ตอนที่ 65 แสดงให้ทุกคนชม / ตอนที่ 66 แม่ทูนหัวตัวน้อยเมาเละเทะ
ตอนที่ 65 แสดงให้ทุกคนชม
ฮัดชิ้ว
ดวงตาทรงกลีบดอกท้อของเฟิงอู๋โยวหรี่ลง นางจามหลายครั้งติดกัน
นางขยี้จมูกตัวเองพลางบ่นพึมพำเสียงต่ำ “ไฉนถึงมีแต่คนจ้องเล่นงานข้า”
เถี่ยโส่วถอนหายใจเสียงแผ่ว จากนั้นก็ก้าวเข้าไปหาอย่างรวดเร็ว “แม่ทัพเฟิง เจ้าเมาแล้ว ให้ข้าไปส่งเจ้ากลับตำหนักก่อนดีหรือไม่”
เขาพูดพลางยื่นมือออกไปหมายคว้าเอวเล็กคอดของนาง
“ซือมิ่ง ไปนำตัวเถี่ยโส่วมา”
จวินมั่วหรันเหลือบมองเฟิงอู๋โยวในสภาพเมาจนตาปรือ ในใจแอบโมโหขึ้นมาเล็กน้อย
ซือมิ่งเงยหน้ามองจวินมั่วหรัน เพียงแวบเดียวก็เข้าใจความต้องการของจวินมั่วหรันในทันที
เสี้ยวพริบตาต่อมา เขาพุ่งเข้าไปด้านหน้าเถี่ยโส่ว จับมือของเถี่ยโส่วที่กำลังเอื้อมไปจับตัวเฟิงอู๋โยว “เถี่ยโส่ว ท่านใต้เท้าเรียกเจ้า”
“อ่อ ซือมิ่ง เจ้าช่วยข้าดูแลแม่ทัพเฟิงหน่อยแล้วกัน! เขาเมาจนพูดจาไม่รู้เรื่องแล้ว ข้าไม่วางใจ” เถี่ยโส่วพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม จากนั้นก็ตามทำตามที่ซือมิ่งกำชับ
“เจ้ากังวลเรื่องของตัวเองเถิด!”
ซือมิ่งส่ายหน้า ก่อนจะคว้าคอเสื้อของเถี่ยโส่วและลากเขาไปหาจวินมั่วหรันทันที
เมื่อไม่มีการดูแลจากเถี่ยโส่ว อารมณ์สนุกสนานของเฟิงอู๋โยวที่ผนวกกับฤทธิ์สุราก็ยิ่งทวีคูณราวกับถูกจุดชนวน
นางลุกขึ้นพรวด เงยหน้ามองบรรดาหญิงสาวที่กำลังร้องเล่นเต้นรำอยู่บนเวที จากนั้นก็หัวเราะออกมา “เฮ้อ ข้าเต้นเก่งกว่าอีก”
จุยเฟิงที่ได้ยินเช่นนั้นรีบถามขึ้น “แม่ทัพเฟิง นี่เจ้าจะไปไหน”
“ข้าจะไปบนเวทีและจะทำการแสดงให้ทุกคนชม!”
เฟิงอู๋โยวยกมือยกไม้ร้องตะโกนอย่างเริงร่า หน้าแดงเรื่อจากฤทธิ์สุราราวผงอัดสีชาด[1] ขับความอ่อนหวานมีเสน่ห์ออกมายิ่งกว่าเดิม
“อย่าทำแบบนั้นเลยแม่ทัพเฟิง! หน้าที่หลักของพวกเราคือตามจับสตรีหัวขโมย ไม่ใช่ทำการแสดง” จุยเฟิงจนปัญญา เขารีบเดินตามหลังนาง แต่ก็ห้ามเยี่ยงไรก็ห้ามไม่อยู่
“หึ! วันนี้ข้าจะแสดงให้ทุกคนได้เห็นถึงเสน่ห์ของลูกผู้ชาย! ให้ทุกคนได้รู้ว่าข้าสุดยอดแค่ไหน”
เฟิงอู๋โยวใส่ทำนองเสียงร้องลงไปตรงประโยคสุดท้าย
ตอนนี้ นางลืมเรื่องที่เกิดขึ้นที่แคว้นเป่ยหลีเป็นปลิดทิ้ง
ในช่วงเวลานี้ ในสายตาของนางมีแต่พื้นเวทีที่ทำจากหยกขาวท่ามกลางหอนางโลม
เฟิงอู๋โยวรู้สึกว่าขอเพียงตัวเองได้ขึ้นไประบายอารมณ์บนเวที ความอัดอั้นทั้งหมดจากที่ผ่านๆ มาก็จะสูญสลายกลายเป็นธาตุอากาศ
“มนต์เสน่ห์ของผู้ชาย?”
รูม่านตาของจุยเฟิงหดเกร็งลงฉับพลัน เขาตกใจจนเกือบคุกเข่าก้มหน้าขอร้องเฟิงอู๋โยว
เขารับรู้ถึงความรู้สึกรักใคร่แปลกๆ ที่จวินมั่วหรันมีต่อเฟิงอู๋โยว ด้วยเหตุนี้ หากปล่อยให้เฟิงอู๋โยวเมาและขึ้นไปแก้ผ้าบนเวทีต่อหน้าทุกคน ตัวเขาก็จะพลอยลำบากไปด้วย
“แม่ทัพเฟิง สำรวมหน่อย!”
จุยเฟิงตกใจมากจนยกมือทั้งสองข้างกุมคอแน่น เพราะกลัวว่าจวินมั่วหรันจะลงโทษและตัดคอเขาทิ้ง
“สหายพี่จุยเฟิงพูดถูก เช่นนั้นข้าสำรวมลงหน่อยแล้วกัน”
ดวงตาทั้งสองข้างของเฟิงอู๋โยวยังซุกซ่อนแววฉลาดเจ้าเล่ห์ นางยกนิ้วชี้ป้องปากจุยเฟิง
แต่ทว่าจุยเฟิงยังไม่ทันพักหายใจ เฟิงอู๋โยวก็อาศัยจังหวะที่เขาไม่ทันตั้งตัวกระโดดขึ้นเวทีไปทันที
นางดึงม่านสีขาวมุขปักดิ้นเงินลายดอกไห่ถัง[2]ออก ก่อนค่อยๆ โผล่ศีรษะออกมานอกผ้าม่านดุจธิดาเซียน
สายลมพัดโชย เฟิงอู๋โยวในชุดผ้าพลิ้วสีขาวนวลดุจจันทร์เสี้ยวที่ตัดเย็บอย่างพอดีตัวก็ค่อยๆ เดินเยื้องย่างออกมาด้านหน้าเวที
รูปร่างสูงเพรียว ท่วงท่างดงามดุจกิ่งกล้วยไม้แกว่งไสวภายใต้ม่านหมอกของแสงจันทร์
รอยยิ้มพริ้มพราวอ่อนหวานเกินกว่าจะบรรยาย แม้ไม่ได้ปริปากพูดคำใด ทว่ากลับไม่ลดทอนความสวยงามพราวเสน่ห์ที่แผ่สะพรั่งออกมาจากทั่วทั้งร่างนางเลยแม้แต่น้อย
จุยเฟิงเห็นเช่นนั้นก็กระวนกระวายใจ เขาตะโกนเรียกเฟิงอู๋โยว “แม่ทัพเฟิง เก็บมนต์เสน่ห์ของผู้ชายไว้แสดงให้ท่านใต้เท้าชมก็พอแล้ว! ขืนเจ้าแก้ผ้าต่อหน้าผู้คนแบบนี้ ท่านใต้เท้าสั่งตอนเจ้าแน่ๆ!”
เฟิงอู๋โยวขมวดคิ้วอย่างไม่สบอารมณ์ ก่อนเถียงจุยเฟิงกลับไป “อย่าพูดชื่อเจ้าหมอนั่นให้ข้าได้ยิน! หากเขาคิดจตอนข้า เช่นนั้น…เขาก็จะต้องถูกตอนไปพร้อมข้าเช่นกัน”
ตอนที่ 66 แม่ทูนหัวตัวน้อยเมาเละเทะ
ทันทีที่เฟิงอู๋โยวพูดจบ ก็ยืนในท่วงท่างามสง่า ดื่มด่ำกับโห่ร้องที่ดังมาเป็นระลอกๆ จากด้านล่างเวที
จุยเฟิงฟังเสียงหัวเราะที่ราวกับคลื่นทะเลโหมกระเพื่อมดังมากระทบโสต อยู่ๆ ก็ปวดหัวขึ้นมา
ถ้ารู้ว่าเฟิงอู๋โยวคออ่อนตั้งแต่แรก เขาควรจะดูแลนางให้ดีกว่านี้
ตอนนี้นางเป็นม้าที่หลุดออกจากโซ่ตรวน ไร้การควบคุมอย่างสิ้นเชิง!
“แม่ทัพเฟิง เจ้าลงมาได้แล้ว หากท่านใต้เท้ารู้ว่าเจ้าขึ้นมาแสดงเสน่ห์ของผู้ชายบนเวทีแบบนี้ เสน่ห์ของผู้ชายในตัวเจ้าจะถูกจับตอนเอา!”
“อยากตอนก็ตอน! เพราะถึงอย่างไรเขาก็ไม่ชอบขี้หน้าข้าอยู่ดี” เฟิงอู๋โยวพูดปนน้ำเสียงงอน
“แม่ทูนหัว ขอร้องล่ะ รีบๆ ลงมาได้แล้ว! ขืนเจ้าทำเรื่องขายหน้าขึ้นมา ข้าก็พลอยโดนทำโทษไปด้วย…” จุยเฟิงยกมือปิดหน้าด้วยความรู้สึกกลุ้มใจ
เฟิงอู๋โยวชี้ไปที่เป้ากางเกงของตัวเอง จากนั้นก็มองไปที่จุยเฟิง “เจ้าหมายความว่า ท่านใต้เท้าจะคลุ้มคลั่งเสียสติตอนทั้งของข้าและของเจ้าอย่างนั้นหรือ”
จุยเฟิงพยักหน้า จากนั้นก็รีบส่ายหน้าพลางพูดอธิบายระรัว “ท่านใต้เท้าจิตใจดีมีเมตตา ไม่เข้าข่าย ‘คลุ้มคลั่งเสียสติ’ แม้แต่น้อย”
“จุยเฟิง สมองเจ้าถูกม้าดีดกะโหลกไปแล้วหรือ”
เฟิงอู๋โยวถามจุยเฟิงกลับอย่างสงสัย จากนั้นก็ตะโกนขึ้นเสียงดัง “ถ้าท่านใต้เท้าไม่คลุ้มคลั่งเสียสติ ไฉนถึงคิดจะจับพวกเราตอน ต่อให้เขาจะอิจฉาขนาดอันใหญ่โตของข้า แต่ก็ไม่สามารถตอนไปใส่ของตัวเองได้อยู่ดี”
“แม่ทูนหัว เจ้าหยุดพูดได้แล้ว!” คำพูดของเฟิงอู๋โยวทำเอาสีหน้าของจุยเฟิงซีดลง ทำท่าเหมือนจะเข้าไปดึงนางลงจากเวที
เฟิงอู๋โยวตอบสนองอย่างฉับไว นางกระโดดไปอยู่ด้านหลังสตรีที่กำลังเต้นรำอยู่ “จุยเฟิง เจ้าเข้าใจท่านใต้เท้าดีกว่าใคร เจ้าจะต้องรู้จักความวิตถารของเขาใช่หรือไม่”
“แม่ทัพเฟิง ลงเวทีมากับข้าเดี๋ยวนี้!”
จุยเฟิงผลักบรรดาสาวๆ บนเวทีให้พ้นทาง แต่ก็ไม่อาจจับตัวเฟิงอู๋โยวที่เคลื่อนไหวคล่องตัวเสมือนปลาไหลได้
“เป็นลูกผู้ชายก็ต้องกล้าพูดต่อหน้าทุกคน ท่านใต้เท้าชอบไม้ป่าเดียวกันใช่หรือไม่!” เฟิงอู๋โยวเคลื่อนตัวมาด้านหลังจุยเฟิงอย่างว่องไว จากนั้นเขย่งเท้าและตะโกนใส่ข้างหูจุยเฟิงเสียงดังลั่น
จุยเฟิงเข่าอ่อน พลันรู้สึกพะอืดพะอมขึ้นในลำคอ
เขารู้สึกว่าถ้าเสียเวลากับเฟิงอู๋โยวไปมากกว่านี้ ชีวิตที่เหลืออยู่ร่อยหรอของตัวเองคงต้องจบลง
ขณะที่เขากำลังลนลานอยู่ ทันใดนั้นก็ฉุกคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้!
ว่ากันว่า คนไม่รู้ย่อมไม่ผิด
เช่นนั้นเขาแกล้งเป็นลมหมดสติและทำเป็นไม่รับรู้เรื่องที่เกิดขึ้นก็พอแล้ว
อาจเป็นเพราะตื่นกลัวเกินไป ช่วงที่จุยเฟิงแสร้งล้มลงไปที่พื้น ปลอกแขนสำริดดันเผลอไปเกี่ยวกับชุดของเฟิงอู๋โยว
แค่วก!
ท่ามกลางความวุ่นวาย ชุดสีขาวนวลของเฟิงอู๋โยวถูกเกี่ยวจนขาด
และที่แย่ไปกว่านั้นก็คือ กางเกงของนางดันถูกเกี่ยวขาดไปด้วยครึ่งหนึ่ง
จบกัน ยิ่งทำยิ่งแย่!
ปากจุยเฟิงเกร็งกระตุก ภายในใจอาบไปด้วยน้ำตา
“ไฉนต้องฉีกชุดข้า เป็นผู้ชายเหมือนกัน ไฉนต้องทำร้ายกัน”
เฟิงอู๋โยวมุ่ยปาก ใช้เท้าเขี่ยจุยเฟิงที่แกล้งทำเป็นลมหมดสติอยู่ที่พื้นไปข้างๆ
จุยเฟิงถอยกลับไม่ได้แล้ว เขาอยากจะเข้าไปปิดรูกางเกงที่ขาดให้เฟิงอู๋โยว เพราะไม่อยากให้ผิวขาวดุจหิมะของนางปรากฏต่อหน้าทุกคน
แต่เขากลัวจะเกินเรื่องบายปลายไปมากกว่านี้ หลังจากไตร่ตรองดูแล้ว เขาจึงทำได้แค่นอนทำเป็นหมดสติบนพื้นเวทีหยกขาวเย็นเยียบต่อไป
ณ ห้องสำราญบนชั้นสองของหอนางโลม จี้มั่วจื่อเฉินหัวเราะเฟิงอู๋โยวจนท้องแข็ง เขาตบโต๊ะอย่างสะใจ “เวลาเจ้าหมอนี่เมาก็ตลกดีไม่เบา!”
สายตาเยือกเย็นของจวินมั่วหรันมองไปยังน่องขาขาวๆ ของเฟิงอู๋โยว เขาพูดขึ้นเสียงแผ่ว “อนาจาร”
เถี่ยโส่วที่อยู่ข้างๆ จวินมั่วหรันรีบพูดขึ้น “ท่านใต้เท้า การที่แม่ทัพเฟิงเผยน่องขาต่อหน้าผู้คนเช่นนี้ ข้าน้อยเกรงว่าจะยิ่งทำให้สถานการณ์ยิ่งแย่ไปกว่าเดิม ให้ข้าน้อยพาตัวเขากลับตำหนักก่อนดีหรือไม่ขอรับ”
“ไม่ต้อง”
จวินมั่วหรันมองเถี่ยโส่วด้วยสายตาเยือกเย็นดุจคมมีด เสียงชั่วร้ายพลันเปล่งขึ้นอีกครั้ง “จงไปที่แคว้นเป่ยหลีและสืบเรื่องที่เฟิงอู๋โยวดูหมิ่นองค์หญิงหลีอิน”
“รับทราบ”
เถี่ยโส่วขานรับ แต่ภายในใจรู้สึกกลัดกลุ้มยิ่งนัก
ช่วงสองสามปีมานี้ การสืบค้นและรวบรวมข้อมูลเป็นหน้าที่ของซือมิ่งและเหลิงเสวี่ย แต่ไฉนวันนี้ถึงตกมาเป็นหน้าที่ของตัวเองอย่างกะทันหันเช่นนี้
ซือมิ่งที่เห็นท่าทางทึ่มๆ ของเถี่ยโส่วก็ส่ายหน้าขึ้นมาไม่หยุด
อันที่จริง จวินมั่วหรันสั่งให้เขาไปสืบเรื่องที่เฟิงอู๋โยวดูหมิ่นองค์หญิงหลีอินตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว
การที่จวินมั่วหรันสั่งให้เถี่ยโส่วไปสืบเรื่ององค์หญิงหลีอินอีกครั้ง ก็เป็นเพราะไม่อยากให้เถี่ยโส่วอยู่ใกล้ชิดเฟิงอู๋โยวมากเกินไป
เมื่อคิดได้เช่นนี้ ซือมิ่งก็ได้แต่มองตามแผ่นหลังที่คล้อยจากไปของเถี่ยโส่วอย่างเห็นใจ ก่อนหยิกขาตัวเองเพื่อเตือนสติตัวเองให้อยู่ห่างจากเฟิงอู๋โยว
เขาห้ามมีเรื่องกับผู้ชายของท่านใต้เท้าเด็ดขาด
[1] ผงอัดสีชาด หรือ เยียนจือ เป็นเครื่องสำอางแบบหนึ่งในสมัยจีนโบราณ มีลักษณะเป็นผงอัดหรือไขมัน ทำขึ้นจากชาด ดอกคำฝอยหรือวัตถุสีแดง ใช้แต่งแต้มริมฝีปากหรือแก้มให้แลดูสดใส มีชีวิตชีวา
[2] ดอกไห่ถัง เป็นไม้ต้นชนิดหนึ่งในสกุลแอปเปิล ในวงศ์กุหลาบ ออกดอกสีขาวหรือสีชมพูขึ้นอยู่กับพันธุ์ ผลมีสีเหลือง