ตอนที่ 236 จี้หยกของหยุนเฟยไป๋
ยามราตรี เสียงไผ่เสียดสีดังระคนเข้ากับเสียงดนตรีจากเครื่องสาน มันสอดประสานเข้ากับเสียงสายลมราตรีอย่างลงตัว
สายตาเฟิงอู๋โยวในขณะนั้นจ้องมองไปท่ามกลางที่พำนักที่ยังคงจุดไฟสว่างอยู่หลังหนึ่ง กลางลานบ้านมีนางบำเรอผู้เลอโฉมดุจธิดาเซียนในชุดผ้าบางสีขาวพิสุทธิ์ ผมดำเงางามยาวสลวย ในมือทั้งสองข้างถือพัดปลายผ้าสีรุ้งสดใส
“เถาหง?”
นางจ้องไปที่เถาหงที่กำลังโบกสะบัดข้อมือวาดท่วงท่าขึ้นลงกลางลานบ้าน พลางถามฟู่เย่เฉินด้วยความสงสัยเล็กน้อย “เถาหงเป็นผู้หญิงที่หอนางโลมไม่ใช่หรือ”
“คำตอบคือใช่และไม่ใช่ หยุนเฟยไป๋จ่ายเงินเป็นจำนวนมหาศาลเพื่อซื้อตัวนาง และตอนนี้นางคือสนมเอกของรัชทายาทแห่งแคว้นหยุนฉินไปแล้ว”
เฟิงอู๋โยวเหลือบมองหยุนเฟยไป๋ที่กำลังนั่งดื่มอยู่ที่ลานบ้านพร้อมกับพึมพำเสียงแผ่ว “ดูจากรูปร่างหน้าตาของเขาแล้ว เขาไม่มีทางได้ใจผู้หญิงแน่นอน เพิ่งมาถึงแคว้นเพียงตงหลินไม่กี่วันแท้ๆ กลับได้นางสนมเอกจากแคว้นตงหลินไปแล้ว”
ฟู่เย่เฉินลดเสียงพูดอย่างเคร่งขรึม “หยุนเฟยไป๋ไม่ใช่คนไร้สมองและสมองของเขาก็ไม่ใช่แค่ก้อนไขมันเท่านั้น การที่เขามีเสน่ห์เกินต้านทานเช่นนี้ ส่วนหนึ่งมาจากมวลพลังแห่งราคะที่เกิดจากการฝึกฝนวิชานอกรีตมาหลายปี”
“มันเป็นวิชานอกรีตที่ต้องฝึกฝนกล้ามเนื้อหรรษามัดนั้นสินะ ดีไม่ดี หลังจากเขาสำเร็จวิชานี้แล้ว เขาอาจจะใช้กล้ามเนื้อเจ้าโลกทรงพลังนั่นถล่มกำแพงได้”
“เฟิงอู๋โยว นี่เจ้าเป็นผู้หญิงจริงๆ หรือเปล่า”
มุมปากฟู่เย่เฉินเกร็งกระตุก เขาไม่เข้าใจจริงๆ ว่าเฟิงอู๋โยวพูดคำพวกนี้ออกมาหน้าตาเฉยได้อย่างไร
เฟิงอู๋โยวยักไหล่อย่างไม่สนใจ “การทำตัวเป็นกุลสตรีมันสำคัญสำหรับเจ้ามากกระนั้นหรือ”
หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ดวงตาฟู่เย่เฉินก็ผุดแววยิ้มขึ้นเล็กน้อย “ก็จริง ความรักลึกซึ้งไม่เกี่ยวกับนิสัยหรือเพศสภาพ”
เฟิงอู๋โยว รู้สึกขนลุกไปทั้งตัวกับคำพูดของเขา
ทันใดนั้น ฟู่เย่เฉินก็สะกดแววขี้เล่นในดวงตาของเขาลง ก่อนพูดกับเฟิงอู๋โยวอย่างจริงจัง “อู๋โยว ข้าทำลายเรือนนางสนมนางบำเรอที่เรือนฟู่ของข้าทิ้งหมดแล้ว หากเจ้าต้องการ เจ้าสามารถแต่งเข้าเรือนข้าได้ทุกเมื่อ หลังจากนั้น ทุกอย่างในเรือนของข้าจะกลายเป็นของเจ้าแต่เพียงผู้เดียว”
เฟิงอู๋โยวปัดมือขัดจังหวะเขา “เอาเถิด! ข้าพอใจกับการแสร้งเป็นผู้ชายแบบนี้ ข้าไม่สนใจจะแต่งงานเข้าเรือนกับใครทั้งนั้น ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องร่วมเตียงหลับนอน”
“ถ้าเป็นจวินมั่วหรัน เจ้าจะปฏิเสธอย่างไม่ลังเลแบบข้าหรือไม่”
ฟู่เย่เฉินร้อนรุ่มใจขึ้น เขามักจะรู้สึกว่าตัวเองช้ากว่าจวินมั่วหรันอยู่หนึ่งก้าวเสมอ
เมื่อเขานึกถึงตอนที่ตัวเองตบหน้านาง ความเสียใจก็ผุดขึ้นมาอีกครั้ง
เฟิงอู๋โยวขมวดคิ้วเล็กน้อย แม้แต่ตัวนางเองก็ไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไร
นางแอบชอบจวินมั่วหรัน แม้ว่าเขาจะอารมณ์ร้ายและชอบแกล้งนางก็ตาม อีกทั้งทุกครั้งที่นางเจออันตราย เขาก็จะปรากฏตัวในเวลาที่เหมาะสมเสมอ
ทั้งปกป้องนางจากลูกธนู ทั้งพานางจุดไฟเผาเรือนจื่อหยาง ทำทุกอย่างเพื่อนางโดยไม่มีข้อแม้ แม้กระทั่งเผชิญหน้ากับเป่ยถางหลงถิงอยู่มีชื่อเสียงด้านการต่อสู้ เขาก็ไม่วายพร้อมยืนหยัดอยู่ข้างนาง
ฟู่เย่เฉินจ้องมองเฟิงอู๋โยวที่อยู่ใกล้แค่เอื้อมอย่างลึกซึ้ง
เห็นๆ อยู่ว่าเขาอยู่ห่างจากนางเพียงแค่นิดเดียว แต่กลับรู้สึกเหมือนถูกขวางกั้นด้วยโลกอีกใบ
ผ่านไปเป็นเวลานาน เฟิงอู๋โยวก็ยังให้คำตอบกับคำถามของฟู่เย่เฉินไม่ได้อยู่ดี
นางยกมือก่ายหน้าผากด้วยมือข้างหนึ่งและพูดขึ้นอย่างจนปัญญา “เมื่อคนๆ หนึ่งตกอยู่ในสถานการณ์เสี่ยงอันตรายถึงชีวิต ทุกย่างก้าวประหนึ่งย่ำเดินบนแผ่นน้ำแข็งบางๆ เจ้าคิดว่าข้าจะมีเวลามานั่งเพ้อฝันถึงชายรูปงามว่าจะรักข้าหรือไม่กระนั้นหรือ”
“บางทีมันอาจไม่ใช่เรื่องเพ้อฝันก็เป็นได้”
ฟู่เย่เฉินรู้จักจวินมั่วหรันพอสมควร
ในความเห็นของเขา ถ้าจวินมั่วหรันไม่สนใจคลั่งไคล้ในตัวเฟิงอู๋โยว เขาจะไม่มีวันประกาศสงครามเป่ยถางหลงถิงอย่างเปิดเผยโดยไม่คำนึงถึงผลที่ตามมา
“เจ้ารู้หรือไม่ว่า จวินมั่วหรันเสนอว่าจะแต่งตั้งเจ้าเป็นแม่ทัพแห่งกองกำลังพิทักษ์แคว้นโดยไม่คำนึงถึงการคัดค้านของขุนนางคนอื่นๆ”
“แม่ทัพแห่งกองกำลังพิทักษ์แคว้น?”
เฟิงอู๋โยวนิ่งอึ้ง การกระทำของจวินมั่วหรันหน้าเหลือเชื่อมากจริงๆ
นางไม่ได้เป็นคนจากแคว้นตงหลิน ไม่ได้มีส่วนร่วมใดๆ กับแคว้นตงหลิน แล้วจะให้นางรับตำแหน่งแม่ทัพแห่งกองกำลังพิทักษ์แคว้นตงหลินได้อย่างไร
ฟู่เย่เฉินพูดต่อ “จวินมั่วหรันร่างขอเสนอนี้ตลอดทั้งคืน โดยให้เหตุผลว่าคุณงามความดีของเจ้าในเหตุการณ์ช่วยเหลือผู้คนจากหมู่บ้านเจียหลิวเป็นการช่วยเหลือที่มีประสิทธิภาพและสามารถช่วยเหลือผู้คนไว้ได้มากมาย เป็นคุณงามความดีที่ประเมินค่าไม่ได้ นอกจากนี้ เดิมทีเจ้าก็เป็นแม่ทัพของแคว้นเป่ยหลีผู้ยิ่งใหญ่ ตอนนี้ได้หนีมาลี้ภัยที่แคว้นตงหลิน ดังนั้นก็ไม่ควรเก็บเจ้าไว้ดูต่างหน้าเฉยๆ ทั้งที่เจ้ามีโอกาสสร้างประโยชน์สูงสุดให้กับแคว้น”
“เขาพูดอย่างนั้นจริงหรือ”
แม้ว่านางจะไม่อยากพึ่งพาสถานะของจวินมั่วหรัน เพื่อให้ได้มาซึ่งตำแหน่งยศฐาในวังหลวงแห่งแคว้นตงหลิน
แต่ความตั้งใจของจวินมั่วหรันที่ทำเพื่อนางนั้น ทำเอานางประทับใจจนพูดอะไรไม่ออก
ฟู่เย่เฉินพยักหน้าเล็กน้อย “มันเป็นเรื่องจริง ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว เจ้าหวั่นไหวบ้างหรือไม่”
“ไฉนเจ้าเอาแต่ถามคำถามเดิมๆ อยู่แบบนี้ ข้าจะหวั่นไหวหรือไม่มันก็ไม่ใช่เรื่องของเจ้า ขืนเจ้าพูดมากไปมากกว่านี้ ประเดี๋ยวข้าจะจับเจ้าตัดลิ้นทิ้งเสียเลย”
“ข้าแค่อยากรู้จักเจ้ามากกว่านี้”
เฟิงอู๋โยวสงสัยเป็นที่สุด ทั้งที่เฟิงอู๋โยวเป็นคนอารมณ์ร้ายรับมือยาก ไฉนถึงกระโดดโลดเต้นอยู่ต่อหน้าจวินมั่วหรันได้นานขนาดนี้
แต่เวลาเฟิงอู๋โยวอยู่ต่อหน้าจวินมั่วหรัน นางก็มักจะลดทอนนิสัยเสียของตัวเองหลงเพื่อไม่ให้ตัวเองเป็นอันตราย
นอกจากนี้ เมื่อจวินมั่วหรันตกหลุมรักใครสักคน เขาก็จะเอ็นดูและทะนุถนอมคนนั้นอย่างไม่มีเงื่อนไข
“อู๋โยว แล้วเจ้าคิดเยี่ยงไรกับอาเจ๋อในฐานะคนคนหนึ่ง” เดิมทีฟู่เย่เฉินต้องการถามนางว่าระหว่างเขากับไป๋หลี่เหอเจ๋อแตกต่างกันอย่างไรในความคิดของนาง
แต่เมื่อคำพูดมาถึงปาก เขาก็ไม่กล้าถามออกไป เพราะกลัวว่านางจะปฏิเสธพวกเขาสองคนในคราวเดียว
อาจเป็นเพราะยืนอยู่นานเกินไป เฟิงอู๋โยวเริ่มรู้สึกตึงๆ และเจ็บแปลบๆ บริเวณท้องล่างเป็นระยะ
เพื่อบรรเทาความเจ็บปวด นางจึงต้องหมอบลงที่มุมชายคาบ้าน สายตาจ้องมองจี้แหวนหยกที่เอวของหยุนเฟยไป๋ ขณะเดียวกันก็ตอบคำถามไม่รู้จบของฟู่เย่เฉินอย่างลวกๆ “ตอนที่ไป๋หลี่เหอเจ๋อลงมือฆ่าฉู่สือซื่อ เขาก็ไม่คู่ควรกับการเป็นมนุษย์อีกต่อไป”
“อู๋โยว เจ้าเคยคิดหรือไม่ว่าผู้ที่สามารถชิงตำแหน่งในราชสำนักแห่งแคว้นตงหลินล้วนไร้ความเป็นมนุษย์บ้างไม่มากก็น้อย บางที บางทีวิธีการของจวินมั่วหรันก็ไม่ได้ต่างอะไรไปจากวิธีการของไป๋หลี่เหอเจ๋อ”
“เซ่อเจิ้งหวางเป็นคนเปิดเผยและเที่ยงธรรม เขาไม่มีวันฆ่าผู้หญิง เด็ก และผู้บริสุทธิ์อย่างที่ไป๋หลี่เหอเจ๋อทำ” เฟิงอู๋โยวโกรธมากเมื่อได้ยินฟู่เย่เฉินพูดถึงจวินมั่วหรันโดยพลการ
ฟู่เย่เฉินสัมผัสได้ถึงความโกรธของเฟิงอู๋โยว ทำให้รู้ว่าสถานะของจวินมั่วหรันในใจของนางพิเศษกว่าคนเล็กน้อย
แต่ในความเห็นของเขา ไป๋หลี่เหอเจ๋อกับจวินมั่วหรัน ไม่แตกต่างกันเลยแม้แต่น้อย และการที่เขาต้องมาทนเห็นเฟิงอู๋โยวพยายามปกป้องจวินมั่วหรันเพียงฝ่ายเดียวแบบนี้ ก็ทำให้เขารู้สึกหดหู่ลงเช่นกัน
หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็พูดอีกครั้ง “โลกนี้ยากเกินกว่าจะคาดเดา แต่ย่อมมีผู้ที่ยอมแบกภาระหนักอึ้งอยู่เสมอ แม้ว่าอาเจ๋อจะโหดร้ายกับคนอื่น แต่เขาเคยตั้งใจจะทำร้ายเจ้า หลังจากรู้ว่าเจ้าได้รับบาดเจ็บสาหัสจากเป่ยถางหลงถิง เขาก็ลากสังขารของตัวเองไปที่ฝ่ายบังคับบัญชาเมืองหลวงเพื่อขอให้ปิดกั้นเส้นทางของเป่ยถางหลงถิงทันที แต่น่าเสียดายที่จั๋วเซี่ยงอย่างอ๋าวเช่อก็เป็นคนที่รับมือยากอีกคน เขายืนหยัดปกป้องเป่ยถางหลงถิงและเป่ยถางหลีอิน ทำให้ถูกแทงหลายครั้งอย่างน่าอนาถ”
“เจ้าคิดว่าการกระทำประเภทตบหัวแล้วลูบหลังใช้ได้ผลกับคนอย่างข้ากระนั้นหรือ”
เฟิงอู๋โยวหมดความอดทนทันที นางถูกไป๋หลี่เหอเจ๋อย่ำยีร่างกายขนาดนั้น ฟู่เย่เฉินยังมีหน้ามาบอกว่าไป๋หลี่เหอเจ๋อไม่ได้ตั้งใจจะทำร้ายนางอีก
ดูเหมือนสุภาษิตที่ว่า ‘คนใกล้ชาดเปื้อนแดง คนใกล้หมึกเปรอะดำ’ จะเป็นจริง
เฟิงอู๋โยวมองเห็นการต่อสู้และความเจ็บปวดในดวงตาของเฟิงอู๋โยวได้อย่างชัดเจน เขาเพียงแค่ต้องการจะบอกความจริงกับนางว่าไป๋หลี่เหอเจ๋อไม่ได้แตะต้องนางอย่างที่ไป๋หลี่เหอเจ๋อเคยพูด แต่เขาบอกเรื่องพวกนี้กับนางไม่ได้
แม้ว่าเขาจะชอบนิสัยของเฟิงอู๋โยวมาก แต่เขานับถือไป๋หลี่เหอเจ๋อเหมือนญาติคนหนึ่งไปแล้ว
เคล้ง!
ในเวลาเดียวกัน ตรงลานที่พัก หยุนเฟยไป๋ในสภาพกึ่มสุราก็ลุกขึ้นพรวดและพุ่งเข้าไปอุ้มเถาหงทันที
จี้แหวนหยกพลันร่วงลงพื้นอย่างไม่ได้ตั้งใจ
ดวงตาทรงกลีบดอกท้อของเฟิงอู๋โยวหรี่ลง จี้แหวนหยกของหยุนเฟยไป๋วงนี้เกือบจะเหมือนกับจี้แหวนหยกที่จวินมั่วหรันมอบให้นางยิ่งนัก
นางจําได้ว่าจวินมั่วหรันบอกว่าจี้แหวนหยกในลักษณะนี้เป็นมรดกตกทอดของตระกูลจวินที่ไม่เคยส่งต่อให้คนนอกตระกูล
แล้วหยุนเฟยไป๋มีจี้แหวนหยกคล้ายๆ กันได้อย่างไร?
เห็นเฟิงอู๋โยวจ้องหยุนเฟยไป๋อย่างไม่ละสายตา ฟู่เย่เฉินจึงพูดขึ้นเสียงขรึม “อู๋โยว ทางที่ดีห้ามเอารูปลักษณ์อันหล่อเหลาของหยุนเฟยไป๋หลอกเป็นอันขาด เพราะคนอย่างเขาเป็นคนบ้ากระหายเลือดอย่างแท้จริง”
“หล่อ? สู้อาหวงไม่เห็นได้”
เฟิงอู๋โยวมองจี้แหวนหยกที่ตกบนพื้นอย่างพินิจ
เรื่องนี้ ห้ามตีหญ้าให้งูตื่น[1]เด็ดขาด
ยังไม่สายเกินไปที่จะกลับไปถามจวินมั่วหรัน แล้วค่อยวางแผนในระยะยาว
เมื่อคิดได้แบบนี้ นางจึงค่อยๆ ยืนขึ้น
เนื่องจากงานเลี้ยงบัณฑิตห้าแคว้นใกล้เข้ามาเต็มทน เมืองหลวงแคว้นตงหลินจึงคึกคักเป็นพิเศษ
ติดกับที่พำนักของหยุนเฟยไป๋ เป็นที่พำนักขององค์หญิงเย่เชี่ยวแห่งแคว้นซีเยว่
ขณะนี้เป็นเวลากลางดึก
แต่เย่เชี่ยวยังคงสวมชุดกระโปรงสุ่ม ฝึกซ้อมการเต้นรำอย่างหนัก
ฟู่เย่เฉินส่ายหัวอย่างเวทนา ก่อนพูดเสียดสีเย่เชี่ยวเสียงแผ่ว “อย่างนางเนี่ยนะจะเข้าร่วมสภาบุหงา”
“สภาบุหงา?”
“เจ้าไม่รู้เรื่องสภาบุหงาหรอกหรือ…สภาบุหงาเป็นการประกวดความงามที่มีชื่อเสียงที่สุดในแคว้นตงหลิน สาวงามที่ชนะจะมีโอกาสเลือกว่าที่สามีของตัวเอง ในเวลานั้น ผู้ชายที่ถูกสาวงามผู้ชนะเลือก จะต้องหมั้นหมายกับนาง ไม่ว่าจะชอบหรือไม่ชอบนางก็ตาม”
“มิน่าล่ะ!”
เฟิงอู๋โยวนึกขึ้นได้ในทันที ก็ว่าอยู่ว่าองค์หญิงที่ถนัดการใช้มีดใช้ปืนจะหันมาสนใจการร่ายรำได้อย่างไร
ที่แท้ก็ต้องการเป็นผู้ชนะในสภาบุหงา และแต่งงานเข้าตำหนักเซ่อเจิ้งหวางนี่เอง!
เฟิงอู๋โยวมองความคิดของเย่เชี่ยวที่มีต่อจวินมั่วหรันออกเช่นกัน เขาคิดว่าเฟิงอู๋โยวอาจมีแนวโน้มจะทำลายใบหน้าของเย่เชี่ยวหรือทำให้เขาพิการ
แต่ไม่คิดไม่ฝันว่าเฟิงอู๋โยวจะแค่เหลือบมอง ก่อนกระโดดไปตามหลังคาและมุ่งหน้าไปยังที่พำนักของเป่ยถางหลงถิง
“อู๋โยว เจ้าไม่กังวลว่าเย่เชี่ยวจะเป็นผู้ชนะและแต่งเข้าตำหนักเซ่อเจิ้งหวางกระนั้นหรือ”
“มีเรื่องอะไรต้องกังวล”
เฟิงอู๋โยวคิดในใจ คนอย่างจวินมั่วหรัน หากเขาไม่อยากแต่ง ต่อให้การร่ายรำของเย่เชี่ยวจะสวยงามดั่งนางฟ้านางสวรรค์แค่ไหน จวินมั่วหรันก็ไม่แต่งอยู่ดี
เมื่อคิดได้แบบนี้ นางจำเป็นต้องมาเสียเวลากับเรื่องพวกนี้ด้วยหรือ
[1] ตีหญ้าให้งูตื่น หมายถึงการกระทำอันโจ่งแจ้งเกินไป เป็นเหตุให้อีกฝ่ายรู้ตัวและหนีไปก่อนที่จะแก้ปัญหาได้