ตอนที่ 254 ถูกสาดโคลนใส่ / ตอนที่ 255 นางตั้งครรภ์
ตอนที่ 254 ถูกสาดโคลนใส่
ในเวลาเดียวกัน จวินมั่วหรันคว้าข้อมือของเฟิงอู๋โยวกลับและพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงใจ “เจ้าจงเชื่อใจข้า ตลอดเวลาที่ผ่านมา ข้ามองเป็นจวินฝูเป็นแต่น้องสาวเท่านั้น ข้าไม่ได้มีความสัมพันธ์หรือคิดอะไรกับนางเกินเลย”
จี้มั่วจื่อเฉินมองดูทั้งสองคนอย่างลำบากใจ ก่อนทนไม่ไหวตบโต๊ะยืนขึ้น “อาหรัน ขืนปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไป ชื่อเสียงของเจ้าคงได้เสื่อมเสียเพราะจวินฝูเป็นแน่ เดี๋ยวผู้คนเขาก็คิดว่าเจ้ากับน้องสาวแท้ๆ มีอะไรกันจริงๆ หรอก”
จวินมั่วหรันไม่สนใจเสียงวิพากษ์วิจารณ์อะไรทั้งนั้น
แต่ไม่สนใจ ไม่ได้หมายความว่าเขาจะยอมให้ใครมากล่าวหาหรือดูถูกได้
หากมองการณ์ไกลออก ถ้าเขากับเฟิงอู๋โยวมีลูกกันจริงๆ เขาไม่อยากให้เลือดเนื้อเชื้อไขของตัวเองต้องมาได้ยินข่าวลือเสียๆ หายๆ ที่ไม่ใช่ความจริงแบบนี้
เมื่อคิดได้เช่นกัน ดวงตาอันเฉียบคมของเขาก็จ้องมองไปที่จวินฝูที่อยู่บนเวที ก่อนถามขึ้นเสียงขรึม “ไหนพูดมาว่าเกิดอะไรขึ้น”
จวินฝูได้ยินที่จวินมั่วหรันพูดไม่ชัด นางได้แต่ชี้นิ้วและมองใบหน้าอันหล่อเหลาเกินต้านทานของจวินมั่วหรันอย่างใคร่อยาก “ท่านพี่ ฝูเอ๋อร์ชอบท่านพี่เหลือเกิน! ขอร้องล่ะ ช่วยฝูเอ๋อร์ด้วยนะเจ้าคะ”
สีหน้าของจี้มั่วจื่อหยวนเคร่งขรึมลง จากนั้นก็สั่งคนให้ไปตามเหล่าสตรีทั้งหมดที่เตรียมตัวอยู่ด้านหลังเวทีมาด้านหน้าเวทีทันที
“เป็นผู้ใดกันที่ริอ่านวางยาใส่แม่หญิงจวินฝู”
เนื่องจากเรื่องนี้ส่งผลเสียต่อชื่อเสียงของเซ่อเจิ้งหวาง ดังนั้นจี้มั่วจื่อหยวนจึงโมโหเป็นยิ่งนัก นางเปลี่ยนเป็นใช้น้ำเสียงเยือกเย็นถามเค้นบรรดาสตรีที่พากันตื่นตระหนกอยู่ด้านหน้าเวที
“เป็น…เป็นนางเจ้าค่ะ!”
ในตอนนั้น บรรดาสตรีส่วนใหญ่พากันชี้ไปที่เฟิงอู๋โยวในสภาพผ้าปิดหน้าที่นั่งอยู่ข้างๆ จวินมั่วหรัน
โดยเหตุผลของพวกนางล้วนคล้ายๆ กัน “ก่อนหน้านี้ไม่นาน แม่หญิงที่นั่งอยู่ข้างๆ เซ่อเจิ้งหวางได้มีปากเสียงกับแม่หญิงจวินฝู”
“ใช่เจ้าค่ะ! พวกเราล้วนเห็นเหตุการณ์!”
“จะต้องเป็นนางแน่ๆ เป็นเพราะความเกลียดชังยังไม่จางหาย เลยลงมือกับแม่หญิงจวินฝูเพื่อระบาย”
…
เป่ยถางหลีอินที่ยืนอยู่ท้ายแถว ได้ทีแอบมองเฟิงอู๋โยวที่นั่งอยู่ด้านล่างเวทีเพื่อรอดูปฏิกิริยาของนาง
ตอนนี้ ทุกคนล้วนชี้เป้ามาที่เฟิงอู๋โยว เป่ยถางหลีอินจึงอยากรู้แล้วว่าเฟิงอู๋โยวจะอธิบายให้จวินมั่วหรันฟังเยี่ยงไร
สีหน้าของเฟิงอู๋โยวเรียบนิ่งไม่สะท้าน สายตาของนางแค่ชำเลืองมองเป่ยถางหลีอิน “น่าเสียดายที่รอบนี้นางรอดตัวไป”
บนชั้นสองของโรงเตี๊ยมหลิงเทียน
ไป๋หลี่เหอเจ๋อที่นั่งอยู่ริมขอบหน้าต่าง จ้องมองจวินมั่วหรันที่ดูแน่นิ่งไม่สะทกสะท้านเช่นกัน
เขาอยากรู้เหมือนกันว่าจวินมั่วหรันจะเลือกอะไรระหว่างชื่อเสียงกับเฟิงอู๋โยว
ทว่าในตอนนี้ปั๋วเย่เฉินกลับผลีผลามเข้ามา
ดวงตาเล็กตี่กึ่งยิ้มของเขาเปี่ยมไปด้วยความโมโห
เป่ยถางหลีอินหันไปมอง ลูกกระเดือกกระเพื่อมเล็กน้อยเหมือนอยากจะพูดแต่พูดไม่ออก จึงทำได้แค่ยกถ้วยชาขึ้นมาจิบ
“อาเจ๋อ เจ้าปล่อยเฟิงอู๋โยวไปไม่ได้หรือกระไร”
“ขอแค่นางออกห่างจากจวินมั่วหรัน ข้าก็จะปล่อยไป”
“เห็นนางตกเป็นเป้าถูกสาดโคลนใส่แบบนี้ เจ้าไม่ปวดใจบ้างหรือไร”
ไป๋หลี่เหอเจ๋อถอนหายใจก่อนเอ่ยปาก “หัวใจของข้าตายด้านไปตั้งนานแล้ว”
“อาเจ๋อ เฟิงอู๋โยวไม่ได้ทำผิดอะไร นางไม่สมควรตกมาเป็นเครื่องสังเวยให้กับแผนการแก้แค้นของเจ้า!” ดวงตาของปั่วเย่เฉินสั่นไหว
“ข้าไม่เคยคิดจะใช้นางเป็นเครื่องสังเวย”
ไป๋หลี่เหอเจ๋อเคยไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วนมาแล้วก่อนหน้านี้ หากเฟิงอู๋โยวเปลี่ยนใจยอมรับและให้โอกาสเขา เขาก็พร้อมละทิ้งความแค้นทั้งหมดไว้เบื้องหลังและพานางหนีจากไปใช้ชีวิตอยู่ที่อื่น
แต่น่าเสียดาย ที่ทางที่นางเลือกไม่เป็นอย่างที่เขาคิด
ในเมื่อเฟิงอู๋โยวเลือกจวินมั่วหรัน นางจำเป็นต้องยอมรับกับผลที่ตามมาไปโดยปริยาย
ก่อนหน้านี้เขาพยายามใช้จี้มั่วจื่อหยวนเข้ามาเป็นหมากกวนใจเฟิงอู๋โยว
เดิมทีไป๋หลี่เหอเจ๋อคิดว่าหากปล่อยให้เฟิงอู๋โยวเห็นภาพจี้มั่วจื่อหยวนกับจวินมั่วหรันกอดกัน นางคงคิดได้และถอดใจไปเอง
แต่ไม่คิดไม่ฝันว่าแผนการของเขากลับยิ่งทำให้ความสัมพันธ์ของจวินมั่วหรันและเฟิงอู๋โยวสนิทใกล้ชิดกันยิ่งกว่าเดิม
ตอนที่ 255 นางตั้งครรภ์
ด้านนอกโรงเตี๊ยมหลิงเทียน เสียงวิจารณ์ว่ากล่าวยังคงดังขึ้นอยู่เป็นเนือง
บรรดาผู้คนบริเวณนั้นต่างพุ่งเป้าไปที่จวินมั่วหรัน จวินฝูและเฟิงอู๋โยว
พวกเขาต่างพากันต่อว่าจวินมั่วหรันว่าเป็นพวกโรคจิตวิปลาสที่ไม่เว้นแม้แต่น้องสาวตัวเอง
เฟิงอู๋โยวได้ยินเช่นนั้นจึงเดือดดาลเป็นที่สุด
วุฒิภาวะด้านอารมณ์ของจวินมั่วหรันยังคงอ่อนต่อโลกเหมือนผ้าขาว แล้วไฉนต้องมีเจอกับคำพูดเสียๆ หายๆ ที่สาดใส่ดั่งน้ำโสโครกเช่นนี้
นางลุกขึ้นพรวดและก้าวออกมาด้านหน้าจวินฝู ยื่นมือออกไปข้างหนึ่งและจับคางนางเชิดขึ้นมาก่อนพูดทีละคำ “ใครแตะถ้วยชาเจ้าบ้าง”
จวินฝูตกใจเล็กน้อย แม้ถูกเฟิงอู๋โยวจับบีบคางเชิดขึ้นมาแต่นางกลับไม่โมโหแต่อย่างใด ในทางตรงกันข้าม นางกลับกัดริมฝีปากของตัวเองก่อนเอ่ยขึ้นด้วยเสียงกระเส่า “ท่านพี่ ฝูเอ๋อร์ต้องการท่านพี่มากเหลือเกินเจ้าค่ะ”
“มีสติหน่อย! อย่าทำลายชื่อเสียงของเซ่อเจิ้งหวางไปมากกว่านี้ได้หรือไม่”
ไฟโทสะปะทุขึ้นในใจเฟิงอู๋โยว จึงเปลี่ยนจากจับคางมาเป็นบีบแก้มของจวินฝูแทน
นางรู้ดีว่าจวินฝูตกเป็นเหยื่อถูกเล่นงาน หากต้องโทษใครสักคน คงต้องโทษตัวนางที่ลงมืออย่างสะเพร่า จนเปิดโอกาสให้เป่ยถางหลีอินเอาคืน
แต่จะว่าไป จวินฝูก็ทำตัวหน้าไม่อายเกินไป
หากในยามปกติ หัวของนางไม่มีความคิดเรื่องอย่างว่ากับจวินมั่วหรันและทำตัวเป็นน้องสาวเหมือนคนทั่วไป ตอนนี้นางคงไม่มีครวญครางเรียกชื่อจวินมั่วหรันแบบนี้
ด้านล่างเวที ดวงตาของหยุนเฟยไป๋เจือแววหงุดหงิดขึ้นมาเล็กน้อย
หงุดหงิดจนเขาผลักเถาหงออกไป สีหน้ามืดมนลงเล็กน้อย คิ้วพลันขมวดเข้าหากัน ฉายแววเหี้ยมโหดออกมารำไร
แม้เขาไม่รู้สึกอะไรกับจวินฝู
แต่พอคิดว่าสตรีที่ตัวเองเคยแตะเป็นคนที่ไม่มีคุณสมบัติเข้าตาจวินมั่วหรัน ภายในใจก็รู้สึกไม่เป็นสุขขึ้นมาทันที
ทำเอาเขาตอนนี้อยากเดินขึ้นไปตบจวินฝูกลางเวทีให้ตายคามือ
จี้มั่วจื่อหยวนกุมขมับพลางหันไปถามจวินมั่วหรัน “อาหรัน ตอนนี้จะทำเยี่ยงไรดี น้องสาวของเจ้าคนนี้อาจทำให้ชื่อเสียงของเจ้าเสียหายได้”
จวินมั่วหรันยังคงนั่งอยู่ที่เดิมไม่ขยับ ดวงตาอันเฉียบคมดุจคมมีดของเขาเหลือบไปเห็นรอยเลือดที่ซึมออกมาจากตามชุดของจวินฝู ก่อนปริปากพูดด้วยเสียงเยือกเย็น “ตามแพทย์หลวงมา”
ในเวลาเดียวกัน เฟิงอู๋โยวก็สังเกตเห็นรอยเลือดที่ชุดกระโปรงของจวินฝูด้วยเช่นกัน
ทันใดนั้น นางก็นึกถึงตอนที่จวินฝูเดินกลับเรือนมาให้ท่าทางแปลกๆ ทันที…
หรือว่าคืนนั้นจวินฝูถูกใครบางคนกระทำมิดีมิร้ายจริงๆ
เมื่อแพทย์หลวงซูมาถึง ทุกคนก็พากันหลีกทางให้
แพทย์หลวงซูเหลือบมองรอยเลือดที่ชุดของจวินฝูแวบเดียว ยังไม่ทันจับชีพจรและเส้นลมปราณ เขาก็พอจะวินิจฉัยอาการของนางได้
เขาในตอนนี้รู้สึกนึกเสียใจขึ้นมาทันที
หากรู้ว่าตัวเองต้องเจอเรื่องแบบนี้ในคืนนี้ เขาจะไม่มีวันข้ามฝั่งแม่น้ำคูเมืองมาดูการแสดงของสภาบุหงานี้แน่นอน
แล้วตอนนี้เป็นเยี่ยงไร สายตาของทุกคนกำลังจ้องมองมาที่เขาเพื่อรอคำตอบอันกระอักกระอ่วนยากจะพูด
เขาไตร่ตรองอยู่สักพักใหญ่ๆ จนกระทั่งน้ำเสียงชั่วร้ายที่ใกล้จะหมดความอดทนของจวินมั่วหรันดังขึ้น “แพทย์หลวงซู เกิดอะไรขึ้น”
แพทย์หลวงซูปาดเหงื่อเย็นที่ซึมออกมาตามหน้าผาก ก่อนพูดขึ้นอย่างตะกุกตะกัก “คือว่า… ท่านหญิง…ท่านหญิงกำลังตั้งครรภ์ขอรับ”
เมื่อคำพูดเช่นนี้ของแพทย์หลวงซูเปล่งออกไป ผู้คนด้านล่างเวทีก็พากันแตกตื่นยิ่งกว่าเดิม
“ท่านหญิงจวินฝูยังไม่ได้แต่งงานเลยไม่ใช่หรือ ไฉนจึงตั้งครรภ์แล้ว!”
“หรือว่าเซ่อเจิ้งหวางขืนใจนาง ทำเรื่องอย่างว่า”
“มิน่าเซ่อเจิ้งหวางถึงทะนุถนอมท่านหญิงจวินฝูขนาดนี้ ที่แท้พวกเขาก็มีความสัมพันธ์แบบพี่น้องที่พิสดารแบบนี้นี่เอง!”
…
จี้มั่วจื่อหยวนรู้ดีว่าจวินมั่วหรันไม่ได้เป็นอย่างที่ผู้คนกล่าวหา ครั้นจึงตวาดใส่ผู้คนรอบๆ “ความจริงยังไม่ปรากฏ จงอย่าวิจารณ์ด้วยเจตนาร้ายเยี่ยงคนเขลา”
สิ้นสุดคำพูด นางก็หันมามองจวินมั่วหรันที่ยังคงนั่งแน่นิ่งไม่สะทกสะท้าน ก่อนถามเสียงแผ่ว “เซ่อเจิ้งหวาง เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ จำเป็นต้องมีการตรวจสอบ”
เฟิงอู๋โยวขมวดคิ้วแน่น เพราะกังวลว่าจะเกิดผลเสียต่อจวินมั่วหรัน
นางค่อนข้างมั่นใจว่าคืนที่จวินฝูงอนจนออกจากเรือนไปกลางดึกวันนั้นจะต้องพบเจอกับเรื่องเลวร้ายแน่นอน
เพียงแต่ตอนนี้ นางจะไปตามหาตัวต้นเหตุที่ทำเรื่องอย่างว่ากับจวินฝูได้ที่ไหน
ภายในสถานการณ์คับขัน นางจำใจต้องใช้วิชาสะกดจิตกับจวินฝู
เสี้ยวพริบตา ดวงตาของจวินฝูก็นิ่งงันและจ้องมองดวงตาอันเฉียบคมภายใต้ผ้าคลุมหน้าของเฟิงอู๋โยว
เฟิงอู๋โยวคว้าฆ้องที่อยู่ใกล้มือมาอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ตีฆ้องเสียงดังกังวานกลบเสียงผู้คนในที่แห่งนี้ให้อยู่ในภาวะสงบ
“เรื่องในวันนี้ที่เกิดขึ้นมันค่อนข้างน่าอาย ก่อนจะคิดไปเอง สู้ฟังจากปากของท่านหญิงจวินฝูไม่ดีกว่าหรือ”
นางพูดขึ้นเพื่อสยบความแตกตื่นของผู้คน สายตาพลันจ้องมองจวินฝูที่ทำตัวไม่ถูก “ท่านหญิง หม่อมฉันขอถามหน่อยว่าเซ่อเจิ้งหวางเคยล่วงเกินท่านหรือไม่”
จวินฝูส่ายหน้าพลางเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนระทวย “ไม่เคย”
“ท่านแน่ใจ?”
“แน่ใจ เพราะท่านพี่เย็นชากับฝูเอ๋อร์ยิ่งนัก ทั้งไม่แตะต้อง แม้แต่ทานข้าวเป็นเพื่อนฝูเอ๋อร์ ท่านพี่ยังลำบากใจ”
เมื่อแก้ไขปัญหาเรื่องชื่อเสียงของจวินมั่วหรันได้แล้ว ในที่สุดคิ้วของเฟิงอู๋โยวที่ขมวดอยู่ก็คลายออกจากกัน
ส่วนเรื่องพ่อของเด็กที่อยู่ในท้องของจวินฝูเป็นใคร เฟิงอู๋โยวไม่อยากเค้นถามจวินฝูต่อหน้าผู้คนแบบนี้
แต่ปัญหาก็คือ ถ้าไม่ถามเรื่องพ่อของเด็กที่อยู่ในท้องของจวินฝู ผู้คนจะยังคงสาดโคลนใส่จวินมั่วหรันอยู่ดี
หลังจากไตร่ตรองอยู่พักหนึ่ง เฟิงอู๋โยวก็นั่งยองๆ ลงด้านหน้าจวินฝูอีกครั้ง ก่อนถามเสียงแผ่วเบา “เจ้ารู้หรือไม่ว่าพ่อของเด็กในท้องเป็นใคร”
จวินฝูพยักหน้าหงึกหงัก ก่อนหันหน้าไปมองหยุนเฟยไป๋ที่นั่งอยู่หน้าเวที จากนั้นก็ปริปากเอ่ย “เป็นรัชทายาทแห่งแคว้นหยุนฉิน หยุนเฟยไป๋”
เฟิงอู๋โยวมองตามสายตาของเฟิงอู๋โยวไปอย่างสงสัยจนพบกับหยุนเฟยไป๋ที่นั่งอยู่ในสีหน้าอำมหิตที่เปี่ยมด้วยจิตสังหาร
นางไม่คิดไม่ฝันว่าหยุนเฟยไป๋จะเป็นบ้าคลั่งหัวรุนแรงได้ถึงขนาดนี้
ไม่ใช่แค่เฟิงอู๋โยวเท่านั้นที่คิดแบบนี้ แม้แต่ผู้คนในบริเวณนั้นก็ไม่คิดไม่ฝันว่าจวินฝูกับมีอะไรกับรัชทายาทแห่งแคว้นหยุนฉิน เรื่องใหญ่ราวกับท้องฟ้าถล่มดินทลายแบบนี้มันเกินจริงจนไม่อยากจะเชื่อเลยจริงๆ