ตอนที่ 111 ยกหินหล่นทับเท้าตัวเอง[1] / ตอนที่ 112 พูดกลับไปกลับมา
ตอนที่ 111 ยกหินหล่นทับเท้าตัวเอง[1]
จวินมั่วหรันโมโหจนขำ ถือว่าเฟิงอู๋โยวมีความสามารถจริงๆ นางมักจะทำให้เขาโมโหจนควบคุมตัวเองไม่ได้
แต่จะว่าไป เขาจะขาดแคลนสตรีได้เยี่ยงไร
ผู้หญิงทั่วทั้งแคว้นตงหลิน มีใครบ้างไม่อยากหลับนอนกับจวินมั่วหรัน
อีกอย่าง เขาไม่สนใจผู้ชายเลยสักนิดเดียว
เขาแค่สนใจเฟิงอู๋โยวแค่คนเดียว ไม่ว่าจะเป็นเพศไหน
“เฟิงอู๋โยว จงจำไว้ให้ดี ข้าจะไม่แตะต้องเจ้า แต่เจ้าต้องรักษากฎ จงรักนวลสงวนตัวดุจดั่งหยกเลอค่า” และแล้วจวินมั่วหรันก็ยอมถอยกลับไปหนึ่งก้าว
และที่สำคัญไปกว่านั้นก็คือ จวินมั่วหรันยังไม่รู้ว่าความรู้สึกที่ตัวเองมีต่อเฟิงอู๋โยวคืออะไร
บางทีอาจเป็นเพราะนางมีลักษณะตรงตามรสนิยมของเขาในทุกๆ ด้าน จึงเป็นเหตุทำให้เขามีอารมณ์กับนางบ่อยครั้ง
บางทีอาจเป็นเพราะฐานะที่สูงส่งเกินไปของเขา ทำให้เขาถูกเอาอกเอาใจจนเป็นนิสัย แต่เมื่อมาเจอแมวป่าที่พร้อมแยกเขี้ยวยิงฟันใส่เขาอยู่ตลอดเวลาอย่างเฟิงอู๋โยว เขาจึงรู้สึกแปลกใหม่
หรือบางทีอาจเป็นเพราะ เขาต้องการผู้ชายหรือผู้หญิงสักคนมาตอบสนองความต้องการทางกายภาพของตัวเอง
ขณะครุ่นคิด แววตาของจวินมั่วหรันก็ยิ่งจมดิ่งลงเรื่อยๆ
แม้เขาจะรับปากนางไป หากนางทำตามกฎ เขาก็จะไม่แตะต้องนาง แต่หากนางมาประเคนถึงหน้าประตูเอง เขามีโอกาสที่จะคืนคำพูดตัวเอง
“ท่านใต้เท้าขอรับ เงื่อนไขของท่านมันออกจะเกินไปหน่อยกระมัง”
เฟิงอู๋โยวบ่นเสียงเล็กเสียงน้อยอย่างไม่สบอารมณ์
แม้การรักนวลสงวนตัวไม่ใช่เรื่องยากสำหรับนาง เพราะเดิมทีนางก็ไม่ใช่ผู้หญิงเสเพลพรรค์นั้น มีชีวิตมาสองชาติภพ ประสบการณ์ความรักของนางเท่ากับศูนย์ ครั้งที่แล้ว หากไม่เป็นเพราะยากำหนัด นางไม่มีทางข่มขืนคนบ้าอำนาจที่โรคเก่ากำเริบอย่างจวินมั่วหรันเด็ดขาด
แต่จวินมั่วหรันกลับตีกรอบความอิสระของนาง
และนางก็ไม่ใช่ของใครทั้งนั้น แล้วมีสิทธิ์อะไรมาดูแลนาง
“เกินไป?”
จวินมั่วหรันคิดว่าตัวเองหูฝาดไป ทั้งที่เขายอมอ่อนข้อให้ถึงขนาดนี้แล้ว นางยังทำตัวได้คืบจะเอาศอกอยู่ได้
“ถ้าไม่ยอมก็ลองดู!” จวินมั่วหรันลุกพรวดและจ้องมองนางอย่างผู้เป็นใหญ่
“ยอมขอรับ!”
เฟิงอู๋โยวจำใจต้องตอบ จากนั้นก็ชี้นิ้วไปที่ศพสตรีที่ตาเหลือกค้างอยู่ พร้อมกับเบี่ยงเบนประเด็น “ขอท่านใต้เท้าพิสูจน์สตรีหัวขโมยที่ถูกจับมาด้วยขอรับ”
“นางตายไปแล้ว แล้วจะให้พิสูจน์เยี่ยงไรว่าเป็นคนเดียวกับคนที่บุกรุกเข้าตำหนักข้ายามวิกาล เจ้ากำลังเล่นละครตบตาข้าอยู่ใช่หรือไม่”
“ขอท่านใต้เท้ากรุณาลืมดวงตาอันแวววาวให้กว้างๆ และมองศพสตรีเรือนร่างบอบบางร่างนี้ดูดีๆ”
เฟิงอู๋โยวนั่งยองๆ มือข้างหนึ่งบีบคางศพสตรีพลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ปากหนาใหญ่เหมือนกับรูปภาพที่ท่านวาดยิ่งนัก!”
จวินมั่วหรันหน้าซีดพลัน ภายในใจรู้สึกรังเกียจยิ่งนัก
“รอยแผลเป็นยาวหนึ่งคืบ แค่ดูก็รู้แล้วว่าช่ำชองเรื่องผิดศีลธรรม” เฟิงอู๋โยวชี้ไปที่รอยแผลเป็นบนใบหน้าศพ พร้อมกับวิเคราะห์ด้วยสีหน้าจริงจัง
เมื่อเห็นจวินมั่วหรันนิ่งเงียบไม่พูดอะไร ก็เลื่อนมือไปบีบปีกจมูกกว้างๆ ของศพสตรี “ผู้หญิงที่ปีกจมูกกว้าง มีความใคร่อยากในตัณหารุนแรงเป็นพิเศษ ท่านใต้เท้าขอรับ ในเมื่อท่านเกลียดนางขนาดนี้ คงไม่ใช่แค่นางขโมยของมีค่าในตำหนักของท่านอย่างเดียวใช่หรือไม่”
“หุบปาก”
ในเมื่อเฟิงอู๋โยวได้โอกาสพูด แล้วนางจะหยุดพูดได้เยี่ยงไร
นางคลี่ยิ้มมองจวินมั่วหรันก่อนพูดขึ้นอย่างชัดถ้อยชัดคำ “หรือว่านางทำเรื่องมิดีมิชอบ ที่ไม่อาจพูดได้กับท่าน”
“เฟิง อู๋ โยว!”
ความหงุดหงิดแปรเปลี่ยนเป็นโมโหขึ้นอีกครั้ง มือภายใต้ชายแขนเสื้อง้างขึ้นสูงทันที
“ท่านใต้เท้าขอรับ หากท่านไม่เชื่อ ท่านลองทำเรื่องอย่างว่ากับนางดูอีกสักครั้ง เพื่อพิสูจน์ดูว่าความรู้สึกเหมือนกับตอนนั้นหรือไม่ นางเพิ่งตายได้เพียงครึ่งวัน ร่างกายยังพอใช้งานได้อยู่ขอรับ”
จากนั้นนางก็หลับตาปี๋ สองมือยกขึ้นกุมศีรษะตัวเอง เพราะกลัวจวินมั่วหรันจะทุบศีรษะสวยๆ ของนางจนเละ
แต่ว่าเพื่อทำให้จวินมั่วหรันเชื่อว่าศพของสตรีร่างนี้เป็นหัวขโมยตัวจริง นางจึงจำเป็นต้องพูดอะไรพวกนี้ออกไป
จวินมั่วหรันได้ยินเช่นนั้นก็นึกอยากจะบีบคอเฟิงอู๋โยวให้ตายทันที
เขาจำไม่ได้แล้วว่านี่มันครั้งที่เท่าไหร่ที่นางปั่นประสาทเขาได้ถึงขนาดนี้
“ท่านใต้เท้าขอรับ โปรดเบามือหน่อย กระหม่อมกลัวเจ็บ” เฟิงอู๋โยวขมุบขมิบพูด พอคิดว่าวันนี้คงหนีไม่รอด ในใจก็รู้สึกวาบหวิวขึ้นมาทันที
แต่ที่เหนือความคาดหมายก็คือ มือของจวินมั่วหรันไม่ได้ตกลงมาใส่หัวนาง
ครั้นนางลืมตาขึ้นมาครึ่งหนึ่งเพื่อแอบดูสีหน้าของเขา ก็ถึงกับตกใจเมื่อพบว่าใบหน้าหล่อเหลาของเขาขยับเข้าหาใบหน้านางจนแทบจะติดกัน
วินาทีต่อมา มือเรียวยาวได้รูปของเขาก็จับไหล่นางแน่น จากนั้นก็จับนางกดลงพื้นในบัดดล
“สารเลว ไหนบอกว่าจะไม่แตะต้องข้าอีก!”
“ก็เจ้าบอกให้ข้าลองหาความรู้สึกอย่างว่าอีกครั้งไม่ใช่หรือ”
ตอนที่ 112 พูดกลับไปกลับมา
“สารเลว พูดกลับไปกลับมา!”
เฟิงอู๋โยวโกรธเดือดดาลจนหน้ามืด เพราะนางไม่อยากข้องเกี่ยวกับเขาอีกต่อไปและกลัวเขาจะรู้ความจริงว่านางเป็นผู้หญิง
ตอนนี้ บนหน้าผากใสวาวของนางมีเหงื่อกาฬแตกพลั่กออกมา
จวินมั่วหรันยิ้มมุมปากอย่างไม่สนใจท่าทีขัดขืนของนางแม้แต่น้อย
ตอนแรกเขากะจะปล่อยนางไป แต่คำพูดที่นางพูดออกมากลับยั่วยุเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า
หากครั้งนี้ไม่สั่งสอนนางให้เข็ดหลาบ ครั้งหน้านางจะไม่ขึ้นเรือนรื้อกระเบื้องเลยหรือ
เฟิงอู๋โยวเคร่งเครียดยิ่งนัก แขนขาพยายามขัดขืนสุดขีด
แต่พละกำลังระหว่างนางกับเขาแตกต่างกันเกินไป
เฟิงอู๋โยวมีเรี่ยวแรงแค่นั้น แล้วยังคิดจะหนีจากพันธนาการของเขา ก็ไม่ต่างอะไรกับพูดเรื่องความฝันกับคนสติฟั่นเฟือน
ทันใดนั้น สถานการณ์ก็ยิ่งมะรุมมะตุ้มยิ่งกดว่าเดิม
ใบหน้าของนางแนบกับพื้นเย็นเยียบ สองมือถูกเขาจับกดไพล่หลัง ไม่ว่านางจะพยายามดิ้นรนแค่ไหนก็ไม่สำเร็จ
“ท่านใต้เท้า กระหม่อมขออภัยไม่ได้หรือ”
นางกลัวจวินมั่วหรันจนขวัญหนีดีฝ่อเข้าแล้ว น้ำเสียงสั่นเครือปนแว่วเสียงสะอื้นอย่างชัดเจน
จวินมั่วหรันแค่อยากจะขู่ให้นางตกใจเท่านั้น แต่นึกไม่ถึงว่าคนที่ต่อให้มีดจ่อคอยังไม่ส่งเสียงอย่างเฟิงอู๋โยวจะ…ร้องไห้
เขามองเฟิงอู๋โยวในสภาพน้ำตาไหลอาบหน้า จมูกแดงเรื่อเล็กน้อยอย่างนิ่งอึ้ง อยู่ๆ ก็รู้สึกโหวงเหวงในใจขึ้นมา
นาทีนี้ แม้แต่ตัวเขาเองก็คิดว่าตัวเองเป็นพวกไม่ได้เรื่องอย่างสมบูรณ์
จวินมั่วหรันปล่อยมือออก เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นห่วงความรู้สึกนาง แต่คำพูดห่วงใยกลับติดอยู่ที่ลำคอและน้ำเสียงก็ยังฟังดูเย็นชาเยือกเย็น “หยุดร้องไห้ ข้าไม่ชอบผู้ชายเจ้าน้ำตา”
เฟิงอู๋โยวยกมือขึ้นปิดตา ครั้งนี้นางกลับไม่แสดงท่าทีต่อต้านเขาอย่างหาดูได้ยาก
นางล้มลงนอนบนพื้นอย่างเงียบๆ เพียงรู้สึกว่าตัวเองรันทดเป็นที่สุด
ตายอย่างกะทันหันอย่างแปลกประหลาด แล้วก็ข้ามมิติมาอย่างแปลกประหลาด
ก่อนหน้านี้คิดว่าหลังจากข้ามมิติมาคงจะได้กลายเป็นที่รักที่ชอบของผู้คน แต่ไม่คิดไม่ฝันว่าจะเสียตัวตั้งแต่แรก จากนั้นก็ถูกตามฆ่า ไม่เคยมีสักนาทีที่ใช้ชีวิตอย่างปกติสุข
และที่สุดของที่สุดก็คือจวินมั่วหรัน หมานักเลงที่ชอบกลั่นแกล้งผู้อื่น!
ทุบตีนางไม่เท่าไหร่ แต่ไฉนต้องทำให้นางกลัว
สิ่งที่นางรักและถะนุถนอมที่สุด คือชีวิตสั้นๆ ของตัวเอง กว่าจะได้กลับมามีชีวิตทั้งที หากมีชีวิตอยู่แค่ไม่กี่วันแล้วเกิดตายขึ้นมาอีก มันน่าขายหน้ายิ่งนัก
“เฟิงอู๋โยว ร้องไห้พอหรือยัง”
จวินมั่วหรันหวังให้นางกลับมาเป็นคนกระปรี้กระเปร่าพูดจาต่อล้อต่อเถียงคนเดิม
การที่นางนิ่งเงียบไม่ยอมพูดอะไรแบบนี้ ทำเอาเขาปวดใจแปลกๆ
เฟิงอู๋โยวไม่สนใจเขาแม้แต่น้อย
ในสายตาของนางตอนนี้ จวินมั่วหรันกับไป๋หลี่เหอเจ๋อแทบไม่มีอะไรแตกต่างกันเลย
คนหนึ่งคิดจะทิ้งนางให้พวกชายขอทานข่มขืน ส่วนอีกคนใช้กำลังเข้าเหยียดหยามดูหมิ่นนาง
เมื่อคิดได้เช่นนี้ นางก็ยิ่งรู้สึกเศร้าสลดกว่าเดิม
จวินมั่วหรันไม่รู้จะทำเยี่ยงไร เขาไม่คิดว่าคนที่หน้าไม่อายอย่างเฟิงอู๋โยว พอเสียใจขึ้นมาจะปลอบยากขนาดนี้
เท่าที่เขารู้ ถึงแม้เฟิงอู๋โยวจะช่างพูดช่างจาขี้ประจบ แต่จริงๆ แล้วใจกล้าบ้าบิ่นเกินกว่าใคร
แต่คนที่ไม่กลัวฟ้าไม่กลัวดินแบบนั้น แต่ไฉนถึงกลัวเขาแตะเนื้อต้องตัวถึงขนาดนี้
บางทีอาจจะจริงอย่างที่นางพูด นางเป็นผู้ชายแท้ๆ จึงรับไม่ได้หากต้องสัมผัสกันอย่างแนบชิดกับผู้ชายด้วยกัน
“ก่อนจะนึกเสียใจภายหลัง รีบๆ ลุกขึ้นเสีย”
จวินมั่วหรันไม่อยากสบตานางตรงๆ เพราะกลัวตัวเองจะวู่วามคว้านางเข้ามากอดอีกครั้ง
“เหลวไหลสิ้นดี!” เฟิงอู๋โยวพยายามข่มกลั่นน้ำตา และแล้วก็กำหมัดทุบไปที่หน้าอกของจวินมั่วหรัน
“บังอาจ”
จวินมั่วหรันปล่อยให้นางทุบและมองนางทุบด้วยสีหน้าอึมครึมนิ่งเฉย
“สารเลว ทำตัวดีๆ กับข้าไม่ได้หรือ ข้าไปสร้างเวรสร้างกรรมกับเจ้าตอนไหน”
“ยังกล้าระบายอารมณ์ใส่ข้าอีกอย่างหรือ เจ้าทหารขี้แย แบบนี้มันหน้าไม่อายชัดๆ” จวินมั่วหรันมองนางอย่างขบขันและพบว่านางช่างน่ารักยิ่งนัก
“ลูกนัยน์ตาของเจ้าดวงไหนเห็นข้าร้องไห้ไม่ทราบ พูดจาลบลู่กันแบบนี้ แล้วข้าจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน”
ไม่รู้เป็นเพราะอะไร จวินมั่วหรันเห็นเฟิงอู๋โยวร้องไห้จนขอบตาแดงเรื่อเหมือนขอบตากระต่ายแบบนี้ อยู่ๆ ความโกรธกลับหายไปเป็นปลิดทิ้ง
[1] ยกหินหล่นทับเท้าตัวเอง หมายถึงคิดร้ายกับผู้อื่น แต่ผลลัพธ์ย้อนกลับมาหาตัวเอง