ตอนที่ 113 เซ่อเจิ้งหวางโชคดีจริงๆ
ก๊อกๆๆ
เสียงเคาะประตูระรัว ดังมาจากด้านนอกห้องโถงของศาลาที่ว่าการ
“ท่านใต้เท้าขอรับ มีเรื่องด้วยมาจากเถี่ยโส่ว”
“ว่ามา”
จวินมั่วหรันลุกขึ้นพรวด จากนั้นก็ขยับมาด้านหน้าเฟิงอู๋โยวอย่างเงียบๆ
เขารู้ดีว่าเฟิงอู๋โยวเป็นห่วงหน้าตาตัวเอง หากปล่อยให้จุยเฟิงเห็นนางในสภาพน้ำตาอาบน้ำ นางคงแผงฤทธิ์อีกแน่นอน
“หลังจากวันนี้แม่ทัพเฟิงถูกเนรเทศ ทางแคว้นเป่ยหลีได้ส่งมือสังหารมันทั้งหมดสามกลุ่มสามรอบด้วยกัน โดยรอบแรกเคลื่อนไหวในนามคำสั่งตามฆ่าของจั๋วเซี่ยงแห่งแคว้นเป่ยหลีอย่างอ๋าวเช่อ เขาและกองกำลังได้ไล่ต้อนแม่ทัพเฟิงจนมาถึงเขตชายแดนแคว้นตงหลิน ส่วนรอบที่สองเป็นมือสังหารจากตระกูลชิว ที่เป็นแม่แท้ๆ ของแม่ทัพเฟิง โดยมีเจตนาการสังหารไม่แน่ชัด รอบที่สามเป็นมือสังหารจากวังหลวงแห่งแคว้นเป่ยหลี เป็นกลุ่มมือสังหารมืออาชีพมากประสบการณ์ที่เป็นองครักษ์ข้างกายขององค์หญิงหลีอิน ซึ่งมือสังหารกลุ่มนี้ได้ไล่ตามและสะกดรอยแม่ทัพเฟิงมาตั้งแต่แรก ซ้ำยังซ่อนตัวกบดานอยู่ในแคว้นตงหลินเรื่อยมา”
เมื่อจุยเฟิงรายงานจบ ก็ถือโอกาสพูดเสริมขึ้น “ได้รับการยืนยันแล้วว่ามือสังการกลุ่มที่สี่ที่แม่ทัพเฟิงสังหารไปเมื่อวาน เป็นกลุ่มคนที่องค์หลีอินส่งมาขอรับ”
เมื่อได้ยินว่าชิวหรูสุ่ยเคยส่งคนมาตามหาตัวเอง เฟิงอู๋โยวก็ตะลึงไปวูบหนึ่งก่อนหันกลับมา “ตอนนี้คนของชิวหรูสุ่ยอยู่ที่ไหน”
“คนจากตระกูลชิวเข้ามาในเขตชายแดนของแคว้นตงหลินไม่ได้ จึงกลับไปแล้ว”
“นึกไม่ถึงเลยจริงว่าชิวหรูสุ่ยใจดำกว่าเฟิ่งจือหลินเสียอีก” เฟิงอู๋โยวยิ้มเย้ยหยันตัวเอง เมื่อเงยหน้าขึ้นมา ดวงตาพลันเคลือบแววเย็นทันที
ก่อนหน้านี้สิบเจ็ดปี ด้วยความที่ชิวหรูสุ่ยต้องการสร้างชื่อเสียงของตัวเองในค่ายกรมทหาร เขาได้เรียกเฟิงอู๋โยวว่าเป็นลูกเมียน้อยแห่งค่ายกรมทหาร
ก่อนหน้านี้เจ็ดปี เฟิงอู๋โยวเพิ่งอายุได้เพียงสิบขวบ แต่กลับถูกชิวหรูสุ่ยบีบบังคับให้ละทิ้งการเรียนเพื่อเข้าเป็นทหาร ทำให้หลังจากนั้นเป็นต้นมาเฟิงอู๋โยวต้องจับกระบี่ขี่ม้าเพื่อออกศึกทำสงคราม
ก่อนหน้านี้สามปี เฟิงอู๋โยวได้สร้างวีรกรรมช่วยเหลือกองทัพทหารทัพใหญ่แห่งแคว้นเป่ยหลีจนมีชื่อเสียงโด่งดัง ผู้เป็นแม่แห่งตระกูลชิวจึงพลอยได้รับเกียรติของ ‘บุตรชาย’ ไปด้วย จนถูกท่านอ๋องแห่งแคว้นเป่ยหลีอย่างเป่ยถางหลงถิงแต่งตั้งเป็นนางสนมขั้นสอง จากนั้นเฟิ่งจือหลินก็เลื่อนตำแหน่งเมียน้อยอย่างชิวหรูสุ่ยขึ้นเป็นเมียหลวงอย่างภาคภูมิใจ
ที่น่าใจหายก็คือ เฟิงอู๋โยวออกรบเลือดอาบไปทั้งตัวเพื่อเกียรติภูมิของชิวหรูสุ่ย
ตอนที่เฟิงอู๋โยวถูกเป่ยถางหลีอินเล่นงาน ชิวหรูสุ่ยกับมีทีท่าเหมือนกับเฟิ่งจือหลินไม่มีผิด จากนั้นก็ตัดความสัมพันธ์กับเฟิงอู๋โยวทิ้งอย่างไม่เหลือเยื่อใย
คนนอกไม่รู้ว่าเฟิงอู๋โยวเป็นสตรีที่ปลอมตัวเป็นบุรุษ หากพวกเขาเชื่อคำพูดขององค์หญิงหลีอินโดยง่ายก็ว่าไปอย่าง
แต่ทั้งที่ชิวหรูสุ่ยรู้ว่าเฟิงอู๋โยวเป็นสตรีที่ไม่มีทางคิดอะไรเกินเลยกับเป่ยถางหลีอินอย่างแน่นอน แต่ก็กลับปล่อยให้นางถูกเล่นงานไปต่อหน้าต่อตา
เกิดเป็นแม่คนให้เสียเปล่าจริงๆ!
“ต้องการให้ข้าระบายอารมณ์แทนเจ้าหรือไม่”
จวินมั่วหรันเห็นสีหน้าของเฟิงอู๋โยวเยือกเย็นลงฉับพลัน จึงเอ่ยถามเสียงขรึม
ฃำม่จำเป็นขอรับ” หนี้ที่พวกสวะจากแคว้นเป่ยหลีค้างชำระ เฟิงอู๋โยวต้องการเอาคืนด้วยมือของนางเอง
“จะกลับตำหนักพร้อมกับข้าเลยหรือไม่”
“ท่านใต้เท้าขอรับ กระหม่อมจับสตรีหัวขโมยให้ท่านตามสัญญาแล้ว นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ขอจงเดินตามทางใครทางมันและอย่าได้ก้าวก่ายกันอีกเลยนะขอรับ”
น้ำเสียงของเฟิงอู๋โยวเรียบนิ่งเยือกเย็น แต่พอนึกถึงเรื่องที่จวินมั่วหรันทำกับนางเมื่อครู่ก็เกิดโมโหขึ้นมาทันที
“ไม่รู้แยกแยะ!”
เฟิงอู๋โยวยื่นมือข้างหนึ่งไปจับคอเรียวยาวของเฟิงอู๋โยว แต่ไม่ได้ออกแรง
“ท่านคิดจะใช้กำลังบังคับกระหม่อมอีกหรือ” เฟิงอู๋โยวแสยะยิ้มอย่างเย็นชา “ท่านใต้เท้ารู้ใช่หรือไม่ว่า แตงที่ฝืนเด็ดจากต้นย่อมไม่หวาน[1]”
“เฟิงอู๋โยว เจ้าคิดว่าข้าขาดเจ้าไม่ได้หรือ”
“กระหม่อมไม่คิดเช่นนั้น”
เฟิงอู๋โยวผินหน้าหนีและปล่อยให้เขาจับคอนางอยู่แบบนั้น
จวินมั่วหรันรู้ดีว่าเฟิงอู๋โยวยังโกรธเขาอยู่ แต่ก็ลดตัวขอโทษนางไม่ได้ จึงได้แต่จับคอนางแบบนั้นอยู่สักพักใหญ่ๆ ไม่ยอมปล่อยมือออกสักที
จุยเฟิงที่เห็นทั้งสองกระฟัดกระเฟียดใส่กัน ก็คิดว่าจะปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปไม่ได้ ไม่เช่นนั้นจวินมั่วหรันต้องทำให้เรื่องบานปลายยิ่งกว่าเดิมเป็นแน่
ในด้านความรู้สึก จวินมั่วหรันกลับว่างเปล่าไม่รู้อะไรเหมือนกระดาษอันขาวสะอาด ทั้งไม่รู้ว่าอะไรคือความรักทะนุถนอม และตระหนักด้วยตัวเองไม่ได้ว่า สิ่งที่ตัวเองกำลังทำอาจทำร้ายเฟิงอู๋โยวได้
เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้จวินมั่วหรันทำให้เรื่องใหญ่บานปลายไปยิ่งกว่านี้ จุยเฟิงจึงต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อหยุดมัน
เขาก้มลงไปที่พื้นและทำท่าตั้งใจมองศพสตรีที่อยู่บนพื้น จากนั้นก็พูดขึ้นอย่างตกใจ “ปากหนาใหญ่ หน้าตาเหี้ยมโหด เหมือนกับรูปสตรีหัวขโมยที่ท่านใต้เท้าวาดวันนั้นเลยขอรับ”
จวินมั่วหรันได้ยินเช่นนี้ จึงเหลือบไปมองศพสตรีหน้าตาอัปลักษณ์อย่างเย็นชา ริมฝีปากพลันเอ่ยพูด “ทำลายทิ้งเสีย”
“ขอรับ”
จุยเฟิงขานรับคำสั่ง จากนั้นก็ควักน้ำกลืนวิญญาณออกมาจากแขนเสื้อและราดลงไปจนทั่วร่างศพ
เพียงพริบตา ศพสตรีก็ย่อยสลายไปทันที เหลือทิ้งไว้แค่คราบน้ำมันสกปรก
สีหน้าของเฟิงอู๋โยวเรียบนิ่ง นางพูดด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นเซาะกระดูก “กรรมเกิดจากเหตุ หนี้สินย่อมมีเจ้าหนี้[2] ความจริงถูกพิสูจน์แล้วว่าคนที่ลักลอบเข้าตำหนักเซ่อเจิ้งหวางเป็นคนของเป่ยถางหลีอิน หากท่านใต้เท้ายังคับข้องใจ ก็คงต้องไปพูดคุยกับนางที่แคว้นเป่ยหลี”
คำพูดของนางไร้ช่องโหว่ไว้เอาผิด จวินมั่วหรันจึงทำได้แค่คลายมือออกจากนางแต่ก็ยังไม่ดึงมือกลับไป
หลังจากบรรยากาศเงียบลงไปครู่หนึ่ง เสียงทุ้มต่ำของเขาก็ดังขึ้นอีกครั้ง “สตรีหัวขโมยลักลอบเข้ามาในแคว้นตงหลินก็เพื่อตามฆ่าเจ้า ไม่ว่าอย่างไรเจ้าก็เป็นต้นเหตุ ดังนั้นเจ้าหนีโทษฐานนี้ไม่พ้น”
เฟิงอู๋โยวถลึงตาใส่จวินมั่วหรันที่ทำตัวไร้เหตุผล นางหลุบมองมือของเขาที่ยังอยู่บนตัวนางอยู่ ครั้นแล้วจึงสะบัดตัวออกด้วยความโมโห
“ท่านใต้เท้า ได้โปรดดูแลตัวเอง!”
แคว่ก!
อาจเป็นเพราะเคลื่อนไหวเร็วเกินไป เป็นเหตุให้ผ้ารัดหน้าอกของเฟิงอู๋โยวตึงจนขาดฉับพลัน
ตอนนี้ สีหน้าของนางตกใจสุดขีดและได้แต่ยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับไปไหน
“เสียงอะไร”
จวินมั่วหรันคิ้วย่นเข้าหากันเล็กน้อย ก่อนถามเฟิงอู๋โยวเสียงต่ำ
สายตาของเขาจ้องมองดวงตาแดงเรื่อของนางอย่างไม่ละสายตา เขายังไม่ทันสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงเล็กๆ บริเวณหน้าอกของนาง
เฟิงอู๋โยวหน้าแดงก่ำพลางเลื่อนมือขึ้นมาปิดหน้าอกและแสร้งพูดขึ้นอย่างเขินอาย “ท่านใต้เท้าโชคดีเหลือเกิน! ในรอบสิบเจ็ดปีมานี้ นี่เป็นครั้งแรกที่กระหม่อมผายลม ไม่นึกว่าท่านจะเห็นเข้า”
“…”
จวินมั่วหรันรู้สึกหมดความสนใจลงทันที ครั้นแล้วจึงค่อยๆ ดึงมือกลับไปและจากไปอย่างไม่แยแส
[1] แตงที่ฝืนเด็ดจากต้นย่อมไม่หวาน หมายถึงการกระทำอะไรโดยฝืนใจอีกฝ่าย ย่อมได้รับผลลัพธ์ที่ไม่ดี
[2] กรรมเกิดจากเหตุ หนี้สินย่อมมีเจ้าหนี้ หมายถึงหากต้องการจะจัดการปัญญาให้จบสิ้น ต้องจัดการที่ต้นเหตุ