ตอนที่ 107 ฟู่เย่เฉิน
เช้าวันรุ่งขึ้น ณ ศาลาที่ว่าการของเมืองหลวง
เฟิงอู๋โยวนั่งไข่วห้างอ้าปากห้าวอยู่ที่เชิงบันไดหินตรงประตูข้างเข้าศาลาว่าการ
ชิงหลวนถกชายกระโปรงด้วยมือข้างหนึ่ง ส่วนอีกข้างก็หยิบก้อนหินที่นางเลือกฆ่าเวลามาเกือบครึ่งคืน ปาใส่กลองร้องทุกข์ ก้อนแล้วก้อนเล่า
“นายหญิงคิดว่าเช้าขนาดนี้จะมีใครสนใจพวกเราหรือไม่เจ้าคะ”
ชิงหลวนทิ้งก้อนหินในมือลงพื้นจนกระเด็นมาบริเวณเท้าของเฟิงอู๋โยว สีหน้าฉายแววอิดโรย
เฟิงอู๋โยวพยายามลืมตาอันงัวเงียขึ้นมาก่อนบิดขี้เกียจ “กี่ชั่วยามแล้ว”
“ปลายยามเหม่า[1] ต้นยามเฉิน[2]”
“อืม เป็นเวลาข้าวเช้าพอดี” เฟิงอู๋โยวพยายามปลุกร่างกายตัวเองให้ตื่นตัว จากนั้นก็ค่อยๆ เดินมาที่ด้านหน้ากลองร้องทุกข์ มือข้างหนึ่งกำหมัดแน่น จากนั้นก็ซัดเข้าไปที่หน้ากลองดัง ‘ตู้ม’ จนเกิดเป็นรอยยุบลงไป
ชิงหลวนตาลุกวาว พลางพูดอย่างเหลือเชื่อ “นายหญิงโคตรเก่ง! นี่มันพลังช้างสารชัดๆ!”
ทันทีที่สิ้นสุดเสียงพูด เหล่าขุนนางด้านในศาลาว่าการก็เปิดประตูออกมาตะโกนด่า “เสียงดังเอะอะอะไรกันนักหนา จะไม่ให้นอนกันเลยหรือกระไร”
“ขอข้าวได้หรือไม่ ท่านชายของหม่อมฉันหิวแล้วเจ้าค่ะ” ชิงหลวนพูดขึ้นอย่างตรงไปตรงมา แลดูจริงใจยิ่งนัก
เฟิงอู๋โยวมุมปากเกร็งกระตุก ชั่ววูบหนึ่งนางคิดว่าเด็กสาวรับใช้ของตัวเองคนนี้น่าสนใจไม่เบา หน้าตาน่ารักจิ้มลิ้มใสซื่อ แต่อันที่จริงก็หน้าด้าน ไร้ยางอายไม่เป็นรองใคร
ขุนนางกรอกตาใส่ ก่อนพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “เจ้าเป็นบ้าหรือกระไร”
“หม่อมฉันไม่ได้บ้าเจ้าค่ะ” ชิงหลวนตอบอย่างหนักแน่น “ถ้าไม่เชื่อ ท่านลองตรวจดูก็ได้เจ้าค่ะ”
“ประสาท”
ขุนนางสบถออกมา แต่เพราะเห็นแก่ความน่ารักใสซื่อ และหน้าตาอันสะสวยของนาง จึงไม่ได้หยาบคายใส่และพานางเดินเข้าไป
แต่ก่อนไป เขาเหลือบไปเห็นเฟิงอู๋โยวที่ยืนอยู่ด้านหน้ากลองร้องทุกข์ จึงตะโกนถาม “ต้องการร้องทุกข์เรื่องอะไร”
“ข้าฆ่าคนตาย”
เฟิงอู๋โยวชี้ไปที่ศพร่างเย็นเยียบที่นอนตายตาไม่หลับบนพื้น พลางพูดขึ้นด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง
ขุนนางมองเห็นศพสตรีก็ตื่นตระหนกจนลนลาน จากนั้นก็หันกลับมามองเฟิงอู๋โยวด้วยสายตาแปลกประหลาด แต่แล้วสีหน้าของเขาก็นิ่งขรึมลงเล็กน้อย “เข้ามาก่อนแล้วกัน”
ชิงหลวนที่ได้ยินเช่นนั้นก็บ่นอุบเสียงเล็กเสียงน้อย “แค่ขอข้าวที่ศาลาว่าการทำไมมันยากนักหนา! ดูเหมือนฆ่าคนตายจะขอเข้าไปด้านในได้ง่ายกว่า”
เฟิงอู๋โยวเดินลอยหน้าลอยตาเข้าไปด้านในประศาลาว่าการอย่างสบายใจ ตอนนี้นางสวมใส่เสื้อผ้าผู้ชายเรียบร้อยแล้ว นางขโมยมาจากเรือนขุนนางจิ้นเมื่อคืน
ในเมื่อขุนนางจิ้นต้องการจะจับตัวนางก่อนหน้านี้ ดังนั้นความแค้นนี้ สักวันต้องได้รับการชำระ
ส่วนชุดนี้ที่ขโมยมาเมื่อคืน ถือว่าเป็นดอกเบี้ยก็แล้วกัน
แต่ว่าเรื่องที่นางคิดไม่ถึงก็คือ ชุดที่นางขโมยมาเป็นชุดขุนนางที่เอาไว้ใส่สำหรับเข้าเฝ้าฮ่องเต้หรือไม่ก็ใส่ตอนว่าราชกิจที่ราชสำนัก!
ครั้นนางเดินเข้ามาด้านในห้องโถงใหญ่ ผู้พิพากษาที่นั่งจิบชาอยู่บนเก้าอี้ประจำตำแหน่งก็สำลักน้ำชาออกมาทันที
“เจ้า เจ้าเป็นใครกัน” ผู้พิพากษาลุกขึ้นพรวด เขาจ้องมองท่านชายในชุดวิจิตรหรูหราด้านหน้าอย่างตกใจ
“ข้าเป็นใครไม่สำคัญ แต่สำคัญที่ว่า ข้าฆ่าคนตาย”
“บังอาจ!”
ผู้พิพากษายืดตัวตรง มือข้างหนึ่งหยิบค้อนพิพากษาขึ้นมา ก่อนทุบลงไปบนโต๊ะด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“รีบส่งคนไปแจ้งเซ่อเจิ้งหวาง ข้าได้สังหารสตรีหัวขโมยจากต่างแดนผู้ที่กระทำการบุกรุกตำหนักเซ่อเจิ้งหวางยามวิกาลในคืนนั้นด้วยมือของข้าเอง”
เฟิงอู๋โยวเดินขึ้นไปนั่งบนเก้าอี้ของคณะขุนนางที่ยังว่างอยู่หน้าตาเฉย ขาข้างหนึ่งยกไข่วห้าง ปากแทะเม็ดแตง สีหน้าเรียบนิ่งไม่สะทกสะท้าน
เห็นได้ชัดว่าผู้พิพากษาไม่เชื่อคำพูดของเฟิงอู๋โยวแม้แต่น้อย เขาชี้ไปที่ชุดบนตัวนาง “บอกข้ามา ไฉนเจ้าถึงสวมใส่ชุดว่าราชกิจของขุนนางจิ้น”
“ชุดว่าราชกิจ?”
เฟิงอู๋โยวตะลึงงัน ก่อนหลุบตามองชุดผ้าแพรสีน้ำเงินบนตัว ก่อนหน้านี้คิดแค่ว่านี่เป็นชุดที่สวยงามและดูมีฐานะ แต่นึกไม่ถึงว่าจะเป็นชุดว่าราชกิจของขุนนางจิ้น ครั้นแล้วจึงรีบแต่งคำแก้ตัวขึ้นในใจอย่างฉับไว
ดูเหมือนว่าสายตาของนางไม่เลวเลยทีเดียว เห็นแค่แวบเดียวก็เลือกหยิบชุดว่าราชกิจทันที
“เมื่อวานตอนที่ข้าสังหารเหยื่อเสร็จ เกิดรู้สึกหนาว ตอนนั้นผ่านเรือนขุนนางจิ้นพอดี จึงเข้าไปหยิบชุดคลุมมาสวมใส่ แม้ขุนนางจิ้นยังไม่รู้เรื่องนี้ แต่ถ้าเขารู้ว่าข้าจับสตรีหัวขโมยมามอบให้เซ่อเจิ้งหวางได้ เขาจะต้องปลาบปลื้มใจเป็นแน่ และคงจะมอบชุดว่าราชกิจให้ข้าอีกเป็นสิบๆ ชุด”
เมื่อผู้พิพากษาเห็นนางพูดจาฉะฉานฟังดูสมเหตุผมผล จึงไม่อยากต่อความยาวสาวความยืด และก็ส่งคนไปแจ้งที่ตำหนักเซ่อเจิ้งหวางและเรือนขุนนางจิ้นให้มาพิสูจน์ความจริง
ทันใดนั้นเอง ชายในชุดสีแดงฉานคนหนึ่งก็เดินโบกพัด พลางฮัมบทเพลงย่างเข้ามาในห้องโถงศาลาว่าการ
เขาเดินตรงเข้ามายังเฟิงอู๋โยว ดวงตาเล็กเฉี่ยวพริ้มพราว ผุดแววเมามายรำไร
“ขุนนางฟู่ เมื่อคืนหลับสบายดีหรือไม่” เมื่อผู้พิพากษาเห็นฟู่เย่เฉินก็คลี่พัดทันที
คนตาดีล้วนมองออก ผู้พิพากษาผู้นี้คิดไม่ซื่อกับขุนนางรูปงามบอบบางผู้นี้
เฟิงอู๋โยวมองฟู่เย่เฉินอย่างสนใจ ทว่าภายในหัวมีคำหนึ่งผุดขึ้นมาชั่ววูบ ‘มารร้าย’
หากจะเปรียบเปรยว่าจวินมั่วหรันคือปีศาจเดินดินที่โผล่มาจากขุมนรก ทุกที่ที่เขาก้าวผ่านจะจมดิ่งสู่ความมืดมิดไร้ดวงตะวัน
ส่วนฟู่เย่เฉินผู้นี้กลับเป็นเหมือนมารร้ายที่มาจากโลกที่เต็มไปด้วยโลกีย์และตัณหาอันไม่มีที่สิ้นสุด ทุกสถานที่หนาวเหน็บที่สายตาของเขามองไป หิมะขาวโพลนจะต้องละลายกลายเป็นน้ำหวานรสโอชะ
“ไฉนที่นั่งของข้าถึงมีโจรมานั่งได้ ซ้ำยังกล้าขโมยชุดว่าราชกิจของขุนนางจิ้นมาอีก คงเป็นพลทหารยศต่ำต้อยจากแคว้นเป่ยหลีที่ผู้คนร่ำลือกันเมื่อไม่นานมานี้สินะ” ฟู่เย่เฉินเท้ามือทั้งสองข้างลงบนโต๊ะด้านหน้าเฟิงอู๋โยว ดวงตาเล็กเฉี่ยวเจือแววลุ่มหลงเมามาย
เฟิงอู๋โยวเริ่มอารมณ์ไม่ดี นางรู้สึกว่าแคว้นตงหลินแห่งนี้เหมือนแหล่งรวมเจ้าชายอสรพิษรูปงาม
นางไม่รู้ที่มาที่ไปของขุนนางฟู่ผู้ที่อยู่ด้านหน้า แต่ดูเหมือนชายผู้นี้จะรู้เรื่องของนางจนถึงไส้ถึงพุง
[1] ยามเหม่า ประมาณ 05:00-06:59 น.
[2] ยามเฉิน ประมาณ 07:00-08:59 น.