ตอนที่ 131 ต้อนนางหลังชนฝาอีกหน
จวินมั่วหรันรุดหน้าเข้าหาเฟิงอู๋โยว ต้อนนางจนหลังชนกำแพงเย็นยะเยือกและร่างของนางก็อยู่ห่างจากนางไม่ถึงคืบ
เขาค้ำมือลงบนกำแพงและหลุบตามองนาง
เฟิงอู๋โยวเงยหน้าขึ้นมาเล็กน้อย ดวงตาเจือแววสงสัยรำไร
หรือว่าอาการป่วยทางจิตของจวินมั่วหรันกำเริบขึ้นอีกครั้ง
จะต้องเป็นแบบนี้แน่ๆ!
ไม่เช่นนั้นเขาจะต้อนนางจนหลังชนกำแพงทำไม
จุยเฟิงเห็นเช่นนั้นก็คว้าชิงหลวนที่ยืนตะลึงอยู่กับที่เข้ามาในอ้อมกอด “แม่หนูชิงหลวน ไปกันเถิด”
แม้ชิงหลวนจะคิดว่าการปล่อยให้หญิงเหงา ชายโสดอยู่ใต้ชายคาเดียวสองต่อสองอาจไม่ค่อยปลอดภัยเท่าไหร่ แค่เมื่อได้เห็นใบหน้าหล่อเหลาเยี่ยงบัณฑิตของจุยเฟิงในระยะใกล้ๆ ก็ถึงพยักหน้าตกลง “ได้”
ขณะอยู่ในร่มคันเดียวกับจุยเฟิง นางหันไปมองเป็นระยะอย่างไม่วางใจ
ตอนนี้ เฟิงอู๋โยวไม่มีเวลามาสนใจชิงหลวนแล้ว หัวใจของนางเต้นระรัว ตัวสั่นระริกเล็กน้อย
เพราะรังสีที่แผ่ซ่านออกมาจากรอบๆ ตัวจวินมั่วหรันมันช่างหนาวเย็นชวนหวั่น
นอกเหนือจากนี้ นางถูกบุคลิกที่สองของจวินมั่วหรันทำให้ตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อ นางกลัวว่าอาการของเขาจะกำเริบขึ้นมาอีกครั้งและขืนใจนางใต้ชายคาศาลเจ้า
“เฟิงอู๋โยว เจ้าเจ็บหรือไม่”
น้ำเสียงจวินมั่วหรันพร่าแหบ แลฟังดูไม่ดุดันและหยิ่งทระนงเหมือนที่ผ่านมา ในน้ำเสียงสอดแทรกความอ่อนโยนเย้ายวน
“เจ็บอะไรหรือขอรับ”
เฟิงอู๋โยวมองเขาด้วยสายตาแปลกๆ เสื้อผ้าอาภรณ์เรียบหรูดูวิจิตร ท่าทางงามสง่าดั่งเทพบุตร ภายในใจเกิดนึกเสียดาย
ไม่นึกว่าชายหนุ่มใบหน้างดงามเกินต้านทานผู้นี้จะมีอาการป่วยทางจิต!
น่าเสียดาย ช่างน่าเสียดายจริงๆ
จวินมั่วหรันยกมือข้างหนึ่งขึ้นมาลูบไล้ใบหน้าขาวละเอียดงดงามของเฟิงอู๋โยว น้ำเสียงทรงเสน่ห์เปล่งดังขึ้น “เฟิงอู๋โยว หากเจ้ายอมคุกเข่าขอโทษข้า ข้าจะรับผิดชอบเจ้าอย่างเยี่ยงไร”
เฟิงอู๋โยวได้ยินเช่นนั้นจึงรับรู้ขึ้นมาได้ทันทีว่าจวินมั่วหรันยัง ปกติอยู่ อาการป่วยไม่ได้กำเริบ แต่เขาเบื่อหน่ายเกินไปและนึกอยากเล่นสนุกขึ้นมา
ครั้นแล้วนางจึงกรอกตาใส่เขาอย่างไม่เกรงใจ “กระหม่อมสบายดี ยังเดินได้กระโดดได้ ไฉนต้องให้ท่านใต้เท้ามารับผิดชอบด้วยขอรับ”
จวินมั่วหรันไม่คิดว่าเฟิงอู๋โยวจะดื้อด้านได้ขนาดนี้ ภายในใจผุดความรู้สึกพ่ายแพ้ขึ้นมารำไร
แต่อันที่จริง เรื่องนี้เป็นเพราะตัวเขาทำไม่ถูก
เขาทำให้เฟิงอู๋โยวลำบากใจมาหลายต่อหลายครั้ง เขาควรเป็นฝ่ายลดศักดิ์ศรีของตัวเองลงมาเพื่อปลอบใจนางถึงจะถูก
เมื่อคิดได้เช่นนี้ จวินมั่วหรันก็ผ่อนความเย่อหยิ่งของตัวเองลงก่อนค่อยๆ เอ่ยปากพูด “หากไม่ยอมคุกเข่าขอโทษข้า ก็จงพูดยอมแพ้ข้าออกมาสักคำก็ยังดี แล้วข้าจะรับปากกับเจ้าว่าจะรับผิดชอบเจ้าไปตลอดทั้งชีวิต”
“…”
เฟิงอู๋โยวมองเขาโดยไม่พูดอะไรอยู่สักครู่หนึ่ง ก่อนพูดขึ้นด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “กระหม่อมขอรับผิดชอบชีวิตของกระหม่อมเองดีกว่า กระหม่อมไม่อาจรบกวนท่านใต้เท้าได้”
“ต้องให้ข้าตัดแขนตัดขาเจ้า เจ้าถึงจะยอมเชื่อฟังข้าเช่นนั้นหรือ”
จวินมั่วหรันกำหมัดซัดเข้าไปที่กำแพงศาลเจ้า ทำเอากำแพงสั่นคลอนไม่หยุด ก่อนพังทลายลงมา
เวลานี้มันช่างโกลาหลวุ่นวายเสียจริง
แต่เมื่อเฟิงอู๋โยวตั้งสติกลับมาได้ ก็พบว่ากำแพงด้านหลังตัวเองพังทลายไปแล้ว
“ท่านใต้เท้าขอรับ ที่นี่คือศาลเจ้าอันศักดิ์สิทธิ์ ได้โปรดสำรวมด้วยขอรับ”
“เฟิงอู๋โยว ข้าจะรับผิดชอบเจ้าอย่างถึงที่สุด”
“ท่านใต้เท้าไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับกระหม่อม ดังนั้นไม่มีความจำเป็นต้องรับผิดชอบกระหม่อม”
เฟิงอู๋โยวพยายามสลัดให้หลุดจากพันธนาการไร้รูปทรงนี้ ในเวลาเดียวกันพยายามปกป้องเงินกระดาษหนาเป็นปึกของตัวเอง เพราะกลัวว่ามันจะเปียกน้ำและเปื่อยยุ่ยอีกครั้ง
“ปากแข็งเสียจริงเชียว ซือมิ่งได้นำผ้าปูที่นอนวันนั้นไปขึงอัดกรอบแล้ว เจ้าอยากดูด้วยตาตัวเองหรือไม่”
จวินมั่วหรันแค่นเสียงในลำคอ เขาเริ่มไม่พอใจกับท่าทีแข็งข้อของเฟิงอู๋โยวในตอนนี้
ทั่วใต้หล้านี้ มีผู้คนมากมายนับไม่ถ้วนที่พยายามคิดวางแผนหาวิธีดึงดูดความสนใจของเขา
แต่นางกลับตรงกันข้าม ให้ตายก็ไม่ยอมแพ้เขา!
ผ้าปูที่นอนถูกนำไปขึงอัดกรอบ?
เฟิงอู๋โยวเกือบสำลักน้ำลายตัวเอง
ก่อนหน้านี้ นางคิดว่าซือมิ่งน่าจะเป็นคนที่ปกติที่สุด ไม่คิดว่าเขาจะทำเรื่องไร้สาระแบบนี้ได้
ดูเหมือนว่ารอบๆ ตัวจวินมั่วหรันจะไม่มีคนปกติเลยสักคน
“ท่านใต้เท้าเข้าใจผิดแล้วขอรับ ก่อนหน้านี้พวกเราร่วมห้องเดียวกันก็จริง แต่พวกเราไม่ได้ทำเรื่องอย่างว่าขอรับ” เฟิงอู๋โยวฝืนยิ้มและพูดขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ
ดวงตาดำสนิทลุ่มลึกของจวินมั่วหรันเจือแววเค้นความจริงขึ้นมารำไร เขาไม่เชื่อที่เฟิงอู๋โยวพูดแม้แต่น้อย
เมื่อเฟิงอู๋โยวเห็นเช่นนั้น ภายในใจก็รู้สึกเหมือนมีฝูงม้านับไม่ถ้วนกำลังกระโดดโลดเต้นลงแม่น้ำอย่างบ้าคลั่งอลหม่าน
เพื่อให้จวินมั่วหรันล้มเลิกความคิดที่จะรับผิดชอบนางไปตลอดทั้งชีวิต นางจึงเอ่ยปากอธิบายขึ้นอีกครั้ง “ตอนที่อาการป่วยทางจิตของท่านใต้เท้ากำเริบ ท่านเหมือนเปลี่ยนไปเป็นคนละคนและต้องการจะทาโอสถหยกให้กระหม่อมให้ได้ ซ้ำยังเคยลงมือปลดเสื้อของกระหม่อม แต่ว่าท่านใต้เท้าก็พบว่าตามร่างกายกระหม่อมไม่มีรอยบาดแผลใดๆ แต่ก็ยังดึงดันจะทาโอสถให้กระหม่อมอยู่นั่น”
“…”
จวินมั่วหรันเห็นเฟิงอู๋โยวอธิบายอย่างเป็นขั้นเป็นตอนน่าเชื่อถือ อยู่ๆ ก็รู้สึกเหงื่อตกขึ้นมา
เขาไม่คิดว่าจวินหลานหรันจะกล้าทำเรื่องที่ส่งผลต่อภาพลักษณ์ของเขาเช่นนี้!
เฟิงอู๋โยวแอบมองจวินมั่วหรันที่เคร่งขรึมลง นางสัมผัสได้ว่าเขาเริ่มเชื่อที่นางพูดแล้ว ครั้นแล้วพูดเสริมขึ้นต่อ “ตอนนั้นท่านใต้เท้าไม่รู้จักอาย! ซ้ำยังเปลือยกายต่อหน้ากระหม่อมเพื่อต้องการให้กระหม่อมสนใจ จากนั้นก็ให้กระหม่อมทาโอสถหยกตรงนั้นให้ท่าน”
“หุบปาก!”
ก่อนหน้านี้ ตอนที่จวินมั่วหรันไปอาบน้ำที่บ่อน้ำพุกลางแจ้ง เขาได้สังเกตเห็นแล้วว่าตามตัวเขามีโอสถหยกเหนียวเหนอะเปื้อนอยู่
แต่ตอนนั้นเขามัวแต่สนใจคำพูดรายงานของจุยเฟิงจนไม่ได้เก็บเรื่องนี้มาใส่ใจ
ตอนนี้ เมื่อเขาได้ยินเฟิงอู๋โยวพูดจากปาก สีหน้าของเขาก็ซีดลงอย่างเห็นได้ชัด เขาไม่นึกว่าจวินหลานหรันจะทำเรื่องหน้าไม่อายได้ถึงขนาดนี้
เมื่อเหมือนจวินมั่วหรันทำหน้าเหมือนกลืนแมลงวัน เฟิงอู๋โยวก็รู้สึกครึ้มใจขึ้นมา แต่ยังคงปั้นสีหน้าจริงจังอยู่
นางกระแอมปรับน้ำเสียงก่อนเขย่งเท้ากระซิบเขา “ตอนที่กระหม่อมทาโอสถหยกให้ท่านใต้เท้า กระหม่อมพบว่าตรงนั้นของท่านใหญ่โตไม่ต่างอะไรไปจากของกระหม่อมเลยขอรับ อาจเป็นเพราะกระหม่อมตื่นเต้นจนควบคุมตัวเองไม่ได้ ก็เลยเผลอร้องครางออกมาไม่หยุด จึงเป็นเหตุให้จุยเฟิงกับซือมิ่งเข้าใจผิดคิดว่ากระหม่อมกับท่านใต้เท้าทำเรื่องอย่างว่ากันอยู่”
จวินมั่วหรันโกรธจัดจนแทบอยากตัดลิ้นของนางให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย
เขาไม่เชื่อหรอกว่าคนตัวเล็กของเฟิงอู๋โยวจะมีเจ้าโลกใหญ่โตเหมือนที่พูด
และตัวเขาเองก็คงไม่วิปลาสจนถึงขนาดจะวัดขนาดเล็กใหญ่กับคนอื่น
เรื่องนี้เขามั่นใจในตัวเองมาก
อีกอย่าง เขาก็ไม่ใช่พวกชอบเปิดของลับให้คนอื่นดูและไม่มีทางแก้ผ้าต่อหน้าผู้ชายด้วยกันแน่นอน
“เฟิงอู๋โยว ขืนเจ้าริอาจโกหกข้า ข้าจะตัดคอเจ้าด้วยตัวเอง เข้าใจหรือไม่”
“คนที่แคว้นตงหลินช่างป่าเถื่อนกันเสียจริง! พูดจาไม่เข้าหูหน่อยก็ถึงกับต้องลงไม้ลงมือกัน” เฟิงอู๋โยวบ่นพึมพำ
จวินมั่วหรันแค่นเสียงหึในลำคอ “จำเอาไว้ ขืนทำให้ข้าไม่พอใจ ฉากต่อไปจบไม่สวยแน่นอน”
อาจเป็นเพราะเฟิงอู๋โยวมักจะล้ำเส้นและชอบยั่วโมโหเขาอยู่บ่อยครั้ง จึงเป็นเหตุให้เขาสนใจนาง
และอยากจะควบคุมคนที่เลี้ยงไม่เชื่องอย่างนาง ราวกับว่าตั้งหน้าตั้งตารอว่าสักวันจะสามารถทำให้นางยอมศิโรราบและเชื่อฟังคำสั่งเขาได้
“จ้าๆๆ ผู้ต้อยต่ำอย่างกระหม่อมจะกล้าทำให้ผู้สูงส่งอย่างท่านใต้เท้าไม่พอใจได้เยี่ยงไร กระหม่อมก็แค่อยากให้ท่านล้มเลิกความคิดที่อยากจะรับผิดชอบกระหม่อมไปทั้งชีวิต จึงได้หยิบยกความจริงที่น่าไม่อายเรื่องนี้ขึ้นมา”
เฟิงอู๋โยวคิดในใจ ในเมื่อตอนนี้มีเงินปึกหนาอยู่ในมือ ก็สามารถตั้งตัวได้แล้ว หากยังคงมีบุญเก่าหลงเหลืออยู่บ้าง นางก็หวังว่าจะได้อยู่ห่างจากราชาปีศาจคนนี้
“ท่านใต้เท้าขอรับ กระหม่อมได้อธิบายเรื่องที่ต้องอธิบายไปจนหมดแล้ว รบกวนท่านใต้เท้ามาทางไหนกลับไปทางนั้นด้วยขอรับ”