ตอนที่ 166 สงสัยอีกครั้ง
“ท่านใต้เท้า กระหม่อมขออภัยเป็นอย่างสูงที่มาช่วยเหลือช้าเกินไป!”
เสียงตะโกนของซือมิ่งทำเอาเฟิงอู๋โยวสะดุ้งทันที จากนั้นก็ผละริมฝีปากสีแดงของตัวเองออกจากริมฝีปากของจวินมั่วหรันที่นางกัดอย่างเขินอาย
จวินมั่วหรันชำเลืองมองซือมิ่งอย่างไม่พอใจ เพราะเข้ามาถึงในเวลาที่ไม่เหมาะสม เสียงปีศาจพลันตวาดลั่น “ออกไป”
“กระหม่อมสำนึกผิดแล้วขอรับ”
ซือมิ่งเหงื่อตก ก่อนหน้านี้เขาคิดว่าจวินมั่วหรันได้รับบาดเจ็บสาหัสปางตาย แต่ไม่นึกว่าจวินมั่วหรันที่รอดอยู่ที่ด้านล่างหุบเขาจะมีแรงทำอะไรลับๆ ล่อๆ กับเฟิงอู๋โยวอยู่แบบนี้
ด้านหลังของเขามีเหล่าทหารองครักษ์หลายร้อยคนกำลังชะเง้อมองจวินมั่วหรันที่เปลือยเปล่าด้วยความประหลาดใจ แสงคบเพลิงในมือของพวกเขาสว่างไสวฉายภาพเบื้องหน้าขึ้นมาอย่างเด่นชัด
“พระเจ้า! ดูเหมือนท่านใต้เท้าจะไม่ได้สวมเสื้อผ้า”
“สมแล้วที่แม่ทัพเฟิงเป็นแม่ทัพที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในกองทัพแห่งแค้วนเป่ยหลี ไม่นึกว่าจะสยบท่านใต้เท้าได้”
“พระเจ้า! ข้าอยากมีลูกกับแม่ทัพเฟิงจริงๆ สุดยอดจริงๆ พ่อเทพบุตรของข้า!”
…
เหล่าทหารองครักษ์ตกใจเป็นที่สุด พวกเขาต่างมองไปที่เฟิงอู๋โยวด้วยสายตาอันยกย่อง
เฟิงอู๋โยวกระแอมอย่างลำบากใจ “อย่าได้เข้าใจข้าผิด ท่านใต้เท้าถูกยิงด้วยธนูเจ็ดดอก และข้าก็ได้ทำการรักษาให้กับท่านใต้เท้าก็เท่านั้น”
ซือมิ่งจ้องที่ริมฝีปากที่ถูกกัดจนปริแตกของจวินมั่วหรันด้วยสับสนก่อนกระซิบถาม “ปากของท่านใต้เท้าถูกยิงด้วยลูกธนูด้วยหรือ”
“ไม่”
เฟิงอู๋โยวตอบอย่างเฉไฉ ก่อนนั่งยองๆ ลงข้างๆ จวินมั่วหรันและชี้ไปที่บาดแผลบนร่างกายของนิ้วเรียวยาวได้รูป นางพูดขึ้นอย่างตรงไปตรงมา “ท่านใต้เท้าเกือบจะไม่มีทายาทสืบสกุลเสียแล้ว แต่โชคดีที่ร่างกายท่านใต้เท้าฟื้นฟูสมรรถภาพความเป็นชายได้อย่างยอดเยี่ยม”
จวินมั่วหรันมุมปากเกร็งกระตุก จากนั้นก็ดึงเสื้อคลุมของเฟิงอู๋โยวมาคลุมร่างกายเอาไว้ ก่อนเปล่งเสียงเย็นชา “หุบปาก”
ทันทีที่เขาพูดเช่นนี้ เฟิงอู๋โยวก็รู้สึกทะแม่ง
น้ำเสียงแบบนี้ไม่เหมือนกับจวินหงหรันเลย แต่เหมือนกับจวินมั่วหรันผู้หยิ่งทระนงมากกว่า
เมื่อคิดขึ้นได้แบบนี้ นางก็โน้มตัวมาข้างหน้าเขา ยื่นมือไปเปิดเปลือกตาของเขา และเมื่อเห็นว่ารูม่านตาของเขาเปลี่ยนจากสีแดงเป็นสีดำสนิท นางตัวสั่นด้วยความโกรธขึ้นในบัดดล “จวินมั่วหรัน นี่เจ้ากำลังแกล้งทำเป็นจวินหงหรันอยู่อย่างนั้นหรือ!”
ทหารองครักษ์ที่อยู่ห่างออกไปไม่กี่เมตร ต่างอ้าปากค้างอย่างอึ้งตะลึงเมื่อได้ยินคำพูดนั้น
แม่ทัพเฟิงจากแคว้นเป่ยเหลีช่างกล้าดีจริงๆ!
ไม่เพียงแต่เขาจะกล้าเรียกชื่อเซ่อเจิ้งหวางห้วนๆ เท่านั้น แต่ยังขึ้นคร่อมขาของเซ่อเจิ้งหวางอย่างวางท่าเหนือกว่าอีกด้วย
ดวงตาสีดำสนิทของจวินมั่วหรันเป็นประกาย ท่าทางโมโหของเฟิงอู๋โยวน่ารักมากจนเขาอยากจะยั่วโมโหนางแบบนี้ไปตลอด
“เฟิงอู๋โยว เจ้าโง่เหมือนหมู เจ้าแยกแยะข้าไม่ออกเอง แล้วยังกล้ามาตะโกนใส่ข้าอีกอย่างนั้นหรือ”
“ไร้สาระ! ท่านใต้เท้าทำทีเป็นจวินหงหรันเพื่อลวนลามกระหม่อม! ยิ่งแก่ยิ่งทำตัวไม่น่านับถือ”
“อย่ามาพูดขำๆ อย่างข้า ถ้าอยากได้ใครก็ได้ทั้งนั้น” จวินมั่วหรันพูดขึ้นอย่างเย่อหยิ่ง
เมื่อได้ยินสิ่งที่จวินมั่วหรันพูดเฟิงอู๋โยวก็โกรธมาก “อยากได้ใครก็ไปหาคนนั้นสิ! เจินเจิน อ้ายอ้าย เหลียนเหลียน เฉียวเฉียว มีผู้หญิงให้เลือกมากมาย ก็ใช่สิ ท่านมันสง่างาม ท่านมันมีอำนาจ ไร้ผู้เทียบเทียม ข้าขออวยพรให้ท่านมีลูกเต็มบ้านหลายเต็มเมืองในเร็ววันแล้วกัน!”
“…”
นางพูดระรัวอย่างไม่มีช่องไฟจนจวินมั่วหรันไม่สามารถหาจังหวะแทรกเข้าไปได้
เจินเจิน อ้ายอ้าย เหลียนเหลียน? เห็นๆ อยู่ว่าเขาไม่รู้จักคนพวกนี้เลย
ซือมิ่งมองทั้งสองคนที่กำลังทะเลาะกันอยู่อย่างปวดขมับ จากนั้นก็พูดขึ้นในช่วงเวลาที่เหมาะสมพอดี “ท่านใต้เท้า แม่ทัพเฟิงไม่ควรอยู่ที่นี่นานกว่านี้นะขอรับ”
“อืม”
จวินมั่วหรันตอบเสียงขรึม ก่อนหันกลับมามองที่เฟิงอู๋โยว
เฟิงอู๋โยวสะบัดหน้าหนีก่อนบ่นอย่างไม่พอใจ “มองอะไร ร่างกายข้าเล็กบอบบางแบบนี้ อุ้มไม่ไหวหรอก”
ซือมิ่งเกือบลืมไปแล้วว่าจวินมั่วหรันได้รับบาดเจ็บหนัก จึงรีบเข้ามาอาสา “ท่านใต้เท้า เช่นนั้นให้กระหม่อมอุ้มท่านดีหรือไม่”
“ไม่ต้อง”
จวินมั่วหรันไม่เคยจินตนาการมาก่อนว่าตัวเองจะถูกซือมิ่งอุ้มไว้ในอ้อมแขน เขาพยายามยืนขึ้น แต่ทันทีที่เขาก้าวเท้า เลือดจำนวนมากก็ไหลซึมออกมาจากบาดแผล
เฟิงอู๋โยวปวดใจเป็นที่สุด นางอุตส่าห์พันแผลห้ามเลือดให้เขาตั้งนานแต่เขากลับไม่สนใจร่างกายตัวเองเลย
หายใจเข้าลึกๆ หนึ่งเฮือก นางรวบรวมกำลังทั้งหมดและอาศัยจังหวะช่วงที่เขาทรงตัวไม่อยู่เข้าไปช้อนอุ้มเขาเอาไว้ในอ้อมแขน
เมื่อเห็นเช่นนี้ เหล่าทหารองครักษ์ต่างมองหน้ากันด้วยความตกตะลึง
พกเขาตบหน้าตัวเองหลายครั้งเพราะคิดว่ากำลังฝันไป “ท่านใต้เท้าเป็นฝ่ายที่ต้องรับบทเป็นลูกสะใภ้อย่างนั้นหรือ”
จวินมั่วหรันรู้สึกอายและโกรธ และพยายามผลักเฟิงอู๋โยวออกไป
เฟิงอู๋โยวถอนหายใจอย่างจนปัญญา ก่อนพูดกับเขาอย่างอดทน “อยู่นิ่งๆ อย่าขยับ”
จวินมั่วหรันทำตัวไม่ถูก “เฟิงอู๋โยว รีบวางข้าลงเดี๋ยวนี้”
ความภาคภูมิใจในตัวเขาไม่อนุญาตให้เขาขดตัวอยู่ในอ้อมแขนของเฟิงอู๋โยวแบบนี้ แม้ว่าเขาจะชอบสัมผัสเรือนร่างของนางมากก็ตาม
“ท่านใต้เท้า หากยังพูดพล่ามและทะเลาะกันต่อไป กระหม่อมจะเผยแพร่กระบวนการรักษาท่านต่อสาธารณะ!”
“บังอาจ!”
เฟิงอู๋โยวพูดอย่างเย้ยหยัน “ท่านใต้เท้าชมกระหม่อมว่า ‘ช่างกล้าดี’ อยู่บ่อยครั้งไม่ใช่หรือ แล้วท่านคิดว่ากระหม่อมไม่กล้ากระนั้นหรือ”
จวินมั่วหรันพูดอะไรไม่ออก เขาไม่อยากให้ทุกคนรู้เกี่ยวกับร่างกายของเขาที่ถูกชายคนหนึ่งจ้องมองเป็นเวลาหลายชั่วยาม
เมื่อเห็นว่าชายร่างใหญ่ในอ้อมแขนนิ่งเงียบไป มุมปากของเฟิงอู๋โยวก็รั้งขึ้นเป็นเส้นโค้ง
จวินมั่วหรันหยุดแผงฤทธิ์และห่อตัวแน่นิ่งอยู่ในอ้อมแขนของนาง
ประมาณครึ่งชั่วยามต่อมา ซือหมิงก็พูดขึ้น “แม่ทัพเฟิง เจ้าเมื่อยหรือไม่ เปลี่ยนมาให้ข้าอุ้มแทนดีหรือไม่”
ตอนนั้นเองจวินมั่วหรันเริ่มตระหนักได้ว่าร่างกายเล็กๆ ของเฟิงอู๋โยวไม่อาจรับน้ำหนักของเขาได้เป็นเวลานาน เขาจึงห่อตัวให้กระชับลง
การห่อตัวโดยไม่ได้ตั้งใจนี้ ทำเอาจวินมั่วหรันรู้สึกสงสัยขึ้นมาทันที
เขาลืมตาโพลงและจ้องไปที่สาบเสื้อด้านหน้าของนาง