ตอนที่ 204 ดีใจแทนเซ่อเจิ้งหวาง / ตอนที่ 205 ชาวบ้านกระหายเลือด
ตอนที่ 204 ดีใจแทนเซ่อเจิ้งหวาง
ขณะที่เฟิงอู๋โยวกำลังจะกลับเข้าไปสอนจุยเฟิง ก็ได้ยินเสียงโหวกเหวกมาแต่ไกล
นางเขย่งเท้าชะเง้อดูอย่างอยากรู้อยากเห็น
เห็นเพียงฝูงคนที่กรูกันเข้ามาเป็นโขยง
“สวรรค์ไร้เนตร ชีพจรมังกรถูกทำลาย! โรคระบาดแพร่กระจาย ชีวิตชาวประชายากเข็ญ!”
“ด้วยคำแนะนำจากท่านราชครู เพียงสังเวยเครื่องบูชายัญแก่สรวงสวรรค์ด้วยเลือดเนื้อผู้ทำลายศาลาตี๋ซิง เทพเจ้าอาจให้อภัยอีกครั้ง!”
…
จุยเฟิงเห็นเช่นนั้นก็รีบดึงเฟิงอู๋โยวเข้าไปในตำหนักเซ่อเจิ้งหวาง “แม่ทัพเฟิงห้ามออกมาจากตำหนักเด็ดขาด”
สีหน้าของเขานิ่งขรึม สายตาชำเลืองมองไปยังชาวเมืองหลวงแห่งแคว้นตงหลินที่ในมือถือคบเพลิงกรูกันเข้ามา ก่อนหันกลับไปสั่งให้ทหารรักษาการณ์ตำหนักปิดประตูให้แน่นหนาทันที
เมื่อเห็นสิ่งนี้ เฟิงอู๋โยวก็โกรธมาก “ไป๋หลี่เหอเจ๋อไร้ยางอายจริงๆ! เขาต้องรู้แล้วแน่ๆ ว่าข้าหนีออกมาจากเรือนฟู่ได้แล้ว พอตกอยู่ในสภาพทำอะไรไม่ได้ก็คิดจะปลุกระดมชาวบ้านมาประณามข้าสินะ”
“แม่ทัพเฟิง ไม่ต้องกังวล เมื่อกลับมาจากว่าราชกิจ ท่านใต้เท้าจะจัดการเรื่องนี้อย่างแน่นอน”
ทั้งที่จุยเฟิงพูดขึ้นแบบนี้ แต่คิ้วของเขากลับขมวดเข้าหากันแน่น
ไป๋หลี่เหอเจ๋อคือว่าเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงในแคว้นตงหลินเช่นกัน และการที่จวินมั่วหรันเผาเรือนจื่อหยางของเขา จึงกระตุ้นให้ผู้คนในแคว้นตงหลินลุกขึ้นต่อต้าน
และโชคไม่ดีเอาเสียเลย หลังจากเหตุการณ์เรือนจื่อหยางถูกเผาได้ไม่นาน ได้เกิดโรคระบาดร้ายแรงเกิดขึ้นที่หมู่บ้านหลิวเจีย ในเขตชานเมืองของแคว้นตงหลิน
เมื่อเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น คนส่วนใหญ่จึงคิดว่าเป็นเพราะการวางเพลิงที่เรือนจื่อหยางของจวินมั่วหรันเป็นการทำลายจุดชีพจรมังกรของแคว้นตงหลิน จนทำให้เทพเจ้าจากทุกทิศทุกทางพิโรธและลงโทษให้เกิดโรคระบาดขึ้นในหมู่บ้านหลิวเจีย
เฟิงอู๋โยวตระหนักถึงความร้ายแรงของเรื่องนี้ จึงถามจุยเฟิงอย่างไม่สบายใจ “จะแก้ปัญหาโรคระบาดได้อย่างไร”
จุยเฟิงส่ายหัว “เรื่องนี้เป็นเรื่องด่วน ข้าก็เพิ่งได้รับรายงานหลังจากท่านใต้เท้ากลับมาจากการว่าราชกิจครั้งที่แล้ว อย่างไรก็ตาม การที่โรคระบาดในหมู่บ้านหลิวเจียสามารถลุกลามได้ในชั่วข้ามคืนเช่นนี้ ไม่มีทางเป็นภัยธรรมชาติ แต่ต้องเป็นฝีมือมนุษย์แน่นอน”
“ก็ถูกอย่างที่เจ้าพูดนั่นแหละ”
เฟิงอู๋โยวตอบด้วยแววตาอาฆาต
จวินมั่วหรันจุดไฟเผาเรือนจื่อหยางเพื่อนาง ทำให้นางค่อนข้างประทับใจกับเรื่องนี้
ดังนั้น นางไม่อยากเห็นจวินมั่วหรันถูกใส่ร้ายในสายตาชาวบ้าน
ในเวลานั้น ฝูงชนได้มาถึงประตูตำหนักเซ่อเจิ้งหวางแล้ว
“ท่านใต้เท้าถูกลูกไม้ของไส้ศึกจากแคว้นเป่ยหลีบดบังดวงตาแล้วกระนั้นหรือ”
“รบกวนท่านใต้เท้าโปรดมอบเฟิงอู๋โยวผู้ทำลายศาลาตี๋ซิงมาให้พวกเราด้วยเถิด ท่านราชครูบอกว่า เมื่อดาวหายนะถูกบูชายัญแก่สรวงสวรรค์ ท้องฟ้าจะกลับมาปลอดโปร่งอีกครั้งและโรคระบาดจะหายในไม่ช้า”
“ส่งตัวเฟิงอู๋โยวมาเดี๋ยว!”
…
ชาวเมืองที่รวมตัวกันบริเวณประตูตำหนักเซ่อเจิ้งหวางพากันชูคบเพลิง ชูแขนขึ้นและประณามเฟิงอู๋โยวด้วยคำพูดที่ชอบธรรม
อันที่จริง คนที่พวกเขาต้องการประณามคือจวินมั่วหรันมากกว่า
เพียงแต่พวกเขาไม่กล้าประณามที่หน้าประตูตำหนักเซ่อเจิ้งหวางแบบนี้ ดังนั้นพวกเขาจึงได้แต่มาลงที่เฟิงอู๋โยว
“แม่ทัพเฟิง ไม่ต้องกังวล มือสะอาดไม่จำเป็นต้องล้าง เมื่อท่านใต้เท้ากลับมา ท่านใต้เท้าจะจัดการเรื่องนี้อย่างแน่นอน” เมื่อเห็นเฟิงอู๋โยวขมวดคิ้ว จุยเฟิงก็ปลอบโยนด้วยความเคารพ
เฟิงอู๋โยวส่ายหัวของนางก่อนพูดขึ้น “ท่านใต้เท้าเป็นคนรวบรัดตัดตอน ไม่แน่เขาอาจจะจับพวกที่ต่อต้านที่อยู่นอกประตูเผาทิ้งเป็นเถ้าถ่าน ด้วยวิธีนี้ แม้สามารถแก้ปัญหาได้อย่างตรงไปตรงมา แต่ในภายภาคหน้า อำนาจของท่านใต้เท้าจะต้องสั่นคลอนอย่างแน่นอน”
จุยเฟิงมองเฟิงอู๋โยวด้วยความชื่นชมก่อนเอ่ยขึ้น “ข้าไม่เคยคิดเลยว่าแม่ทัพเฟิงจะเป็นห่วงท่านใต้เท้าขนาดนี้ ข้าดีใจแทนท่านใต้เท้าจริงๆ”
อั่ก!
“โทษที”
ในจังหวะที่จุยเฟิงไม่ทันตั้งตัวเฟิงอู๋โยวได้ฟาดมือข้างหนึ่งไปที่ท้ายทอยของจุยเฟิงทันที ทำให้จุยเฟิงหมดสติล้มลงที่พื้น
นางชำเลืองมองที่ประตูเซ่อเจิ้งหวางที่ปิดแน่น ก่อนหันกลับมาและกระโดดออกไปนอกกำแพงตำหนัก นางหนีออกจากตำหนักเซ่อเจิ้งหวางอย่างง่ายดาย ก่อนรีบมุ่งหน้าไปที่หมู่บ้านหลิวเจียที่ชานเมืองทันที
ตอนที่ 205 ชาวบ้านกระหายเลือด
ณ หมู่บ้านหลิวเจียในเขตชานเมืองแห่งแคว้นตงหลิน
ฝนราตรีตกพรำ น้ำค้างเย็นโปรยปราย
ดินแดนรกร้างแห่งนี้มีผู้คนอาศัยอยู่ไม่มากนัก
ในตอนนี้ ยามหยินเพิ่งสิ้นสุด ท้องฟ้ายังคงมืดสลัว ความมืดปานน้ำหมึกย้อมปกคลุมแสงดาว อึมครึม มืดทะมึน ไร้ชีวิตชีวา
ฟุบ!
เฟิงอู๋โยวกวาดตามองหมู่บ้านหลิวเจียที่รกร้าง จากนั้นก็กระโดดลงจากม้าทันที
จะว่าไปก็เป็นเรื่องบังเอิญ นางเพิ่งจะกระโดดข้ามกำแพงตำหนักเซ่อเจิ้งหวางก็บังเอิญเจอม้าพันธุ์ดีกำลังยืนเล็มกินหญ้าอยู่ข้างๆ ตำหนัก
ซึ่งมันก็คือทู่ทู่ ม้าพันธุ์ของกู่หนานเฟิงที่นางเผลอทำหายไปเมื่อเร็วๆ นี้
ทู่ทู่จำชีวิตตัวเองไม่ได้ และมองเฟิงอู๋วโยวเป็นเจ้านายด้วยความงุนงง ดังนั้นนางจึงขึ้นขี่และควบม้าไปทางหมู่บ้านหลิวเจีย
“ทู่ทู่ อย่าเข้าไปในหมู่บ้าน รอข้าอยู่ที่นี่แหละ”
เฟิงอู๋โยวลูบแผงคออันอ่อนนุ่มพลางกระซิบข้างหูของมัน
ราวกับทู่ทูฟังสิ่งที่เฟิงอู๋โยวพูดรู้เรื่อง มันเงยหน้าขึ้นและร้อง ‘ฮี่ๆ’ ราวกับตอบรับ
“เด็กดี เจ้าดูน่าเชื่อถือกว่ากู่หนานเฟิงเสียอีก”
เฟิงอู๋โยวยิ้ม ก่อนหันขวับกลับมาและมุ่งหน้าไปยังหมู่บ้านหมู่บ้านหลิวเจียในบัดดล
ในหมู่บ้านมีแสงไฟสว่างอยู่รำไร แต่งแต้มให้ท้องฟ้าที่มืดสลัวอยู่แล้วยิ่งดูน่าขนลุกไปใหญ่
มีเสียงหอนลากยาวของสุนัขดังสะท้อนอยู่อยู่ตามตรอกซอกซอยที่อ้างว้าง
ทันใดนั้น มีชายผู้น่าสะพรึงกลัวคนหนึ่งกระโดดออกมาจากซอยมืดมิดทางด้านซ้ายมือ มีเสียงหายใจดังฟืดฟาดในลำคอ แผงฟันชุ่มไปด้วยเลือดสด
“แฮ่กๆๆ!”
ชายคนนั้นเดินเข้ามาหาเฟิงอู๋โยว พลางอ้าปากง้างกรงเล็บ แม้ว่าปากกับลิ้นของเขาจะดูปกติดี แต่เขากลับไม่สามารถพูดสื่อสารได้เลย
ใบหน้าของเฟิงอู๋โยวไร้ร่องรอยความกลัว ดวงตาทรงดอกท้อของนางหรี่ลงมองดูใบหน้าซูบตอบและซีดเซียวของอีกฝ่ายอย่างพินิจ
เมื่อเห็นท่าทางที่เขาพยายามแลบลิ้นพูดแต่พูดออกมาไม่ได้ นางจึงถามเขาดังๆ “เจ้าต้องการฆ่าข้าหรือขอให้ข้าช่วยเจ้ากันแน่”
“เลือด ขอดื่มเลือดเจ้า!”
ชายคนนั้นแยกเขี้ยวที่ดูแหลมคมกว่าคนปกติออกมา ผิวซีดขาวที่เต็มไปด้วยรอยแผลแน่นขนัด ทำให้เขาแลดูน่ากลัวราวกับไม่ใช่มนุษย์อีกต่อไป
“วันนั้นของเดือนยังมาไม่ถึง แล้วข้าจะเอาเลือดจากไหนมาให้เจ้า!”
เฟิงอู๋โยวพูดติดตลก แต่การเคลื่อนไหวกลับว่องไว
นางยกแขนและฟาดเข้าที่ไปคอของชายคนนั้น
“เลือด ดื่มเลือด ช่วยด้วย…”
ดวงตาสีขาวของชายคนนั้นกลอกขึ้นด้านบน คอเอียง ก่อนสลบไป
จากนั้นเฟิงอู๋โยวก็ก้มลงจับชีพจรที่ข้อมือของชายคนนั้น โดยใช้ผ้าเช็ดหน้าผ้าคลุมก่อน
เวลานี้ เงาไหวๆ สีแดงๆ พลันปรากฏขึ้นด้านหน้าวิสัยทัศน์ของเฟิงอู๋โยว
ฟู่เย่เฉินไม่คิดไม่ฝันว่าจะได้พบกับเฟิงอู๋โยวในหมู่บ้านหลิวเจีย สีหน้าของเขาดูตกใจเล็กน้อย “เจ้ามาทำอะไรที่นี่”
เฟิงอู๋โยวรู้ดีว่าโรคระบาดที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันในหมู่บ้านหลิวเจียเกี่ยวข้องกับไป๋หลี่เหอเจ๋อ
อย่างไรก็ตาม นางไม่โกรธฟู่เย่เฉินเพราะเพียงเขาสนิทกับไป๋หลี่เหอเจ๋อ
หลังจากนั้นไม่นาน นางผ่อนลมหายใจลงและตอบด้วยน้ำเสียงที่เป็นกลาง “แน่นอนว่ามาเพื่อล้างมลทินให้กับตัวเอง”
เมื่อได้ยินคำพูดนั้น ฟู่เย่เฉินก็นั่งยองๆ ลงข้างๆ เฟิงอู๋โยวก่อนลดเสียงลง “นี่ไม่ใช่สถานที่ที่เจ้าควรมา ให้ข้าพาเจ้ากลับไปเถิด”
เขาไม่เข้าใจจริงๆ ว่าทำไมเฟิงอู๋โยวถึงกล้ามาเดินเที่ยวเตร่ในหมู่บ้านที่มีโรคระบาดเช่นนี้
“เกิดโรคระบาดกะทันหันในหมู่บ้านหลิวเจีย หมออัจฉริยะที่ช่วยชีวิตและรักษาผู้คนได้มากมายอย่างเจ้าไม่ควรมาอยู่ที่นี่”
ดวงตาทรงดอกท้อของเฟิงอู๋โยวเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว จริงอยู่ที่นางไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีในราชสำนักของแคว้นตงหลิน แต่การที่ฟู่เย่เฉินกับไป๋หลี่เหอเจ๋อวางแผนจะกำจัดจวินมั่วหรันโดยใช้โรคระบาดเป็นเครื่องมืออย่างไม่สนใจชีวิตมนุษย์แบบนี้ มันช่างเป็นเรื่องที่เลวร้ายอย่างมหันต์
“ท่านมือชันสูตรยังต้องการจับตายและนำตัวอย่างของชาวบ้านกลับไปวิเคราะห์ที่วังหลวงหรือไม่ขอรับ”
“ไม่จำเป็น”
ฟู่เย่เฉินพูดแทรกขัดจังหวะเจ้าหน้าที่จากศาลด้วยน้ำเสียงเย็นชา ดวงตาของเล็กเรียวผุดแววอ่อนโยนอันหาได้ยากออกมา “ชาวบ้านเกือบทั้งหมดในหมู่บ้านหลิวเจียติดเชื้อโรคระบาด ชีวิตมนุษย์ไม่ใช่เรื่องตลก ดังนั้นจงอย่าได้พูดราวกับผู้คนเป็นสิ่งของ”
“คนอย่างเจ้า รู้จักความหมายของประโยคที่ว่า ‘ชีวิตมนุษย์ไม่ใช่เรื่องตลก’ ด้วยหรือ”
เฟิงอู๋โยวถามฟู่เย่เฉินเสียงเย็นชาพร้อมแสดงสีหน้ารำคาญใจ “ข้ามาที่นี่เพื่อลบล้างมลทินของตัวเองและต้องการมาช่วยชีวิตพวกเขา ส่วนเจ้าล่ะฟู่เย่เฉิน เจ้าคงไม่คิดจะจัดการพวกเขาทิ้งเพื่อลบหลักฐานร่องรอยบางอย่างไปทั้งๆ ที่พวกเขายังมีชีวิตอยู่ ใช่หรือไม่”
ฟู่เย่เฉินไม่ขุ่นเคืองหรือรำคาญใจแม้แต่น้อย เขาแค่จับคางของเฟิงอู๋โยวเชิดขึ้น ส่วนมืออีกข้างถือพัดโบกไปมา “หากเจ้าไม่อยากไปก็ไม่เป็นไร แต่ไฉนต้องพูดจาเหมือนข้าเป็นคนแปลกเยี่ยงนี้”
“ขืนแตะต้องข้าอีกครั้ง เชื่อหรือไม่ว่าข้าสามารถฆ่าเจ้าทิ้งได้ทันที จากนั้นก็จะทรมานศพเจ้าซ้ำไปซ้ำมา”
เฟิงอู๋โยวปัดมือของฟู่เย่เฉินที่จับคางของตัวเองออกพร้อมกับถลึงตาใส่ฟู่เย่เฉินที่กำลังยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์อยู่
“เอาจริง?”
ดวงตาของฟู่เย่เฉินแวววาวขึ้นมาทันที จากนั้นก็ยื่นมือขนาดเท่าใบหน้าเฟิงอู๋โยวไปรับแก้มนางพลางเอ่ย “เจ้าคิดจะทรมานศพข้าด้วยวิธีไหน”
เขาคิดในใจ…หากนางลงมือทำแบบนั้นกับตัวเขาขึ้นมาจริงๆ คิดว่าตัวเขากลัวเสียที่ไหน
“หยุดพูดจาเหลวไหล ข้าไม่ได้หิวมากจนไม่เลือกหน้าขนาดนั้น!”
เมื่อตระหนักว่าฟู่เย่เฉินก็เป็นพวกหน้าด้านเช่นกัน เฟิงอู๋โยวจึงไม่อยากต่อความยาวสาวความยืดกับเขาอีกต่อไป ครั้นแล้วนางจึงลุกขึ้นและเดินเข้าไปในหมู่บ้านหลิวเจียโดยไม่หันกลับมามอง
“นายท่านต้องการฆ่าพวกที่เข้ามาก่อกวนหรือไม่ขอรับ” เมื่อเห็นว่าเฟิงอู๋โยวไม่เชื่อฟังฟู่เย่เฉิน ข้ารับใช้ก็ถามขึ้นด้วยเสียงทุ้มลึก
ฟู่เย่เฉินเหลือบมองข้ารับใช้อย่างเย็นชา และพูดอย่างเยือกเย็น “ห้ามแตะต้องเขาเด็ดขาด!”
“ขอรับ”
ข้ารับใช้ก้มหน้าลงอย่างสั่นเทา เขาไม่คิดว่าฟู่เย่เฉินที่ชอบการทรมานและเข่นฆ่า จะแสดงความเมตตากับเขาเป็นด้วย
เฟิงอู๋โยวเดินเข้ามาในหมู่บ้านอย่างรวดเร็ว เมื่อสลัดฟู่เย่เฉินหลุดก็หยุดและจ้องมองที่ผ้าเช็ดหน้าในมือของนาง
ชีพจรผู้ชายที่ติดโรคระบาดเมื่อครู่ มีอัตราการเต้นของหัวใจปกติ แต่การหายใจติดขัดเล็กน้อย จริงๆ แล้วเขาดูไม่เหมือนผู้ป่วยด้วยซ้ำ
มันไม่ใช่ทั้งโรคระบาดหรือโรคร้ายแรงเช่นวัณโรค เป็นไปได้หรือไม่ว่าโรคระบาดในหมู่บ้านหลิวเจียเกิดขึ้นจากเชื้อโรคฝีมือมนุษย์ที่ผลิตขึ้นมาจริงๆ
เมื่อคิดได้เช่นนี้ เฟิงอู๋โยวก็รู้สึกหวั่นใจขึ้นมา
ฟู่!
หอบลมเย็นพัดเข้ามาปะทะใบหน้าที่เคล้าไปด้วยกลิ่นคาวเลือดชวนคลื่นไส้
เฟิงอู๋โยวขมวดคิ้ว ปิดปากปิดจมูกแน่น สายตามองดูทุ่งสีดำที่ไม่มีที่สิ้นสุดเบื้องหน้านางอย่างใจเย็น
นางกลั้นหายใจ จ้องเขม็งไปที่ทุ่งแห้งแล้งด้านหน้า ความรู้สึกราวกับว่ามีสายตานับไม่ถ้วนจ้องมองมาที่นาง
“แฮ่กๆๆ”
ทันใดนั้น ชาวบ้านหลายสิบคนจากหมู่บ้านหลิวเจียก็ปรากฏตัวขึ้นตามแนวทุ่งหญ้า ใบหน้าซีดเซียว หูและจมูกเป็นแผลเหวอะแหว่ง ตามผิวหนังของพวกเขาก็เต็มไปด้วยรอยแผลน่ากลัว
ดวงตาของพวกเขาเหม่อลอย ท่วงท่าการเดินเตาะแตะบิดเบี้ยวคล้ายผีตามตำนานเรื่องเล่า
“เลือด ข้าต้องการดื่มเลือด”
และแล้วพวกเขาพุ่งเข้าหาเฟิงอู๋โยวทันที ราวกับซากศพที่เดินได้ก็ไม่ปาน