ตอนที่ 96 หัวหน้าวงการแต่งหญิง / ตอนที่ 97 เขาเห็นแล้ว
ตอนที่ 96 หัวหน้าวงการแต่งหญิง
“ท่านพี่เจ้าคะ คืนนี้อยู่ทานข้าวกับฝูเอ๋อร์ได้หรือไม่เจ้าคะ”
คิ้วโก่งงอนทรงใบหลิวของจวินฝูย่นเข้าหากันเล็กน้อย มือสองข้างกำผ้าเช็ดหน้าสีเขียวอ่อนลายดอกชบาแน่น น้ำเสียงเล็กบาง น้ำตาหลั่งริน
จวินมั่วหรันหรี่ดวงตาเรียวยาวลงเล็กน้อย สายตาเย็นเยียบดุจคมมีดมองไปยังจวินฝู
ก่อนหน้านี้เขาอยากให้เฟิงอู๋โยวอยู่ทานข้าวเป็นเพื่อน แต่พอคิดไปคิดมาก็รู้สึกเหมือนว่าตัวเองไม่ได้ทานข้าวกับจวินฝูมานานพอสมควร
ปีก่อน ตั้งแต่จวินฝูเมาจนระบายความในใจให้เขาฟังอย่างหมดเปลือก ความรู้สึกดีๆ ที่จวินมั่วหรันมีต่อนางก็เริ่มลดลง
ใครจะไปคิดว่าน้องสาวที่ตัวเองเคยสละชีวิตปกป้องจะทำเรื่องผิดมหันต์ คิดอยากจะร่วมเตียงหลับนอนกับเขาอยู่บ่อยครั้ง
สำหรับคนที่คุ้นชินกับการใช้กำลังแก้ไขปัญหาอย่างเขา นี่ถือว่าเป็นปัญหาที่ปวดหัวอย่างแท้จริง
“ท่านพี่อยู่เป็นเพื่อนฝูเอ๋อร์ได้หรือไม่เจ้าคะ”
จวินฝูเห็นจวินมั่วหรันไม่ยอมตอบสักที ก็ก้าวรุดหน้าเข้าหาอย่างร้อนรนใจ จับแขนเขาพร้อมกับส่งเสียงเล็กๆ อ้อนวอน
ครั้นนางเข้ามใกล้ กลิ่นเครื่องร่ำแป้งหอมฉุนจมูกก็พัดโชยเข้ามาเตะจมูก ประหนึ่งมีเท้างอกออกมาก็ไม่ปาน
ฝุ่นละอองที่ล่องลอยอยู่ในอากาศเคล้าด้วยกลิ่นหวานเลี่ยนตลบอบอวล ทำเอาเฟิงอู๋โยวจามออกมาหลายครั้งติดต่อกัน
“โอ้ย…คอข้า!”
เฟิงอู๋โยวร้องเสียงหลง นางแสบคอจนน้ำตาเล็ด
จวินมั่วหรันเห็นเช่นนั้นจึงเมินเฉยใส่จวินฝูอีกครั้ง
“แม่นมหวาง จงดูแลท่านหญิงให้ดี”
เขาพูดขึ้นอย่างเยือกเย็นพลางเดินผ่านจวินฝูเข้าเรือนมั่วหรันไปทันที
“ท่านใต้เท้าโปรดวางใจ หม่อมฉันจะดูแลท่านหญิงอย่างดีที่สุดเจ้าค่ะ” แม่นมหวางคลี่ยิ้มตอบรับพร้อมกับโค้งตัวทำความเคารพเล็กน้อย
“ท่านพี่ไปแล้ว เจ้าแสดงให้ใครดูไม่ทราบ” จวินฝูมองแม่นมหวางอย่างเย็นชา พร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์
แม่นมหวางเอื้อมไปจับมืออันเล็กเรียวของจวินฝูมากุมไว้ในมือ ก่อนคลี่ยิ้มอย่างมีเลศนัย “ท่านหญิงเจ้าค่ะ เรื่องเล็กน้อยไม่อดทน จะเสียการใหญ่เอานะเจ้าคะ”
“แม่นมหวางพูดถูก”
ดวงตาจวินฝูค่อยๆ สงบนิ่งลง เมื่อนึกถึงแผนการงานเลี้ยงที่ประตูหงเหมิน[1] ที่นางและแม่นมหวางวางแผนจัดการเฟิงอู๋โยว ไฟโทสะภายในใจก็มลายหายสิ้น
ยิ่งไปกว่านั้น เฟิงอู๋โยวก็เป็นแค่คนนอก ส่วนจวินฝูอย่างนางเป็นถึงน้องสาวร่วมสายเลือดกับจวินมั่วหรัน
เลือดย่อมข้นกว่าน้ำ และไม่นานจวินมั่วหรันก็คงตระหนักได้
“ฮัดชิ้ว…”
ราวกับเฟิงอู๋โยวสัมผัสได้ถึงภัยอันตราย คล้ายมีคนจ้องเล่นงานนางจากด้านหลัง นางยังคงจามติดต่อกันไม่หยุด
นางถูจมูกไปมา จากนั้นก็ถูมือเข้าไปที่ชายเสื้อด้านหน้าของจวินมั่วหรัน “คล้ายมีคนจ้องเล่นงานข้าอยู่ตลอด”
“เจ้าจงใจยั่วโมโหข้าอย่างนั้นหรือ”
เสียงชั่วร้ายทุ้มต่ำของจวินมั่วหรันแผดสูงขึ้นทันที ประโยคที่คล้ายคำถาม เปลี่ยนเป็นข้อความอันดุดัน
เขาปล่อยมือและมองดูเฟิงอู๋โยวในสภาพเจ็บร่วงจากอ้อมกอดของเขาตกลงพื้นดังตุบ
เฟิงอู๋โยวยกมือข้างหนึ่งกุมคอตัวเอง ส่วนอีกข้างจับก้นที่ร่วงกระแทกพื้นอย่างเจ็บระบม พูดขึ้นอย่างประชด “ท่านใต้เท้านี่ชอบล้อเล่นเหลือเกิน ยั่วโมโหท่านมันเป็นผลดีกับกระหม่อมตรงไหน”
“ขืนมีครั้งต่อไปที ระวังหัวเจ้าไว้ให้ดีๆ”
จวินมั่วหรันแค่นเสียงหึในลำคอ จากนั้นก็พาเฟิงอู๋โยวเข้าไปมาในห้องมืดที่ไร้สัญญาณของสิ่งมีชีวิต “ห้ามออกจากห้องจนกว่าจะได้รับอนุญาตจากข้า”
“อือ”
เฟิงอู๋โยวพยักหน้าราวกับลูกเจี๊ยบจิกเม็ดข้าว ขอแค่จวินมั่วหรันไม่เข้ามาในห้อง จะให้นางอยู่ในห้องนานแค่ไหนก็ย่อมได้
จวินมั่วหรันเดินเข้ามาข้างหน้า ส่วนนางก็นั่งตัวแข็งทื่ออยู่บนพื้น
ลำคอเจ็บแปลบ ก้นปวดร้าว เสื้อผ้าเปียกชุ่มทำเอาผิวของนางเปื่อยจนซีดลง
แต่ความเจ็บปวดทั้งหมดที่กล่าวมากลับไม่เท่าครึ่งหนึ่งของความเจ็บปวดราวกับถูกทุบหัวใจแทงทะลุกระดูก จากการสูญเสียเงินกระดาษเป็นล้านๆ ไป
หากพูดกันตามที่เห็น จวินมั่วหรันใจกว้าง อนุโลมให้นางมากกว่าคนอื่นๆ อย่างเห็นได้ชัด หากนางทำตัวเชื่อฟังเขาตั้งแต่แรก วันๆ นางคงใช้ชีวิตได้อย่างผาสุก
แค่นางเป็นพวกดื้อรั้นตั้งแต่เกิด และทนเห็นท่าทางหยิ่งยโสบ้าอำนาจของจวินมั่วหรันไม่ค่อยได้
ด้วยเหตุนี้ นางมักจะยั่วโมโหท้าทายความอดทนของเขาอยู่บ่อยครั้ง และได้แต่ฝันลมๆ แล้งๆ ว่าสักวันหนึ่งจะสามารถสยบผู้ชายบ้าอำนาจคนนี้ได้จงได้
ก๊อกๆๆ…
เสียงเคาะประตูดังระรัวอย่างรีบร้อน มันดึงเฟิงอู๋โยว ออกจากภวังค์ความเจ็บปวดทันที
ด้านนอกห้อง จุยเฟิงพยายามข่มกลั้นความตื่นเต้นดีใจและพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง “แม่ทัพเฟิง ข้านำเสื้อผ้าสะอาดตัวใหม่มาวางไว้ให้ที่หน้าประตูแล้ว
“หากมีอะไรให้ช่วยก็บอกข้าได้”
ตอนแรกเฟิงอู๋โยวอยากจะขอบคุณจุยเฟิงต่อหน้า แต่เมื่อนางเปิดประตูออกไปกลับไม่เห็นแม้แต่เงาของอีกฝ่าย
ครั้นนางหลุบตามองกองเสื้อผ้าที่พับเรียงกันเป็นชั้นด้านหน้าประตู ภายในใจก็นึกสงสัยขึ้นมาทันที
หรือว่าจุยเฟิงเป็นหัวหน้าวงการแต่งหญิง
ไม่ใช่สิ!
อย่าบอกนะว่าจวินมั่วหรันเกิดสงสัยในตัวนาง เลยตั้งใจสั่งให้จุยเฟิงนำชุดกระโปรงของสตรีมาให้นาง แบบนี้เท่ากับฆ่านางให้ตายชัดๆ!
ตอนที่ 97 เขาเห็นแล้ว
“ไม่ได้ ข้าจะนั่งรอความตายอยู่แบบนี้ไม่ได้!”
เฟิงอู๋โยวก็ตบต้นขาตัวเอง อาศัยช่วงที่ไม่มีใครอยู่รอบๆ คว้าชุดกระโปรงสีชมพูที่อยู่หน้าประตูเข้ามาไว้ในอ้อมกอด
นางปิดประตูอย่างระมัดระวังและใช้เข็มเงินที่เหลือสองสามเล่มอยู่ภายใต้แขนเสื้อทำเป็นกลอนประตู
แคว่ก!
นางฉีกเสื้อผ้าที่เปียกชุ่มบนร่างกายออกจนตัวเองโป๊เปลือย
ด้านนอกห้อง จุยเฟิงเดินกลับมาอีกครั้ง
เขาโน้มตัวเอาหูแนบบานประตูเพื่อฟังเสียงที่เกิดขึ้นภายในห้อง
“จุยเฟิง เจ้าบ้าไปแล้วหรือไง บังอาจแอบดูแม่ทัพเฟิง!”
ซือมิ่งเห็นจุยเฟิงทำลับๆ ล่อๆ อยู่ด้านนอกห้องก็รีบเดินเข้าไปหยุดด้านหน้าเขาและมองด้วยสายตาสงสัย
จุยเฟิงยกนิ้วชี้ขึ้นมาที่ปากเป็นเชิงสั่งให้เงียบ ก่อนกดเสียงต่ำพูดขึ้น “เบาๆ หน่อย ถ้าแม่ทูนหัวที่อยู่ด้านในได้ยินเข้า พวกเราต้องจบเห่แน่ๆ”
“แล้วเจ้ายังกล้าแอบดูเขาอีก”
“ซือมิ่ง ข่าวลือว่าร้ายย่อมยุติลงที่ผู้ทรงปัญญา เจ้าอย่าริอาจปั้นน้ำให้เป็นตัว อย่าริอาจข้ามแม่น้ำพังสะพาน[2] อย่าริอาจสร้างวิมานในอากาศ…”
ซือมิ่งมุมปากกระตุก ครั้นจึงพูดขัดจังหวะจุยเฟิง “จู้จี้ขี้บ่นเหมือนพวกผู้หญิงเลย!”
ดวงตาจุยเฟิงเป็นประกายแพรวพราว เขารีบพูดขึ้นอย่างตื่นเต้น “ซือมิ่ง ข้านำเสื้อผ้าของสตรีมาให้แม่ทัพเฟิง และดูเหมือนว่าเขากำลังสวมใส่มันอยู่”
“จริงหรือ”
จุยเฟิงยิ้มตาหยีพลางพยักหน้ารัวเป็นเจ้าเข้า “จริงเสียยิ่งกว่าจริง”
ทันทีที่เสียงของเขาสิ้นสุดลง จุยเฟิงก็เพิ่งตระหนักได้ว่าคนที่ถามไม่ใช่ซือมิ่ง แต่เป็น…จวินมั่วหรัน!
“ท่านใต้เท้า…”
จุยเฟิงทรุดนั่งคุกเข่าลงต่อหน้าจวินมั่วหรันทันที เขาตกใจขวัญกระเจิง
“หลบไป” ดวงตาเรียวยาวของจวินมั่วหรันเจือแววนึกสนุกอย่างเห็นได้ชัด เขาค่อยๆ เงยหน้ามองตรงไปที่บานประตูที่ปิดสนิทอยู่ หัวใจพลันเต้นระรัวเร็วขึ้นเรื่อยๆ
“ขอรับ”
จุยเฟิงโล่งใจราวกับยกภูเขาออกจากอก เขาตอบรับเสียงแผ่ว ก่อนคว้าตัวซือมิ่งวิ่งออกไปอย่างเร็วพลัน
จวินมั่วหรันยืนทระนงอยู่ด้านหน้าประตูพลางเอ่ยเสียงเย็น “โผล่หัวออกมาได้แล้ว”
เฟิงอู๋โยวได้ยินเช่นนั้นก็ตกใจลนลาน
ตอนแรกนางกะว่าจะรอให้ผ้าพันหน้าอกแห้งก่อนแล้วค่อยเปลี่ยนใส่ แต่ดูเหมือนจวินมั่วหรันจะใจร้อนทนรอไม่ไหว ซึ่งมีโอกาสที่เขาจะพังประตูเข้ามาได้ทุกเมื่อ
ในช่วงหน้าสิ่วหน้าขวานนั้นเอง นางฉุกคิดอะไรบางอย่างออก ครั้นแล้วจึงนำผ้าพันหน้าอกที่ยังชื้นอยู่มาขมวดห่อเป็นก้อนกลมๆ สองก้อนและยัดเข้าไปที่หน้าอก
“เฟิงอู๋โยว ออกมาเดี๋ยวนี้”
“เร่งอะไรนักหนา!”
เฟิงอู๋โยวบ่นพึมพำ จากนั้นก็ปลดเข็มเงินที่ปักขวางกั้นบานประตูออกก่อนปักเก็บมันไว้ที่ก้อนผ้ากลมๆ ที่หน้าอกอย่างระมัดระวัง
จวินมั่วหรันใจร้อนเป็นทุนเดิม เมื่อได้ยินเสียงบ่นไม่พอใจของเฟิงอู๋โยวก็ถกเสื้อคลุมขึ้นและถีบเข้าไปที่ประตูดัง ‘ปัง’ ทำเอาบานประตูแตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ
ทันใดนั้น ฝุ่นควันลอยตัวฟุ้งตลบราวกับแดนเซียนค่อยๆ เลือนหายไปจากด้านหน้าจวินมั่วหรัน
เขายกชายแขนเสื้อกว้างขึ้นมาป้องฝุ่นควันเบื้องหน้า ท่ามกลางดวงตาใสวาวสะท้อนเงาร่างคนๆ หนึ่งในชุดกระโปรงสีชมพู คนรูปร่างเพรียวบาง เรือนร่างสละสวยงามสง่าราวกับธิดาเซียน
เฟิงอู๋โยวยกชายแขนเสื้อยาวๆ ที่พลิ้วไหวดุจสายน้ำขึ้นบังดวงตาเช่นกัน เพราะดวงตาไม่อาจต้านทานแสงไฟที่แยงเข้ามาจากด้านนอกห้อง
นางก่นด่าจวินมั่วหรันในใจไปหลายร้อยรอบ ทว่าใบหน้ายังคงสงวนรอยยิ้มพริ้มพราวเอาไว้อยู่ “ท่าทางถีบประตูของท่านใต้เท้างดงามเหลือเกิน!”
ดวงตาอันสั่นไหวของจวินมั่วหรันจ้องมองเฟิงอู๋โยวในเรือนร่างโค้งเว้าเย้ายวนอย่างไม่ละสายตา เขารู้สึกราวกับมีของเหลวร้อนผ่าวใกล้จะทะลักออกมาจากโพรงจมูกทั้งสองข้างอยู่เต็มทน
“ลดมือลง”
เสียงทุ้มต่ำน่าฟังของเขาพร่าแหบเล็กน้อย ความใคร่อยากในดวงตาฉายสะท้อนดั่งเพลิงผลาญ เพียงชั่วพริบตา ความใคร่อยากในกามอันเป็นส่วนหนึ่งของสัญชาตญาณดิบของมนุษย์ที่ซุกซ่อนอยู่ในก้นบึ้งของจิตใจ พลันแผ่กำซาบไปทั่วร่าง
“ท่านใต้เท้าทำแบบนี้จะให้กระหม่อมเอาหน้าไปไว้ที่ไหน! กระหม่อมขอไม่ใส่เสื้อผ้าสตรีได้หรือไม่”
เฟิงอู๋โยวค่อนข้างเป็นคนที่มีความรู้สึกตายด้าน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่านางสัมผัสถึงความใคร่อยากอันเข้มข้นในดวงตาของจวินมั่วหรันไม่ได้
นางมองเห็นแววตาหิวกระหายราวกับหมาป่าในดวงตาจวินมั่วหรัน จึงไม่กล้าลดแขนเสื้อที่บังหน้าลง ซ้ำยังถอยหลังกลับอย่างไม่รู้ตัว
“ลดมือลง!”
ลูกกระเดือกของจวินมั่วหรันกระเพื่อมขึ้นลง ร่างกายเคลื่อนผ่านประตูเข้าไป มือหนาใหญ่คว้าแขนที่ยกขึ้นบังหน้าของนางออก ก่อนกระชากนางเข้ามากอดไว้ในอ้อมกอดทันที
[1] งานเลี้ยงที่ประตูหงเหมิน อุปมาหมายถึงหลุมพรางลอบทำร้ายแขกที่มาร่วมงานเลี้ยง
[2] ข้ามแม่น้ำ พังสะพาน หมายถึงได้ผลประโยชน์หรือประสบความสำเร็จแล้วถีบหัวส่ง