ตอนที่ 83 กลั่นแกล้งจวินฝู
“ซือมิ่ง เจ้าเป็นดาวนำโชคของข้าจริงๆ !”
เฟิงอู๋โยวยิ้มร่าจนตาหยีเป็นประกายอย่างมีความสุข
“แค่กๆ”
ซือมิ่งกำมือยกขึ้นมาที่ด้านหน้าจมูกพร้อมกับไอกระแอม ในน้ำเสียงแฝงด้วยความหวาดกลัว
เมื่อนึกถึงเรื่องที่เถี่ยวโส่วถูกส่งไปที่แคว้นเป่ยหลี ซือมิ่งก็ถอยหลังกลับไปสองสามก้าวอย่างไม่รู้ตัว
“ซือมิ่ง เจ้าถอยไปยืนเสียไกลเลย! ข้าปากเหม็นอย่างนั้นหรือ”
“เปล่า ไม่มีอะไร” ซือมิ่งรีบเปลี่ยนเรื่องคุย “แม่ทัพเฟิง ตอนนี้ทหารองครักษ์เตรียมพร้อมแล้ว และกำลังรอรับคำสั่งจากเจ้าอยู่”
เฟิงอู๋โยวตีต้นขาก่อนลุกพรวดอย่างวางเขื่อง
“ดีมาก! ซือมิ่ง เจ้าไปบอกพวกเขาด้วยว่าวันนี้ตั้งค่ายพักแรมและบำรุงสุขภาพสะสมกำลังอยู่ที่เดิม!”
“…”
ใบหน้าของซือมิ่งฉายแววอึดอัดใจ เขานิ่งเงียบไม่พูดอะไรสักคำ
เขาตำหนิเฟิงอู๋โยวในใจว่าเป็นพวกกล้าบ้าบิ่น ไม่นึกว่าจะกล้ากระทำเรื่องไม่พึงประสงค์อย่างกำเริบเสิบสานภายในนามของเซ่อเจิ้งหวางแบบนี้
จากที่เขาเข้าใจนิสัยจวินมั่วหรันมา หากเฟิงอู๋โยวตามจับสตรีหัวขโมยไม่ได้ภายในสามวัน ต่อให้นางจะมีวาทศิลป์แค่ไหนก็ไม่อาจหลีกหนีความตายครั้งนี้ได้แน่นอน
อันที่จริง ใช่ว่าเฟิงอู๋โยวไม่รู้หนาวรู้ร้อน แต่ปัญหาก็คือถ้านางไม่คิดหาวิธีออกห่างจากทหารองครักษ์เงาไปดำเนินตามแผนของตัวเอง ขืนตัวติดกับพวกเขาอยู่แบบนี้ แล้วนางจะไปจัดการเรื่องของสตรีหัวขโมยได้เยี่ยงไร
“ซือมิ่ง เจ้าเชื่อในฝีมือข้าหรือไม่” เฟิงอู๋โยวถามซือมิ่งด้วยสีหน้าจริงจัง
“เชื่อ” ไม่เชื่อก็ต้องพูดว่าเชื่อ
“ดี เช่นนั้นข้าจัดการเอง”
“แต่ว่า…”
“ไม่มีแต่ว่า! ด้วยความสามารถของข้า ภายในเวลาหนึ่งชั่วยาม สตรีหัวขโมยจะถูกจับตัวเข้าสู่กระบวนพิพากษา” เฟิงอู๋โยวตบไหล่ซือมิ่งอย่างมั่นใจ “เช่นนั้นข้าขอตัวก่อน ไม่ต้องตามมาล่ะ! ความอ้างว้างจะช่วยปลุกจิตวิญญาณในตัวข้า”
ทันที่ที่พูดจบ นางก็เดินกร่างออกจากเรือนมั่วหรัน
แต่ซือมิ่งต้องการจะจับตาดูนางอยู่ห่างๆ จึงจำเป็นต้องสะกดรอยตามนางไป
ขืนนางหนีไปอีก เขาต้องรับโทษจากจวินมั่วหรันไม่ไหว
ดังนั้นซือมิ่งจำเป็นต้องจำใจสะกดรอยตามเฟิงอู๋โยว
โลกใบนี้เล็กเกินกว่าคนที่เป็นอริกันจะอยู่ร่วมกันได้
เฟิงอู๋โยวเพิ่งจะออกไปที่ระเบียงทางเดินด้านนอกเรือนมั่วหรันก็เห็นจวินฝูที่รายล้อมไปด้วยสาวรับใช้กลุ่มหนึ่งเดินเข้ามา
“เอ๊ะ นั่นมันเจ้าคนไร้ค่าที่กินสัตว์เลี้ยงของข้าใช่หรือไม่”
จวินฝูในชุดสีเขียวนวลอ่อนพร้อมผ้าคาดเอว ด้านนอกมีผ้าสีแดงบางๆ คลุมทับ มองดูไกลๆ คล้ายเทพธิดาท่ามกลางพงไพรที่เปี่ยมไปด้วยพลังชีวิต
แต่เมื่อดูใกล้ๆ กลับชวนให้ผิดหวัง
ถึงจะดูดี แต่ก็เป็นแค่ท่านหญิงเอาแต่ใจและดูถูกคนอื่นจนติดเป็นนิสัยไม่ใช่หรือ
เฟิงอู๋โยวหยุดชะงักฝีเท้า ดวงตาเจือแววไม่สบอารมณ์เกินกว่าจะบรรยาย
จวินฝูยกมือขึ้นเท้าสะเอว เผยอปากพลางกรอกตาใส่เฟิงอู๋โยว
เฟิงอู๋โยวไม่อยากสนใจนาง แต่การที่เข้าใจผิดกินสัตว์เลี้ยงคนอื่น มันก็เป็นการกระทำที่ออกจะเกินไปหน่อยจริงๆ
แต่ดูจากท่าทางจองหองของจวินฝูแล้วมันก็สมควร
“สัตว์เลี้ยงแสนรักกลายเป็นอาหารในจานกระหม่อมขนาดนั้น ท่านยังกล้ามาวางท่าทระนงตนที่นี่อีกหรือ ถ้าเทียบกันแล้ว ท่านหญิงดูเหมือนคนไร้ค่ามากกว่ากระหม่อมอีกนะขอรับ”
เฟิงอู๋โยวยักคิ้วพูดสวนกลับอย่างไม่เกรงใจ
วันนี้จวินมั่วหรันไม่อยู่ตำหนักพอดี เช่นนั้นนางขอแกล้งจวินฝูเล็กๆ น้อยๆ หน่อยแล้วกัน เพราะไม่มีใครออกโรงปกป้องท่านหญิงเอาแต่ใจผู้นี้แล้ว
ยิ่งไปกว่านั้น จวินมั่วหรันก็ค่อนข้างมีท่าทีเย็นชากับจวินฝู ไม่เห็นเหมือนที่ผู้คนเขาลือกันว่าจวินมั่วหรันเป็นคนรักน้องสาวอย่างประคบประหงม
“แก!”
จวินฝูโกรธจนหน้าแดงก่ำ ใบหน้าจิ้มลิ้มร้อนฉ่าขึ้นมาทันที
เฟิงอู๋โยวแสยะยิ้มก่อนชิงพูดออกไป “เรียกกระหม่อมทำไมหรือขอรับ พูดจายังไม่ชัด ยังมีหน้ามาต่อว่าผู้อื่น ระดับอย่างท่านหญิง ลำพังแค่ฝีปากของกระหม่อมก็กำราบได้เหลือเฟือแล้ว”
“เฟิงอู๋โยว เจ้ามันไม่ใช่สุภาพบุรุษ ข้าไม่เคยเจอบุรุษปากมากอย่างเจ้ามาก่อน!”
“ท่านหญิงอยากลองพิสูจน์ว่ากระหม่อมใช่บุรุษหรือไม่ขอรับ”
เฟิงอู๋โยวแกล้งทำหน้านึกสนุกและมองพินิจจวินฝู นางเอ่ยขึ้นเสียงแผ่ว “ผลไม้ดิบมักเปรี้ยวและฝาด สู้ชุนหงที่หอนางโลมไม่ได้สักนิด ทั้งร้อนแรงและเย้ายวนเกินต้านไหว”
“นี่เจ้ากล้าเอาข้าไปเปรียบเทียบกับคนที่สถานเริงรมย์แบบนั้นอย่างนั้นหรือ” จวินฝูโมโหจนกระทืบเท้า แต่ทำได้แต่อ้อนวอนซือมิ่งที่ยืนอยู่ด้านหลังเฟิงอู๋โยว “ซือมิ่ง เฟิงอู๋โยวดูถูกข้า!”
“กระหม่อมได้รับคำสั่งมาให้ช่วยเหลือแม่ทัพเฟิงตามจับสตรีหัวขโมยขอรับ ดังนั้นขอท่านหญิงได้โปรดหลีกทาง” ซือมิ่งเข้ามาแทรกอยู่ตรงกลางระหว่างพวกนางทั้งสองอย่างลำบากใจ
“แงๆๆ…ข้าจะฟ้องท่านพี่ว่าพวกเจ้ารังแกข้า!”
เมื่อจวินฝูเห็นว่าซือมิ่งไม่ช่วยตัวเองก็โมโหจนร้องไห้ออกมาเสียงดัง
เฟิงอู๋โยวจนปัญญา ทั้งที่นางพยายามพูดเบาๆ แล้ว แต่จวินฝูยังร้องไห้อีก
ว่ากันว่าสตรีเปรียบเหมือนสายน้ำ แต่ก็ไม่ได้หมายถึงน้ำตาเอ่อทะลักแบบนี้!
“ซือมิ่ง เจ้าอยู่ปลอบท่านหญิงไปแล้วกัน ข้าขอออกไปลาดตระเวนก่อน แล้วจะถือโอกาสนี้ไปต้อนรับราชรถของเซ่อเจิ้งหวางที่ด้านหน้าประตูวังหลวงด้วย เขาไม่จำเป็นต้องตามข้ามา”
เฟิงอู๋โยวตบไหลซือมิ่งพลางพูดขึ้นอย่างไม่ใส่ใจก่อนจากไป
“แม่ทัพเฟิงรอก่อน!”
เมื่อซือมิ่งได้ยินเช่นนั้นก็รีบตามหลังเฟิงอู๋โยวออกจากตำหนักไปอย่างไม่สนใจสภาพจิตใจจวินฝูเลยสักนิด
จวินฝูถลึงจ้องมองแผ่นหลังของทั้งสองคนที่ค่อยๆ คล้อยจากไป พลางกัดฟันกรอด “เฟิงอู๋โยว รอก่อนเถอะ! แล้วเจ้าจะได้เห็นดี!”
“ขอท่านหญิงอย่าได้โมโหไปเลย ก็แค่คนรับใช้ชั้นต่ำ ประเดี๋ยวท่านใต้เท้าก็เล่นสนุกจนเบื่อแล้ว ถึงตอนนั้นพวกเราค่อยจัดการมันก็ได้เจ้าค่ะ!”
เพี้ยะ!
จวินฝูง้างมือตบหน้าสาวรับใช้อย่างเต็มแรง “หรงชุ่น ไหนเจ้าบอกมาซิว่าข้าสู้มันไม่ได้ตรงไหน”
หรงชุ่ยยกมือขึ้นกุมใบหน้าอันแสบร้อน นางนึกไม่ถึงว่าจวินฝูจะใช้นางระบายอารมณ์
“ท่านหญิงเป็นถึงเพชรน้ำงาม ไฉนต้องเทียบเปรียบกับคนเถื่อนด้วยเจ้าคะ” แม่นมหวางคลี่ยิ้มเดินมา มืออันอวบสมบูรณ์ของนางกุมมืออันเล็กเรียวบอบบางของจวินฝูไว้แน่น
“แม่นมอาจจะไม่รู้ ท่านพี่มักใจอ่อนกับเขาเป็นพิเศษ ขืนปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไป เขาอาจอยู่ในใจท่านพี่แทนที่ข้าก็เป็นได้!”
“หม่อมฉันได้ยินมาว่าภูมิหลังเขาไม่ธรรมดา”
จวินฝูพูดขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์ “ก็แค่แม่ทัพที่กระทำความผิดจนชีวิตตกอับ มันน่ากลัวตรงไหน”
แม่นมหวางพูดขึ้นเสียงแผ่ว “สันดอนขุดง่าย สันดานแก้ยาก[1]”
“ขอบใจแม่นมที่ช่วยเตือน” ดวงตาของจวินฝูเรืองวาว นางกำหมัดใต้แขนเสื้อแน่น
ตอนนี้นางเริ่มอยากจะเห็นกับตาตัวเองแล้วเฟิงอู๋โยวจะเก่งกาจแค่ไหน!
[1] สันดอนขุดง่าย สันดานแก้ยาก หมายถึงคนที่ไม่ยอมเปลี่ยนแปลงนิสัยแย่ๆ ของตัวเอง