ตอนที่ 135 ทานมื้อเที่ยงกับนาง
เมื่อได้รับแจ้งว่าชิงหลวนถูกจวินมั่วหรันพาตัวไป เฟิงอู๋โยวก็กัดฟันกรอด จากนั้นก็ร่นแขนเสื้อขึ้นมาและเดินออกไปอย่างห้าวหาญ
นางโกรธจัด จึงจ้ำอ้าวย่ำเท้าเดินอย่างรีบเร่ง
แต่กลับชนเข้ากับคนงานที่กำลังขนย้ายของเข้าเรือนอย่างไม่คาดคิด
คนงานถูกชนจนเวียนหัว หอบของที่อยู่ในมือร่วงหล่นจนส่งเสียง
เฟิงอู๋โยวหลุบตามอง สิ่งของน้อยใหญ่ร่วงเกลื่อนพื้น นางก้มตัวหยิบบางสิ่งที่ลักษณะคล้ายช้อนเงินยาวๆ ขึ้นมา “ข้าสั่งให้เจ้าไปหาซื้อสมุนไพรโอสถที่เรือนแพทย์จำเป็นต้องใช้มาไม่ใช่หรือ แล้วซื้อช้อนใหญ่ขนาดนี้มาทำไม”
คนงานได้ยินเช่นนั้นก็หน้าแดงก่ำขึ้นมา “หมอเฟิง คือ คือว่าเจ้าสิ่งนี้ใช้สำหรับแก้ปัญหาของผู้ชาย ในยามร่วมรักสอดใส่…”
เขายังพูดไม่ทันจบ เฟิงอู๋โยวก็รีบจากไป
เฟิงอู๋โยวมองแท่นเงินรองค้ำอันแวววาวที่อยู่ในมือพลางครุ่นคิดว่า ช้อนเงินนี้ช่างดูไม่เลวเลยจริงๆ
มันดูแข็งแกร่งใช้ได้ เหมาะแก่การเอามาใช้ป้องกันตัว
อีกอย่าง นางไม่กล้าถือปืน ถือมีดต่อหน้าจวินมั่วหรัน เมื่อเทียบกับมีดขวานต่างๆ แล้ว เจ้าช้อนใหญ่นี้กลับดูเป็นมิตรกว่าเยอะ
เมื่อเฟิงอู๋โยวกลับมาถึงตำหนักเซ่อเจิ้งหวางก็เป็นเวลาเที่ยงตรงพอดี
นางมองบานประตูตำหนักสีแดงที่ปิดสนิท ภายในใจก็รู้สึกวาบหวิวขึ้นมา พร้อมกับรู้สึกเหงื่อตกแทนชิงหลวน
ชาวบ้านต่างบอกว่าจวินมั่วหรันไม่ชอบเข้าใกล้ผู้หญิง
แต่ในสายตาเฟิงอู๋โยว จวินมั่วหรันไม่เพียงชอบเข้าใกล้ผู้หญิง แถมยังชอบลวนลามด้วย
ช่วงนี้เขาเอาแต่ลวนลามนางไม่หยุด
ชิงหลวนยังเป็นหญิงสาวแรกแย้มอยู่ ไม่ควรถูกคนโรคจิตทารุณจนเสียขวัญ!
เมื่อคิดแบบนี้ เฟิงอู๋โยวก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆ หนึ่งเฮือก จากนั้นก็ใช้แท่งเงินรองค้ำ[1]เคาะประตู “จวินมั่วหรัน เปิดประตูเดี๋ยวนี้! อย่าทำเป็นเงียบ ข้ารู้ว่าเจ้าอยู่ข้างใน”
ยามเฝ้าประตูมองเฟิงอู๋โยวที่จิตสังหารโหมคลั่งอย่างตกตะลึง พวกเขาแปลกใจเป็นยิ่งนัก ไม่รู้ว่าเฟิงอู๋โยวไปเอาความกล้ามาจากไหนมาพูดจาแบบนี้ด้านหน้าตำหนักเซ่อเจิ้งหวาง
“แม่ทัพเฟิง ท่านใต้เท้าบอกแล้วว่าห้ามให้ผู้ใดเข้าไปในตำหนักเด็ดขาด”
ยามเฝ้าประตูพูดขึ้นด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ แต่เมื่อเหลือบเห็นแท่งเงินรองค้ำที่อยู่ในมือของเฟิงอู๋โยวก็ตกใจจนสำลักน้ำลายตัวเองไม่หยุด
ว่ากันว่า ป่าใหญ่มักมีนกนานาพันธุ์ โลกของเราก็เช่นกัน เต็มไปด้วยผู้คนมากมายหลายแบบ
แต่คนที่ถือแท่งเงินรองค้ำแกว่งไปมาต่อหน้าผู้คนเช่นนี้ นอกจากเฟิงอู๋โยวแล้วคงไม่มีผู้ใดในใต้หล้ากล้าทำแน่นอน
เฟิงอู๋โยวตะโกนเรียกอยู่นาน เมื่อเห็นว่าไม่มีใครยอมเปิดประตูให้ก็ยกเท้าถีบบานประตูตำหนักทันที “เจ้ากล้าลักพาตัวผู้หญิง แต่ทำไม่กล้าโผล่หน้ามาเปิดประตู”
ภายในเรือนมั่วหรัน จวินมั่วหรันที่ได้ยินแว่วเสียงของเฟิงอู๋โยวลอยมาจากหน้าประตูตำหนักก็ผุดยิ้มมุมปากขึ้น
สงสัยเจ้าหมอนี่กินหัวใจหมี ดีเสือเข้าไปกระมัง ไม่เช่นนั้นจะเอาความกล้ามาจากไหน ซ้ำยังเสียงดังแปดหลอดอีก
“เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”
เฟิงอู๋โยวถีบประตูอีกครั้งก่อนตะโกนขึ้นอย่างหัวเสีย “เจ้ากล้าลักพาตัวผู้หญิง แต่ไม่กล้าโผล่หน้ามาเปิดประตูสินะ!”
เวลาผ่านไปราวหนึ่งถ้วยชา ในที่สุดเฟิงอู๋โยวก็หมดความอดทน นางปีนกำแพงหมายเข้าไปด้านในตำหนัก แต่ทันใดนั้น ยามเฝ้าประตูก็ค่อยๆ เปิดประตูออกมา ก่อนเผยมือ ‘เชิญ’ อย่างเคารพเกรงใจ
เฟิงอู๋โยวเดินปั้นหน้าเย็นชาเข้ามาหยุดอยู่ด้านหน้าจวินมั่วหรัน
“เซ่อเจิ้งหวาง ข้าไปทำให้เจ้าไม่พอใจอีกตอนไหน”
จวินมั่วหรันที่นั่งลงหน้าโต๊ะอาหารค่อยๆ เงยหน้ามองนาง สายตาคมกริบดุจมีดเหลือบไปเห็นแท่งเงินรองค้ำแวววาวในมือของนาง
“แค่กๆ”
เห็นแวบเดียว ใบหน้าเยือกเย็นของจวินมั่วหรันก็ฉายแววตกตะลึงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
เขาสำลักน้ำลายตัวเอง สายตาจ้องมองเฟิงอู๋โยวอย่างแปลกใจ ภายในใจพลางคิดว่าทำไมเจ้าหมอนี่ช่างพิเศษยิ่งนัก
ทุกครั้งที่ปรากฏตัวขึ้นมา มักจะนำเรื่องแปลกใจเหนือความคาดหมายมาให้เขาเสมอ
แม้เขาไม่เคยใช้แท่งเงินรองค้ำมาก่อน แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่รู้ว่ามันใช้ทำอะไร
ก่อนหน้านี้หกปีก่อน จุยเฟิงแอบมอบแท่งรองค้ำที่ทำจากหยกชั้นดีให้เขาหนึ่งด้าม ซ้ำยังร่ายวิธีใช้มาอย่างละเอียด
เฟิงอู๋โยวเดินเข้ามาใกล้อย่างไม่รู้เรื่องอะไร ก่อนนั่งลงบนเก้าอี้ข้างๆ จวินมั่วหรัน จากนั้นก็จุ่มแท่งเงินรองค้ำลงไปในตุ๋นกระดูกไก่ดำที่เดือดปุดๆ เคล้ากลิ่นหอมชวนกิน
“…”
จวินมั่วหรันมุมปากเกร็งกระตุก สายตากะพริบมองตุ๋นกระดูกไก่ดำด้านหน้า ความอยากอาหารสลายหายไปอย่างสิ้นเชิง
“เซ่อเจิ้งหวาง ท่านอย่าได้กลั่นแกล้งกันเกินไป ทำไมต้องจับชิงหลวนผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องมาด้วย เจ้าเด็กนั่นเป็นคนขี้ขลาด ตกใจนิดน้อยก็ร้องไห้ ขืนทำให้กลัว เกรงว่าคงร้องไห้เจ็ดวันเจ็ดคืนติดต่อกันเป็นแน่”
เฟิงอู๋โยวใช้แท่งเงินรองค้ำตักน้ำแกงขึ้นมาซดเล็กนน้อย ไม่วายยังเอ่ยปากชม “น้ำแกงหอมกลิ่นไก่และสมุนไพร น้ำมันก็น้อย ปรุงได้ไม่เลวเลย”
จวินมั่วหรันอมยิ้ม ดวงตาเล็กเรียวยิ้มกระหยิ่ม น้ำเสียงแหบเสน่ห์ชวนลุ่มหลงอัดแน่นไปด้วยเจตจำนงของผู้บุกเบิก ใครได้ยินล้วนต้องก้มหัวให้
“ยิ้มอะไร อย่าคิดว่ายิ้มหล่อน่าชมแล้วทำเฉไฉไม่ส่งคนคืนได้!”
เฟิงอู๋โยวซดน้ำแกงไปอีกหลายคำ ก่อนพูดอย่างจริงจัง “รีบๆ ส่งตัวชิงหลวนมาได้แล้ว”
“นางกลับไปเองแล้ว”
จวินมั่วหรันตอบกลับเสียงขรึม ดวงตาพราวเสน่ห์คู่นั้นมองเฟิงอู๋โยวอย่างสนใจ
“ท่านใต้เท้าขอรับ วันนี้มีสาส์นกล่าวโทษมาถึงท่านใต้เท้าอีกสิบเจ็ดฉบับ โปรดตรวจดูด้วยขอรับ”
เถี่ยโส่วหอบม้วนกระดาษเข้ามาหาจวินมั่วหรันอย่างลนลาน
ลมหายใจของเขายังไม่ทันปรับมาเป็นปกติก็เหลือบเห็นแท่งเงินรองค้ำในมือของเฟิงอู๋โยวที่กำลังถูกใช้ตักน้ำแกงขึ้นมาซดดื่ม
“แม่ทัพเฟิงจะใช้แท่งเงินรองค้ำแบบนี้ไม่ได้นะ”
เถี่ยโส่วมองแท่งเงินรองค้ำที่สลักลวดลายมังกรอย่างวิจิตรพร้อมกับพูดเสริม “เจ้าสิ่งนี้เป็นเครื่องมือสำหรับช่วยให้ผู้ชายอย่างเราๆ ระบายกำหนัดและบรรลุจุดสุดยอดตอนร่วมเพศ แล้วเจ้าเอามาใช้ตักแกงได้เยี่ยงไร”
“หะ?”
เฟิงอู๋โยวได้ยินเช่นนั้นเฟิงอู๋โยวก็เกือบจะสำลักน้ำแกงตาย
นางนิ่งค้างอยู่กับที่ ผ่านไปสักพักใหญ่ถึงจะตระหนักได้ว่าตัวเองทำเรื่องโง่เง่าที่สุดในชีวิตก็ว่าได้
“เถี่ยโส่ว เจ้า เจ้าแน่ใจ?” เฟิงอู๋โยวทำหน้าเหมือนอยากร้องไห้ นางอายจนแทบจะเอาหน้าแทรกแผ่นดินหนี
เถี่ยโส่วพยักหน้าอย่างหนักแน่น “แน่ใจเสียยิ่งกว่าแน่ใจ บอกตามตรง ข้าเคยใช้มันมาก่อน”
[1] แท่งเงินรองค้ำ (องคชาต) คือสิ่งประดิษฐ์ของคนจีนในสมัยโบราณ มีลักษณะเป็นแท่งเงินรูปตัว L ผิวหน้าโค้งเว้ารองรับใต้แท่งองคชาตเพื่อค้ำให้อยู่ตัว เป็นอุปกรณ์ช่วยผู้ชายที่มีปัญหาอวัยวะสืบพันธุ์แข็งตัวไม่เต็มที่ให้สามารถดำเนินกิจกรรมทางเพศให้สำเร็จลุล่วง