ตอนที่ 81 วัดกล้ามหน้าท้องกับเขา / ตอนที่ 82 ได้มาและเสียไป
ตอนที่ 81 วัดกล้ามหน้าท้องกับเขา
แสงราตรีเย็นเฉียบเล็ดลอดผ่านซอกหน้าต่าง ส่องทาบลงบนใบหน้าเจือแววเหนื่อยล้าของเฟิงอู๋โยว
ประหนึ่งมีม่านหมอกเบาบางเคล้าแสงจันทร์ทรานวลผ่องปกคลุมอารมณ์เมามายของนาง
ไม่รู้มนต์เสน่ห์ยามราตรีพัดหอบมาจากที่ใด กำแพงอาบแสงจันทร์แลดูเหมือนแผ่นหยกแตกกระจาย
กริ๊ง กริ๊ง กริ๊ง!
เฟิงอู๋โยวขยับร่างกายไปมาอย่างระมัดระวังจนเข็มเงินที่ปักยึดเสื้อผ้านางติดกำแพงค่อยๆ ร่วงหล่น
ครั้นหลุดพ้นจากพันธนาการ ในที่สุดใบหน้าของนางก็ผุดยิ้มเจ้าเล่ห์
เมื่อก้าวข้ามกระบี่สะบั้นมังกรที่อยู่ตรงระหว่างขามาได้ เฟิงอู๋โยวก็เดินย่องมาด้านหน้าเตียงนอน ดวงตาใสวาวผุดแววนึกสนุกอย่างไม่อาจปิดบัง
ฤทธิ์สุรายังไม่จางหาย จิตอกุศลพลันผุดขึ้นอีกครั้ง
นางพอจะจำได้ว่าภายใต้เสื้อผ้าสีพื้นของพ่อหนุ่มรูปงามที่อยู่บนเตียงด้านหน้า ซ่อนเร้นกล้ามเนื้อที่มีเส้นเลือดปูดโปนขึ้นมาไร
หากได้ลวนลามสักนิดสักหน่อย ความเจ็บปวดทั่วทั้งตัวคงหายเป็นปลิดทิ้ง!
เมื่อคิดได้เช่นนี้ ก็พยักหน้ากับตัวเองอย่างหนักแน่น ก่อนค่อยๆ เลิกผ้าห่มที่ปกคลุมร่างกายจวินมั่วหรันออกและค่อยๆ ล้วงเข้าไปใต้เสื้อผ้าบางๆ ของเขา
“ออกไป”
จวินมั่วหรันขมวดคิ้วแน่นเพราะสัมผัสได้ถึงอันตรายที่ใกล้เข้ามา เสียงตวาดดังขึ้นทำเอาเฟิงอู๋โยวสะดุ้งตกใจ รีบชักมือกลับและไม่กล้าลงมือทำอะไรอีก
นางยืนตัวแข็งทื่อจ้องมองจวินมั่วหรันที่หลับตาพริ้มอยู่บนเตียง
ครั้นลมหายใจของจวินมั่วหรันผ่อนเบาลง นางจึงแน่ใจว่าเสียงตวาดเมื่อครู่เป็นแค่เสียงละเมอ หัวใจที่เบาหวิวขึ้นมาจนถึงคอของนางค่อยๆ ผ่อนคลายลง
“หึ ไม่ให้ข้าดู คิดว่าข้าจะยอมหยุดอยู่แค่นี้หรือ”
เฟิงอู๋โยวบ่นกับตัวเองอย่างไม่สบอารมณ์ จากนั้นก็ค่อยๆ ปลดเสื้อเปียกๆ ของตัวเองออก
พอเริ่มปลดออก ก็ฉุกนึกขึ้นได้ นางหยุดการกระทำทุกอย่างลง “ไม่สิ ข้าเป็นสตรี ห้ามให้ใครเห็นหน้าอกตัวเองเด็ดขาด”
นางเงียบขรึมลงไปสักใหญ่ เดินไปมาอย่างคิดไม่ตกอยู่ในเรือน
ในช่วงที่ไม่คาดคิด อยู่ๆ สายตาของนางกันไปหยุดอยู่ที่กระบี่สะบั้นมังกรเงาวาวที่เสียบอยู่บนกำแพง
แคว่ก แคว่ก แคว่ก!
ตอนนี้ มีเสียงฉีกขาดดังขึ้นมาท่ามกลางเรือนมั่วหรัน
จุยเฟิงที่เฝ้ายามอยู่ที่ประตูเกิดหวั่นใจขึ้นมา ทั้งที่จวินมั่วหรันหลับไปแล้ว ไฉนถึงมีเสียงประหลาดดังขึ้นภายในเรือน
หรือว่าเฟิงอู๋โยวเมาและคิดจะทำอะไรจวินมั่วหรันอีก
เมื่อคิดได้เช่นนี้ จุยเฟิงก็ตื้นตันใจขึ้นมาทันที
“คุณพระคุณเจ้า ขอให้ท่านใต้เท้าได้ลิ้มลองรสชาติอันหอมหวานนั้นอีกครั้งด้วยเถิด ได้ทั้งหญิงได้ทั้งชาย ย่อมมีโอกาสได้ลูกได้หลานมากกว่าไม่สนใจเพศไหนเลย!” สองมือไหว้พนม “ฟุบ” จุยเฟิงพลันคุกเข่าลงไปสวดภาวนาบนพื้นเย็นเฉียบ
ภายในเรือยมั่วหรัน เฟิงอู๋โยวฉีกเศษเสื้อผ้าของนางมาห่อบนคมดาบ จากนั้นก็ค่อยๆ ดึงมันออกมาจากกำแพง เมื่อได้มาก็ค่อยๆ เลาะเสื้อผ้าที่ปกคลุมหน้าท้องของตัวเองออก
นางหลุบตามองหน้าท้องเรียบเนียนของตัวเองอย่างไม่ชอบใจ
ไม่ว่าอย่างไร เจ้าของร่างคนก่อนก็เป็นถึงแม่ทัพอายุน้อย นางคิดไม่ออกว่าคนที่อยู่ท่ามกลางการเข่นฆ่ามาเป็นเวลานาน ไฉนบนร่างกายไม่มีรอยแผลเป็นที่เกิดขึ้นจากการต่อสู้เลยสักนิด
“ผิวพรรณบอบบางอ่อนนุ่ม คงทำข้าลำบากเข้าสักวัน”
นางบ่นพึมพำ จากนั้นก็หยิบพู่กันบนโต๊ะขึ้นมาจุ่มหมึก สะบัดฝีแปรงไปมาบนหน้าท้องตัวเอง
“หนึ่งก้อน สองก้อน สามก้อน…”
เฟิงอู๋โยวก้มหน้ามอง เดิมทีนางต้องการจะวาดกล้ามหน้าท้องให้ตัวเองทั้งหมดแปดก้อน แต่ไม่รู้ทำไมถึงเผลอวาดไปเยอะกว่านั้น
ครั้นหมึกแห้ง หน้าท้องของนางก็ดำปี๊
“พู่กันเฮงซวย แค่วาดกล้ามหน้าท้องยังวาดออกมาไม่ได้!”
นางเหวี่ยงพู่กันทิ้ง ก่อนตบบหน้าท้องอย่างไม่พอใจ “ช่างเถิด ให้คนทั่วใต้หล้าได้เห็นว่าข้าท้องดำ[1]แค่ไหนก็พอ!”
พูดจบ เฟิงอู๋โยวก็ย่องเดินมาด้านหน้าเตียง และเริ่มลงมือกับพ่อหนุ่มรูปงามบนเตียง
เดิมทีนางอยากจะปลุกจวินมั่วหรันขึ้นมาดูหน้าท้องอัน ‘กำยำ’ ของตัวเอง
แต่พอเห็นใบหน้าหล่อเหลาราวกับถูกแกะสลักมาอย่างวิจิตรของเขาก็ใจระทวยขึ้นมาทันที
ถอดรองเท้า ขึ้นเตียง นอนทาบลงบนร่างของเขาเสมือนตัวเองเป็นผ้าห่ม
ภายในช่วงเวลาสั้นๆ เฟิงอู๋โยวก็จัดวางท่าในอ้อมกอดของจวินมั่วหรันได้ และผล็อยหลับไป…
ตอนที่ 82 ได้มาและเสียไป
รุ่งอรุณ ฟ้าสาง แดดทอแสง
จวินมั่วหรันค่อยๆ ลืมตาขึ้นอันงัวเงียขึ้นมา ยังไม่ทันลุกขึ้นก็พบว่าเฟิงอู๋โยวนอนทับอยู่บนตัวราวกับปลาดูด
ดวงตาชั่วร้ายของเขาผุดแววตกใจ จากนั้นก็จับนางโยนตกเตียงไปอย่างรังเกียจ
เฟิงอู๋โยวร้องอู้อี้ ดวงตาสะลึมสะลือ นางหยิบรองเท้าที่อยู่ใต้เตียงมาทำท่าจะปาใส่จวินมั่วหรัน “ไฉนต้องผลักกระหม่อม”
พูดจบ นางก็ตระหนักได้ว่าเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสม
ก่อนภาพตัด คลับคล้ายคลับคาว่านางได้วาดกล้ามหน้าท้องให้ตัวเอง แต่พอวาดไปวาดมา ไฉนถึงได้มาอยู่บนเตียงนอนของจวินมั่วหรันได้
“เตียงของข้า แต่เจ้ากลับมาหลับนอนอย่างสบายใจเฉิบ”
ขณะพูด จวินมั่วหรันก็ลงมาจากเตียง เขามองเฟิงอู๋โยวในสภาพผมเผ้ายุ่งเหยิงเสื้อผ้าไม่เป็นระเบียบด้วยสายตาเย่อหยิ่ง
สายตาของเขาไปหยุดอยู่ที่หน้าอกของนาง จากนั้นก็เลื่อนลงต่ำไปที่หน้าท้องที่เปื้อนไปด้วยหมึก ก่อนเอ่ยขึ้นอย่างสนใจ “ฝีแปรงไม่เลว คิดวางแผนจะทำอะไรกับข้าอีก”
“ห๊า”
เฟิงอู๋โยวก้มหน้ามองอย่างตกใจ ที่ชายเสื้อด้านหน้ามีรอยมือจากหมึกเปื้อนอยู่ นางไม่รู้ว่ามันโผล่มาจากไหน แต่คิดว่าคงเป็นฝีมือตัวเอง เลยไม่ได้ใส่ใจเท่าไหร่นัก
“ขอท่านใต้เท้าโปรดเมตตา กระหม่อมคออ่อน เมื่อวานสำลักสุราในถังหมักไปหลายอึกจนเมาไม่รู้เรื่อง”
เมื่อนางเริ่มจำความตอนสร้างเรื่องที่หอนางโลมเพราะเมาสติหลุดได้ ก็แทบจะเอาหน้ามุดแผ่นดินหนี มันน่าอับอายขายหน้าเหลือเกิน!
“ยังเหลืออีกสองวัน”
จวินมั่วหรันเอ่ยเสียงต่ำ น้ำเสียงทรงเสน่ห์ หากฟังแค่เสียงก็คงฟังไม่ออกว่าเป็นพวกวิปริต
เฟิงอู๋โยวตะลึงงัน จำได้ว่าก่อนหน้านี้ตัวเองตกปากรับคำกับจวินมั่วหรันไป “ขอท่านใต้เท้าอย่ากังวล แค่ตามจับสตรีหัวขโมย หาได้เกินความสามารถของกระหม่อมไม่”
“อืม”
จวินมั่วหรันตอบกลับไปเรียบๆ จากนั้นก็สะบัดชายเสื้อและออกจากเรือนมั่วหรันไป
สีหน้าของเขาดูกลัดกลุ้ม ดวงตาซุกซ่อนความสงสัย
เมื่อเห็นจวินมั่วหรันออกจากเรือนไปในสภาพนั้น จุยเฟิงที่เพิ่งจะหาวได้ครึ่งหนึ่งก็รีบสำรวมกริยาลงและเดินตามเขาไปทันที
“ท่านใต้เท้าขอรับ ไฉนมือของท่านถึงเปื้อนหมึกแบบนี้ขอรับ” จุยเฟิงชี้ไปที่มือสองข้างที่ไพล่หลังอยู่ของจวินมั่วหรันพลางเอ่ยถามอย่างสงสัย
“จุ้นจ้าน”
จวินมั่วหรันหยุดชะงักฝีเท้า สีหน้าผุดแววแปลกใจ
หรือว่ารอยมือที่อยู่บนหน้าอกของเฟิงอู๋โยวจะเป็นฝีมือเขาจริงๆ
“ท่านใต้เท้ายังไม่ได้เปลี่ยนเป็นชุดว่าราชกิจเลยขอรับ!” จุยเฟิงพูดเตือนขึ้นอีกครั้ง
“ก็แค่ว่าราชกิจในตอนเช้าเท่านั้น”
จวินมั่วหรันเอ่ยเสียงเรียบและเดินต่อด้วยมาดงามสง่าอย่างผู้มีอำนาจ
เมื่อเห็นจวินมั่วหรันดูเซื่องซึมลงเล็กน้อย จุยเฟิงก็เข้าใจผิดคิดว่าจวินมั่วหรันเครียดเรื่องที่เหล่าขุนนางชั้นสูงในราชสำนักที่รวมตัวกันกล่าวหาเขา ภายในใจพลันกลัดกลุ้มขึ้นมาทันที
ทุกคนต่างพากันพูดว่า จวินมั่วหรันควบคุมอำนาจสำเร็จราชการแผ่นดินไว้แต่เพียงผู้เดียว ทำเหมือนปกครองบ้านเมือง แต่แท้จริงแล้วหมายยึดอำนาจ
เท่าที่จุยเฟิงรู้มา จวินมั่วหรันไม่สนใจเรื่องอำนาจของแผ่นดินแม้แต่น้อย สิ่งที่เขาต้องการก็คือสยบความขัดแย้งทั่วใต้หล้า ขจัดความชั่วช้าให้หมดไป
ก่อนหน้านี้เคยมีคนคิดร้ายและปฏิบัติกับเขาอย่างไม่ยุติธรรม และสิ่งที่เขาทำก็แค่ต้องการช่วงชิงสิ่งที่เป็นของตัวเองกลับคืนมาเท่านั้น
ณ เรือนมั่วหรัน
เฟิงอู๋โยวกำลังนวดขมับที่ปวดจี๊ดขึ้นมา นางในตอนนี้เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดสะอาดเอี่ยมแล้ว
ในช่วงที่ไม่รู้ตัวอยู่นั้น นางเหลือบเห็นเงินกระดาษติดอยู่ที่ขาของตัวเอง ทันใดนั้นก็นึกขึ้นได้ว่าตัวเองมีเรื่องด่วนต้องรีบจัดการ
เมื่อวาน จวินมั่วหรันขว้างกระดาษเงินเป็นล้านใส่นาง และนางก็จับมันยัดใส่ถุงเท้ารองเท้า…
“อ้าก!”
และเมื่อนางจำตอนที่ถูกจับยัดใส่ลงไปในถังหมักสุราได้ก็เกิดหวั่นใจขึ้นมาสุดขีด
นางคลานมาด้านหน้าเตียง จากนั้นก็หยิบรองเท้าตัวเองมากอดไว้ในอ้อมอก
และก็เป็นอย่างที่นางคิดไม่มีผิด!
หลังจากจมอยู่ในถังหมักสุรา กระดาษเงินพวกนี้เปื่อยยุ่ยไม่เหลือชิ้นดี
“พระเจ้า! พวกท่านไม่ชอบข้าขนาดนั้นเชียวหรือ กว่าจะหลุดพ้นอย่างความตายมาได้ กว่าจะได้มีโอกาสลืมตาอ้าปากกับเขา แต่กลับต้องมาถังแตกอีก”
“แม่ทัพเฟิง?”
ซือมิ่งที่ได้ยินเสียงโอดโอยของเฟิงอู๋โยวก็รีบเข้ามา เมื่อเห็นนางร่ำร้องอย่างปวดใจจึงเอ่ยถามขึ้น “แม่ทัพเฟิง สตรีหัวขโมยคนนี้เจ้าเล่ห์ยิ่งนัก เป็นธรรมดาที่จะตามจับไม่ได้ภายในเวลาแค่นิดเดียว ดังนั้นอย่ากดดันตัวเองเกินไปเลย”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เฟิงอู๋โยวก็ยิ่งรู้สึกปวดใจหนักกว่าเดิม
กระดาษเงินเป็นล้านเปื่อยยุ่ยหมดแล้ว แล้วยังต้องรับผิดชอบหน้าที่เฮงซวยที่ตัวเองรับปากเอาไว้อีก!
ตอนแรกเฟิงอู๋โยวต้องการจะขุดเอาศพสตรีมาแลกกับเงินกระดาษจำนวนนี้
ตอนนี้เนื่องจากถังแตกฉับพลัน เฟิงอู๋โยวรู้สึกเหมือนไร้ที่พึ่งพาและไร้คนรู้ใจเพื่อระบายทุกข์ ทุกอย่างจบสิ้นแล้ว
ซือมิ่งเห็นเฟิงอู๋โยวอารมณ์อ่อนไหวไม่ปกติ จึงรีบถามขึ้นอีกครั้ง “แม่ทัพเฟิงกำลังกังวลใจเรื่องท่านใต้เท้าอยู่หรือ”
เมื่อพูดถึงจวินมั่วหรัน เฟิงอู๋โยวก็ยิ่งปวดใจหนักกว่าเดิม
นางตอบกลับอย่างไม่สบอารมณ์ “ไฉนต้องกังวลในเรื่องเจ้าหมอนั่น ใครในใต้หล้านี้บ้างที่สามารถทำอะไรเขาได้!”
“ราชสำนักย่อมมีเรื่องวุ่นวายมากมายที่ท่านใตเท้าต้องจัดการ ท่านใตเท้ามักจะถูกกล่าวหาจากขุนนางชั้นสูงอยู่เป็นประจำ”
“ใครช่างกล้ากล่าวหาราชาปีศาจเดินดินผู้นี้ได้” เฟิงอู๋โยวหันกลับมาถามซือมิ่งกลับอย่างสงสัย
เดิมทีนางคิดว่าจวินมั่วหรันเป็นเทพเจ้าที่ไม่อาจมีความผิดใดในแคว้นตงหลินเอาผิดได้ คงไม่มีใครหน้าไหนกล้ากล่าวหาหรือเอาผิดเขา
จนกระทั่งวันนี้ถึงได้รู้ว่าจวินมั่วหรันไม่ได้ชนะใจไปเสียทุกคน เฟิงอู๋โยวคิดอยู่ในใจ คนที่กล้าตั้งตัวเป็นปรปักษ์กับจวินมั่วหรัน เป็นนาง นางยอมปลดอาวุธลงตั้งแต่แรกดีกว่า
“ในบรรดาทั้งหกกรม นอกจากกรมทหารแล้ว ที่เหลือทั้งหกกรมต่างรวมตัวกันตรวจสอบการบริหารราชกิจของเซ่อเจิ้งหวางอยู่เป็นประจำ” ซือมิ่งมองหน้าเฟิงอู๋โยวที่ฉายแววเป็นสุขขึ้นมา
เขาคิดว่าเฟิงอู๋โยวเป็นห่วงจวินมั่วหรัน แต่นึกไม่ถึงว่านางกำลังมีความสุขบนความทุกข์ของจวินมั่วหรัน ซ้ำยังพร้อมจะเหยียบซ้ำอีกด้วย
ถือว่าสัญชาตญาณของซือมิ่งเฉียบคมไม่เบา
เฟิงอู๋โยวไม่เพียงต้องการจะซ้ำเติม แต่ยิ่งต้องการจะจับจวินมั่วหรันสับเป็นชิ้นๆ
ถ้าเขาไม่จับนางโยนใส่ถังหมักสุราอย่างเหี้ยมโหด เงินกระดาษที่พอจะตั้งตัวได้ของนางคงไม่เปื่อยยุ่ยอย่างไม่เหลือชิ้นดีแบบนี้
เมื่อนึกถึงเงินกระดาษเป็นล้านก้อนนั้น เฟิงอู๋โยวก็หน้านิ่วคิ้วขมวดและกอดรองเท้าที่เต็มไปด้วยเศษกระดาษเปื่อยยุ่ยของตัวเอง และค่อยๆ หยิบเศษกระดาษออกมาทีละชิ้น
“แม่ทัพเฟิง เจ้ายัดอะไรลงไปในรองเท้าของเจ้า”
ซือมิ่งนั่งยองๆ มองเฟิงอู๋โยวที่กำลังหยิบเศษกระดาษออกมาเป็นกองๆ
ตอนแรกเขาไม่เข้าใจว่าเฟิงอู๋โยวกำลังทำอะไร แต่พอนึกดูดีๆ รูปร่างของนางก็ดูตัวเตี้ยกว่าบุรุษทั่วไป การที่นางจะยัดกระดาษเข้าไปในรองเท้าเพื่อเพิ่มความสูงก็ถือเป็นเรื่องสมเหตุสมผล
จนกระทั่งเฟิงอู๋โยวควักเงินกระดาษที่ยังคงสมบูรณ์อยู่ออกมาสามสี่ใบ ซือมิ่งถึงตระหนักได้ว่าการที่นางร้องโอดโอยก่อนหน้านี้ก็เป็นเพราะวัตถุนอกกายพวกนี้
“อ๋อ!”
“ก็ใช่น่ะสิ!”
“สวรรค์ย่อมไม่ตัดทางรอดให้มนุษย์เรา!”
เฟิงอู๋โยวไม่คาดคิดว่าจะยังมีเงินกระดาษที่ยังไม่เปื่อยยุ่ยอยู่ นางดีใจจนกระโดดโลดเต้น
นางจูบเงินกระดาษที่ชุ่มไปด้วยสุราและกลิ่นเท้าหลายรอบ
ซือมิ่งถอยหลังไปสองสามก้าวอย่างไม่รู้ตัว เพราะคิดว่าการกระทำของเฟิงอู๋โยวค่อนข้างผิดแปลก
หากนางล่วงรู้อีกสถานะหนึ่งของจวินมั่วหรันเข้า หากนางได้เห็นวัตถุนอกกายที่จวินมั่วหรันครอบครองด้วยตาของนาง สมบัติเงินตราที่ใช้อย่างไม่มีวันหมด นางคงเนื้อเต้นจนจูบจวินมั่วหรันทั่วร่างกายเป็นร้อยครั้งหมื่นครั้งเสียกระมัง
[1] ท้องดำ หมายถึงคนที่ภายนอกดูใจดีอ่อนโยน แต่ในใจกลับชั่วช้าเหี้ยมโหด