่ในวังหลวงหนึ่งเดือน” จวินมั่วหรันลุกขึ้นพรวดก่อนก้าวเท้าเดินออกจากเรือนมั่วหรัน
เมื่อจุยเฟิงกับเถี่ยโส่วเห็นเช่นนั้นก็รีบพาแพทย์หลวงซูเดินตามหลังจวินมั่วหรันไปทันที
ท่ามกลางเรือนมั่วหรันเหลือเพียงจี้มั่วอิ้นเหรินกับเฟิงอู๋โยวที่มองตากันอย่างตกตะลึง
จี้มั่วอิ้นเหรินทำสีหน้าอมทุกข์พร้อมกับถอนหายใจนั่งลงไปที่เก้าอี้รับแขกด้านหน้า มือข้างหนึ่งสั่นระริก สงสัยอาจเป็นเพราะจับพู่กันคัดหนังสือนานไป
เฟิงอู๋โยวแค่นเสียงหึในลำคอ ก่อนก้าวไปข้างๆ เขา จากนั้นก็ทุบเข้าไปที่ศีรษะน้อยๆ ของจี้มั่วอิ้นเหรินทันที “นี่แหนะ โทษฐานที่พูดเอาตัวรอดและทิ้งกระหม่อม”
“เจ้า เจ้าริอาจทุบท่านอ๋องอย่างข้า!”
จี้มั่วอิ้นเหรินหน้าแดงก่ำพลางพูดขึ้นติดๆ ขัดๆ
“ทุบเจ้าหนึ่งที แล้วค่อยให้พุทราหวานหนึ่งลูก ก็ถือเป็นอันหายกันแล้ว” เฟิงอู๋โยวพูดอย่างไม่คิดอะไร
“เจ้ามีพุทราหวานจริงๆ หรือ ข้าคัดกฎการปกครองแคว้นหามรุ่งหามค่ำ ข้าวสักเม็ด น้ำสักหยดยังไม่ตกถึงท้องเลย หิวจนไส้จะขาดอยู่แล้ว” จี้มั่วอิ้นเหรินเลียริมฝีปากอย่างผิวกระหาย ในชั่วขณะนั้นเขารู้สึกว่าอ๋องน้อยอย่างตัวเขาช่างน่าอนาถเกินกว่าใคร
อาจเป็นเพราะสิ่งที่จี้มั่วอิ้นเหรินประสบพบเจอคล้ายกับของตัวเองมากเกินไป เฟิงอู๋โยวจึงอดทนและไม่ถือสากับเขามากกว่าใคร
นางจับมือจี้มั่วอิ้นเหริน จากนั้นก็ใช้เข็มเงินที่ซ่อนอยู่ใต้แขนเสื้อเกี่ยวด้านดิ้นทองที่ชายแขนเสื้อจี้มั่วอิ้นเหรินออกมา
“เฟิงอู๋โยว เจ้าไม่พอใจเซ่อเจิ้งหวางไฉนต้องมาระบายอารมณ์กับเสื้อผ้าของข้าด้วย” จี้มั่วอิ้นเหรินพูดขึ้นอย่างไม่พอใจ ใบหน้าอ่อนเยาว์เจือแววอ่อนโยนอยู่รำไร
“ฝ่าบาทคอยดูเถิด สักวันเซ่อเจิ้งหวางจะต้องคุกเข่าก้มศีรษะยอมรับผิดต่อหน้ากระหม่อม”
นางลั่นคำมั่นสัญญาอย่างมั่นใจ จากนั้นก็ถอดปลอกขนแปรงพู่กันที่ทำจากขนสุนัขจิ้งจอกออกมา ก่อนมัดพุ่มแปรงพู่กันด้วยด้ายดิ้นทองให้แน่นกว่าเดิม สุดท้ายก็ประกอบใส่ปลอกพู่กันตามเดิม
“รับไว้ จะได้คัดสะดวกกว่าเดิม เซ่อเจิ้งหวางไม่รู้หรอกขอรับ”
เฟิงอู๋โยวยื่นพู่กันที่นางดัดแปลงใหม่ใส่มือจี้มั่วอิ้นเหริน จากนั้นก็หยิบกระดาษมาอีกสามแผ่นและวางไว้บนโต๊ะ
จี้มั่วอิ้นเหรินเข้าใจคำพูดกและการกระทำของเฟิงอู๋โยว เขามองนางที่นั่งอยู่มุมโต๊ะอย่างชื่นชม “แม่ทัพเฟิง เจ้าเป็นแม่ทัพยอดอัจฉริยะจริงๆ!”
ตอนที่ 45 เขาคือความฝัน
“จริงหรือ คงมีแค่คนแก่อย่างเซ่อเจิ้งหวางที่สายตาเลือนรางมองเห็นไข่มุกเม็ดงามเป็นตาปลา”
เฟิงอู๋โยวนั่งไขว่ห้าง มือข้างหนึ่งถือถ้วยชาขึ้นมายอกดื่มอึกใหญ่
จี้มั่วอิ้นเหรินส่ายหน้า แววกลุ้มใจผุดขึ้นบนใบหน้าละอ่อนทันที เขามองเฟิงอู๋โยวที่นั่งอยู่บนโต๊ะพลางกดเสียงต่ำ “เจ้ากล้าใช้ถ้วยชาของเซ่อเจิ้งหวางด้วยหรือ”
“กลัวอะไร ร่างกายของเขากระหม่อมก็เคยใช้มาแล้ว นับประสาอะไรกับแค่ถ้วยชา” เฟิงอู๋โยวยิ้มมุมปากพลางควงถ้วยชาที่มีใบชาลอยอยู่เล่นอย่างสบายอารมณ์และไม่เกรงกลัวอะไร
ทันใดนั้น รูม่านตาของจี้มั่วอิ้นเหรินก็หดเกร็งฉับพลัน ก่อนพูดขึ้นอย่างตะกุกตะกัก “เซ่อ เจิ้ง หวาง อยู่…”
เฟิงอู๋โยวคิดว่าจี้มั่วอิ้นเหรินตกใจกับคำพูดวางมาดบาตรใหญ่ที่ไม่เป็นไปตามครรลองของนาง ครั้นแล้วก็ยิ่งลำพองใจกว่าเดิม “ใช่แล้ว เซ่อเจิ้งหวางคนที่อยู่ในสายตาของกระหม่อม เมื่อเทียบกับคนในหอนางโลมแล้ว หน่วยก้านได้รูป หน้าตาโดดเด่นเกินใครเปรียบ! ฝ่าบาทรู้หรือไม่ เส้นเลือดบริเวณกล้ามหน้าท้องของท่านใต้เท้าช่างน่าหลงใหลยิ่งนัก!”
“เฟิงอู๋โยว ไหนเจ้าลองพูดอีกทีซิ!”
เสียงอึมครึมแฝงแววอำมหิตของจวินมั่วหรันดังมาจากด้านหลัง แวบแรกที่ได้ยินทำเอาเฟิงอู๋โยวเสียวสันหลังวาบขึ้นมาทันที ประหนึ่งสายฟ้าผ่าเปรี้ยงเข้าโสต ตกใจจนเกือบกัดลิ้นตัวเองไปเสียแล้ว
นางลุกพรวดก่อนวิ่งไปหลบอยู่ด้านหลังจี้มั่วอิ้นเหรินอย่างไม่รู้ตัว ก่อนแอบมองจวินมั่วหรัน
แววตาของจวินมั่วหรันไร้ความปราณีดั่งคมมีดอันเยือกเย็น มือของเขากำภาชนะเครื่องหยกแน่น
จี้มั่วอิ้นเหรินกลืนน้ำลายอึก ถ้าไม่มีเฟิงอู๋โยวหลบอยู่ด้านหลัง ป่านนี้เขาคงจะวิ่งไปกอดขาจวินมั่วหรันและลงโทษตัวเองเพื่อให้จวินมั่วหรันเปลี่ยนท่าทีไปจากตอนนี้
เฟิงอู๋โยวกึ่งนั่งกึ่งยืนหลบอยู่ด้านหลังจี้มั่วอิ้นเหรินและชะโงกศีรษะออกมาจากแผ่นหลังเขาแค่ครึ่งเดียว
ดวงตาทรงกลีบดอกท้อของนางอัดแน่นไปด้วยแววตาอ้อนวอนที่พยายามส่งไปหาจวินมั่วหรัน “ท่านใต้เท้าขอรับ ผู้ยิ่งใหญ่สูงส่งอย่างท่านคงไม่ถือสาผู้ต้อยต่ำและคงไม่ลดตัวลงมาเกลือกกลั้วกับคนอย่างกระหม่อมหรอกกระมัง”
“ข้ามองผิดคิดว่าไข่มุกเม็ดงามเป็นตาปลาอย่างนั้นหรือ”
จวินมั่วหรันเดินเข้าใกล้เฟิงอู๋โยวทีละก้าว กลิ่นเครื่องร่ำแป้งพัดโชย มันแผ่ซ่านออกมาพร้อมกับรังสีของเขาอย่างตลบอบอวล
เฟิงอู๋โยวนึกในใจ จวินมั่วหรันไม่เพียงมองผิดคิดว่าไข่มุกเม็ดงามเป็นตาปลา แต่เขายังเป็นพวกมีตาหามีแววไม่อีกด้วย
แต่นางกล้าให้คำพูดพวกนี้ออกไปเสียที่ไหน
“ดวงตาของท่านใต้เท้าช่างเฉียบแหลม แยกแยะไข่มุกเม็ดงามกับตาปลาได้เป็นอย่างดี และด้วยความสามารถอันเปี่ยมล้นของท่านใต้เท้า ต่อให้เป็นตาปลาจริงๆ ท่านใต้เท้าก็สามารถเจียระไนให้เป็นไข่มุกเม็ดงามได้” เฟิงอู๋โยวตอบกลับอย่างประจบประแจง
จวินมั่วหรันรู้ดีว่านางเป็นคนช่างพูด เดิมทีอยากจะลงโทษนาง แต่กระนั้นก็รู้สึกดีกับคำสรรเสริญเยินยอของนางยิ่งนัก
“เจ้าเคยใช้ร่างกายของข้าด้วยหรือ” เขาเดินมาถึงหน้าโต๊ะ จากนั้นก็แย่งพู่กันที่ถูกดัดแปลงมาจากมือของจี้มั่วอิ้นเหริน ดวงตาพลันผุดแววขี้เล่นขึ้นมา
เฟิงอู๋โยวรีบปัดไม้ปัดมือแก้ต่างให้ตัวเองอย่างลนลานทันที “ท่านคือเซียนบนสรวงสวรรค์ที่สูงส่งเกินมองเห็น เรือนร่างของท่านคู่ควรกับคำว่า ‘ความฝัน’ ที่ไม่อาจมีจริงได้ในโลกมนุษย์ ถึงต่อให้เรือนร่างของท่านมีอยู่แค่ในความฝัน กระหม่อมหาได้กล้าชายตามองไม่”
ในที่สุด นางก็เข้าใจความหมายของคำว่า ‘กรรมใดใครก่อ กรรมนั้นคืนสนอง’ อย่างถ่องแท้แล้ว
นางในชาติก่อนฆ่าคนราวกับผักกับปลา
ในชาตินี้ ต่อให้นางยังมีชีวิตรอดปลอดภัยอยู่ แต่ก็เสี่ยงตายอยู่ตลอดเวลา
หากไม่ระวังแม้แต่นิดเดียวก็อาจถึงตายได้
แกร็ก
จวินมั่วหรันหมุนข้อมือหนึ่งรอบ พู่กันขนสนุขจิ้งจอกพลันแตกหัก
จี้มั่วอิ้นเหรินตัวแข็งทื่อทันที จากนั้นก็หันไปกอดกับเฟิงอู๋โยว
เฟิงอู๋โยวจับแก้มของจี้มั่วอิ้นเหรินพลางพูดปลอบ “กลัวอะไรหรือขอรับ การที่เซ่อเจิ้งหวางหักพู่กันก็เป็นเพราะความรักที่มีต่อฝ่าบาทนั้นลึกซึ้งเกินหยั่งถึงนะขอรับ”
“หืม?”
จวินมั่วหรันคลี่ยิ้มขึ้นทันที ความสามารถในการพูดกลับกลอกเปลี่ยนผิดเป็นถูกของเฟิงอู๋โยวมันช่างลึกล้ำเกินว่าที่เขาคาดคิดเสียอีก
“หรือว่าไม่จริง ต่อให้ท่านใต้เท้าไม่พูดออกมา แต่ภายในใจจะต้องคิดเช่นนั้นอยู่แน่นอน การที่หักพู่กันทิ้งเช่นนั้นก็เป็นเพราะรู้สึกเห็นใจฝ่าบาทที่คัดหนังสืออย่างเหน็ดเหนื่อย”
เฟิงอู๋โยวรีบแย่งพู่กันที่หักเป็นสองท่อนในมือจวินมั่วหรันมาและใช้ด้ายดิ้นทองพันรัดให้กลับเป็นเหมือนเดิม
นางพูดปลอบโยนจี้มั่วอิ้นเหริน “รับไปเถิดขอรับ! ตอนนี้คัดต่อ จบหนึ่งจบ หักล้าง (เฆี่ยน) หกหวาย แบบนี้ควรขอบพระคุณเซ่อเจิ้งหวางนะขอรับ”