ตอนที่ 162 เซ่อเจิ้งหวางอยากถูกกอดแน่นๆ
ฉู่อีอีถูกเฟิงอู๋โยวรบกวนสมาธิเป็นอย่างมาก สติของนางแตกกระเจิง แล้วอยู่ๆ ก็ลืมจังหวะเป่าขลุ่ยควบคุมหนอนพิษไปฉับพลันพร้อมกับถูกเสียงร้องเพลงของเฟิงอู๋โยวกล่อมประสาท
นางรู้ดีว่าหากคราวนี้นางไม่สามารถย้ายหนอนพิษนางพญาไปอยู่บนตัวของจวินมั่วหรันได้ จุดจบเดียวที่รอนางอยู่คือความตาย
เพราะไป๋หลี่เหอเจ๋อไม่เคยใจอ่อนกับคนที่ทำงานล้มเหลว
เมื่อนึกถึงสิ่งที่รอตัวเองอยู่ ฉู่อีอีก็ค่อยๆ วางขลุ่ยลง แล้วเหยียบซากหนอนพิษจนส่งเสียงแจะๆ เดินเข้าหาจวินมั่วหรันทีละก้าว
“ท่านใต้เท้า โปรดเชื่ออีอี ขอแค่ท่านหลับนอนกับหม่อมฉันเพียงหนึ่งน้ำ อีอีจะมอบหนอนพิษนางพญาให้ท่านด้วยความเต็มใจ”
เฟิงอู๋โยวกางแขนออกและยืนขวางอยู่ต่อหน้าจวินมั่วหรัน จากนั้นก็พูดขึ้นอย่างขุ่นเคือง “ท่านใต้เท้าอย่าเชื่อคำพูดไร้สาระของนาง หากท่านหลับนอนกับนาง หนอนพิษนางพญาจะถูกฝังลงไปในร่างกายของท่าน จนถึงตอนนั้น บุรุษผู้หล่อเหลาสูงส่งอย่างท่านจะกลายเป็นหุ่นเชิดของคนอื่นเท่านั้น”
จวินมั่วหรันรู้ว่าแตะต้องตัวฉู่อีอีไม่ได้และเขาก็ไม่มีความคิดเช่นนั้นตั้งแต่แรก
แต่สิ่งที่น่ารำคาญก็คือเขาไม่สามารถฆ่าฉู่อีอี มิฉะนั้นหนอนพิษนางพญาในร่างกายนางก็จะตายไปด้วย จากนั้นตัวอ่อนหนอนพิษในร่างกายของจี้มั่วอิ้นเหรินก็จะควบคุมไม่ได้จนกัดกินร่างกายจากภายใน
ฟิ้ว!
ฟุบๆๆ
ทันใดนั้น ลูกธนูเพลิงก็พุ่งยิงแหวกอากาศมาอย่างติดๆ กัน พร้อมกับจิตสังหารที่รุนแรง
เฟิงอู๋โยวหันกลับไปมองอย่างประหลาดใจ เห็นชายในชุดขาวยืนอยู่อย่างมั่นคงที่เชิงเขา ด้านหลังเป็นกองเพลิงที่ลุกโหมอย่างเด่นชัด
ท่านใต้เท้าไปเผาหลุมฝังศพบรรพบุรุษของไป๋หลี่เหอเจ๋อ มาหรือกระไร” เฟิงอู๋โยวไม่เข้าใจจริงๆ ว่าทำไมไป๋หลี่เหอเจ๋อถึงเล่นงานจวินมั่วหรัน ถึงขนาดนี้
จวินมั่วหรันสังเกตเห็นเงาร่างในชุดขาวที่เชิงเขาเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาคิดว่าไป๋หลี่เหอเจ๋อจะไม่ปรากฏตัวออกมาง่ายๆ จนกว่าทุกอย่างจะเตรียมพร้อม
ไม่คิดไม่ฝันว่าเขาจะใจร้อนโผล่มาเร็วขนาดนี้
“เฟิงอู๋โยว กอดข้าไว้”
อันที่จริงเขารู้ว่าองครักษ์เงาได้ซ่อนตัวอยู่ในความมืดตั้งแต่แรกแล้ว เพียงแต่จวินมั่วหรันแค่ต้องการเห็นความแข็งแกร่งของคู่ต่อสู้เท่านั้น
แต่การปรากฏตัวอย่างกะทันหันของเฟิงอู๋โยวทำให้เขาต้องระวังมากขึ้น
เพราะคมดาบของศัตรูไม่เคยปราณีใคร
ที่สำคัญที่สุดคือ เฟิงอู๋โยวไม่มีพลังภายในเลย แม้นางสามารถต่อสู้ในระยะประชิดได้ดี แต่เมื่อต้องเผชิญหน้ากับห่าฝนลูกธนูเพลิงเต็มท้องฟ้าแบบนี้ จึงกลายเป็นฝ่ายเสียเปรียบในทันที
ฉู่อีอีมองไปที่มือธนูที่รวมตัวกันที่เชิงเขาอย่างตกใจ แสงจากเปลวไฟทำให้นางตัวสั่น
ไป๋หลี่เหอเจ๋อต้องรู้แล้วว่านางพลาดอีกครั้ง ดังนั้นเขาจึงวางแผนที่จะฆ่านางไปด้วย
เมื่อคิดได้เช่นนี้ ขาของฉู่อีอีก็สั่นสะท้านไปด้วยความกลัว นางใช้ขลุ่ยในมือปัดป้องลูกธนูเพลิงที่พุ่งโจมตีอย่างไม่เลือกหน้า ขณะที่กระเสือกกระสนเข้าหาจวินมั่วหรันอยู่นั้น ก็ได้ตะโกนพูดไปพลาง “ท่านใต้เท้า ถ้าหม่อมฉันตาย สถานการณ์ของท่านจะเลวร้ายลงกว่าเดิมแน่นอน จนถึงตอนนั้น ฮ่องเต้น้อยจะตกอยู่ในอันตรายขั้นวิกฤต แม้ว่าท่านจะไม่ถูกสำเร็จโทษ แต่ท่านจะถูกกล่าวหาว่าไร้พลังปกป้องฮ่องเต้น้อยไปตลอดกาล”
เฟิงอู๋โยวขมวดคิ้วแน่น นางรู้ด้วยว่าความตายของฉู่อีอีจะทำให้จวินมั่วหรันประสบปัญหาตามมาอีกมากมาย
หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เฟิงอู๋โยวก็พูดขึ้นอย่างใจเย็น “ท่านใต้เท้า ปกป้องนางก่อน ข้ายังมีฝีมือมากพอ ดังนั้นข้าไม่เป็นอันตรายแน่นอน”
“หุบปาก แล้วกอดข้าไว้แน่นๆ”
“…”
เมื่อเห็นว่าจวินมั่วหรันไม่ใส่ใจคำพูดของฉู่อีอี เฟิงอู๋โยวก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องเชื่อฟังเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาอื่น
อยู่ๆ นางก็นึกเสียใจขึ้นมาเล็กน้อย หากนางรู้ตั้งแต่แรกว่าตัวเองช่วยอะไรเขาไม่ได้ นางจะไม่ผลีผลามตามมาอย่างเด็ดขาด
ไม่เช่นนั้นสถานการณ์คงไม่เป็นแบบนี้ ตอนนี้ลูกธนูเพลิงนับพันพุ่งตรงมาจากเชิงเขา แม้ว่าจวินมั่วหรันจะแข็งแกร่งแค่ไหน แต่ตอนนี้เขาไม่มีทางต้านทานการโจมตีของอักฝ่ายได้
โชคดีที่ซือมิ่งที่ซ่อนตัวอยู่ในความมืดได้นำทหารรักษาการณ์ที่ตำหนักเข้ามาสมทบได้ทันท่วงที
เมื่อเห็นสิ่งนี้ ไป๋หลี่เหอเจ๋อก็ชักคันธนูของเขาออกมาง้างระดมยิงธนูใส่จวินมั่วหรันหลายดอกติดต่อกันอย่างไม่เว้นช่องไฟ
ลูกธนูแต่ละดอกอัดแน่นไปด้วยพลังภายในอันรุนแรงและจิตสังหารอันท่วมท้น
ฉู่อีอี ที่พยายามหลบลูกธนูอยู่ข้างหลังจวินมั่วหรันกลัวว่าจวินมั่วหรันจะถูกยิง ทันใดนั้น ในช่วงหน้าสิ่วหน้าขวาน นางจึงรีบพุ่งอ้อมตัวไปข้างหน้าและกระชากเฟิงอู๋โยวออกจากอ้อมแขนของจวินมั่วหรันจนสำเร็จ
จวินมั่วหรันโกรธจัด เขาเตะฉู่อีอีเข้าไปที่ด้านข้างลำตัวจนกระเด็น แล้วรีบพุ่งเข้าไปหาเฟิงอู๋โยว
เขาถอดเสื้อคลุมบนไหล่ออกด้วยมือหนึ่งเดียวและตั้งใจใช้มันปัดป้องลูกธนูเพลิงด้านหน้าเฟิงอู๋โยว
ทว่าความเร็วของลูกธนูนั้นเร็วมาก มันพุ่งเข้ามาประชิดเฟิงอู๋โยวในพริบตา
เฟิงอู๋โยวเอี่ยวตัวหลบหลีกลูกธนูเพลิงหลายลูกไปอย่างคล่องแคล่ว แต่ต่อมาพบว่าตัวเองถูกต้อนมายังขอบหน้าผาสูงร้อยฟุต
ขณะที่กำลังคิดว่าตัวเองจนมุม จวินมั่วหรันก็ก้าวเข้ามายืนขวางข้างหน้านางเพื่อป้องกันนางจากลูกธนูเพลิงที่พุ่งเข้ามาอย่างโหมคลั่ง
ฉึก!
ฉึกๆๆ
ลูกธนูเพลิงยิงปักร่างของจวินมั่วหรันเจ็ดลูกติด เลือดสดค่อยๆ ไหลซึมอาบร่าง
“ท่านใต้เท้า…”
เมื่อเห็นจวินมั่วหรันล้มหงายหลัง เฟิงอู๋โยวก็รีบพุ่งเข้าไปสวมกอดเขาไว้ในอ้อมแขนทันที
“ปล่อย”
จวินมั่วหรันเงยหน้ามอง เฟิงอู๋โยวที่ตื่นตระหนกลนลาน มุมปากพลันผุดรอยยิ้มจางๆ ทันที
เจ้าหมอนี่เป็นห่วงข้าจริงๆ สินะ
“ท่านใต้เท้าห้ามเป็นอะไรไปนะขอรับ” เฟิงอู๋โยวมองลูกธนูที่ปักอยู่บนร่างของเขาอย่างเสียขวัญ
บนเชิงเขา ไป๋หลี่เหอเจ๋อหรี่ตาลงเล็กน้อย เขาไม่เห็นเฟิงอู๋โยวที่อยู่ด้านหลังจวินมั่วหรัน ดังนั้นจึงง้างธนูขึ้นอีกครั้งและเล็งไปที่ขั้วหัวใจของจวินมั่วหรัน
เมื่อเห็นเช่นนั้น เฟิงอู๋โยวรู้ทันทีว่าไม่มีทางเลือกแล้ว ดังนั้นนางจึงกัดฟันและกระโดดลงจากหน้าผาสูงร้อยฟุตพร้อมกับร่างจวินมั่วหรันทันที
เดิมทีจวินมั่วหรันคิดว่าเฟิงอู๋โยวคงทิ้งตัวเขาไว้แล้ววิ่งหนีไป แต่ไม่คิดไม่ฝันว่านางจะกระโดดลงจากหน้าผาสูงร้อยฟุตไปพร้อมกับเขาแบบนี้
เฟิงอู๋โยวกอดเอวอันกำยำแน่นด้วยมือข้างหนึ่ง ส่วนมืออีกข้างก็รีบปลดเข็มขัดและผูกเป็นห่วงอย่างรวดเร็ว ก่อนพยายามขว้างไปคล้องกับซากไม้ตามหน้าผา
จวินมั่วหรันเหลือบมองซากไม้บนหน้าผา มันไม่มีทางรับน้ำหนักของพวกเขาทั้งสองได้
อีกอย่าง ต่อให้เฟิงอู๋โยวจะคล้องตัวบนซากไม้ได้ พวกเขาก็ไม่มีทางรอดจนกระทั่งทหารกองหนุนตามมา
เมื่อคิดได้เช่นนี้ จวินมั่วหรันจึงยอมเสี่ยงใช้กำลังภายในในสภาพที่ตัวเองบาดเจ็บปางตายเพื่อปกป้องเฟิงอู๋โยวที่พยายามปีนหน้าผาอยู่ไม่หยุด
ปัง!
เสียงดังกึกก้องกัมปนาทดังขึ้นท่ามกลางหุบเขา
ฝุ่นควันคลุ้งตลบ และเมื่อลมจากด้านล่างของหุบเขาสงบลง กลิ่นเขียวต้นไม้ผสมกับกลิ่นดินเคล้าระคนกลิ่นคาวเลือดพลันโชยมาเตะจมูก
เมื่อเฟิงอู๋โยวลืมตาขึ้นอีกครั้ง เดิมทีนางคิดว่าตัวเองคงตาย (อีกครั้ง) ไปแล้ว แต่กลับพบว่านางถูกจวินมั่วหรันกอดไว้ในอ้อมแขน ไม่เพียงแต่นางจะร่างไม่เละจากการตกลงมาจากที่สูง แต่นางยังไม่ได้รับอันตรายแม้แต่น้อยอีกด้วย
ทว่าจวินมั่วหรันที่รองรับอยู่ด้านล่างนางกลับหมดสติเนื่องจากเสียเลือดไปเป็นจำนวนมาก
“ท่านใต้เท้า!”
เฟิงอู๋โยวนั่งลงข้างๆ ร่างอันแน่นิ่งของจวินมั่วหรัน นางเขย่าแขนของเขาเบาๆ “ห้ามหลับนะ ข้าจะพาท่านกลับตำหนักเอง”
“เงียบหน่อย ขอข้าหลับสักนิด”
บาดแผลหลายแห่งบนร่างกายของจวินมั่วหรันมีเลือดไหลออกมาไม่หยุด ผิวทั่วร่างกายของเขาซีดราวกับกระดาษ
เฟิงอู๋โยวแตะเลือดที่ไหลโชกออกมาบนร่างของเขาเบาๆ ฝ่ามือพลันผุดเหงื่อเย็นด้วยความตกใจกลัว “ท่านใต้เท้ายังมีเงินอีกมากมายที่ยังไม่ได้ใช้ ดังนั้นท่านใต้เท้าจะมาตายอยู่แบบนี้ไม่ได้”
“…”
เมื่อจวินมั่วหรันได้ยินเสียงของเฟิงอู๋โยว ก็แอบมีความสุขขึ้นในใจเพราะรู้ว่านางเป็นห่วงเขา
เพียงแต่ตอนนี้เขายกเปลือกตาไม่ขึ้นแล้ว ดังนั้นไม่ต้องหวังว่าเขาจะมีเรี่ยวแรงตอบกลับ ตอนนี้เรี่ยวแรงทั้งหมดค่อยๆ ไหลออกไปพร้อมกับเลือดที่ไหลไม่หยุด
เฟิงอู๋โยวขมวดคิ้ว หากนางลากเขากลับไปในสภาพแบบนี้ จวินมั่วหรันคงตายก่อนที่จะได้รับการช่วยเหลือ
ขณะที่กำลังสิ้นหวังอยู่นั้น นางไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากฉีกเสื้อผ้าที่เปื้อนเลือดของเขาออก จากนั้นก็ดึงลูกธนูที่ปักลึกตามร่างกายของเขาด้วยมือของนางเอง
“ท่านใต้เท้าอดทนหน่อย ถ้าเจ็บก็คำรามออกมาดังๆ”
เฟิงอู๋โยวใช้หลังมือเช็ดเม็ดเหงื่อที่ผุดขึ้นมาบนหน้าผากของเขาด้วยความรู้สึกปวดใจเป็นที่สุด
ทั้งที่ความสัมพันธ์ของพวกเขาเป็นเหมือนน้ำกับไฟที่เข้ากันไม่ได้
ไม่กี่วันก่อน นางยังอยากจะเอาชนะเขาอยู่เลย
แต่ในขณะนี้นางกลับหวังเพียงให้เขามีชีวิตรอดอย่างปลอดภัย
“ท่านใต้เท้า กระหม่อมจะไม่ยั่วโมโหท่านอีกแล้ว”
“ทั้งหมดเป็นความผิดของหระหม่อมเอง หากท่านชีวิตรอดกลับไปได้ กระหม่อมสัญญาว่าจะไม่พูดให้ร้ายท่านลับหลังอีกแล้ว”
มือทั้งสองข้างของเฟิงอู๋โยวกำอยู่บนลูกธนูที่แห่งทะลุหน้าอกจวินมั่วหรัน ภายในใจของนางหวาดกลัวอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
จวินมั่วหรันถูกยิ่งทั่วร่างกายก็เพราะตัวนาง ทำให้นางรู้สึกผิดเป็นที่สุด หากเขามีอันเป็นไปขึ้นมาจริงๆ เกรงว่านางคงไม่อาจใช้ชีวิตอยู่อย่างเป็นสุขได้อีกแล้ว