ตอนที่ 263 มนตร์เสน่ห์ล้นหลาม
“รู้แล้ว”
เมื่อตกลงกันเสร็จ เฟิงอู๋โยวก็เดินกรีดกรายขึ้นไปบนเวทีท่ามกลางสายตาของผู้คนมากมาย
นางวางลงมือไพล่หลังอย่างแผ่วเบา คลี่ยิ้มสวยงามแช่มช้อย ต่อให้มีผ้าปิดหน้าก็ไม่อาจบดบังเสน่ห์ของนางได้
เฟิงอู๋โยวในเวลานี้ แม้ไม่ได้สวมใส่อาภรณ์วิจิตรหรูหรา แต่แววตาทรงอำนาจโดยกำเนิดของนางที่เปล่งประกายออกมาจากดวงตาทรงกลีบดอกท้อ กลับแฝงแววเพรชฆาตที่พร้อมสังหารใจชายโสดด้วยคมดาบแห่งความงาม
ในเวลาเดียวกัน จวินมั่วหรันลุกขึ้นและเดินไปหนยุดอยู่ด้านหน้าพิณกู่ฉิน[1]ลายบุหงา
เขานั่งตัวตรงลงด้านหน้าพิณกู่ฉินลายบุหงา นิ้วมือเรียวยาวดีดลงบนเครื่องสาย บังเกิดเสียงเครื่องสายในท่วงทำนองสะกดวิญญาณ
ห้วงอารมณ์สุนทรีของจวินมั่วหรันพลันจมดิ่งลงสู่ห้วงทำนองของบทเพลง ‘หงส์เกี้ยวหงส์[2]’ ที่กำลังบรรเลงด้วยพิณกู่ฉิน ใบหน้าท่าทางของเขาดูดื่มด่ำและปล่อยไหลไปกับกระแสอารมณ์
เฟิงอู๋โยวไม่คิดว่าจวินมั่วหรันจะเล่นพิณได้ นางมองจวินมั่วหรันที่ถกแขนเสื้อขึ้นและนั่งเล่นพิณกู่ฉินในท่วงท่าสง่างามรับกับใบหน้าหล่อเหลาด้วยสายตาตกตะลึง
แต่นางก็รีบตั้งสติกลับมาและเคลื่อนไหวร่างกายไปกับเสียงบทเพลงอันไพเราะ
ดวงตาทรงกลีบดอกท้อของเฟิงอู๋โยวหรี่ลงคล้ายจมลงสู่ห้วงอารมณ์สุนทรี ทำให้นางแลดูมีเสน่ห์น่าหลงใหลเป็นที่สุด
นางเริ่มปลดปิ่นปักผมออก ปล่อยให้เส้นผมดำแวววาวปลิวสยายไปด้านหลังพร้อมกับสายลม
ภายใต้แสงจันทร์นวลผ่องที่สอดแทรกด้วยแสงไฟแวววาว ท่วงท่าร่ายรำเคล้าเสียงดนตรีไพเราะเสนาะหู นางในตอนนี้ราวกับเป็นธิดาเซียนจากสรวงสวรรค์ลงมาจุติก็ไม่ปาน
จวินมั่วหรันมองนางอย่างไม่ละสายตาพลางคิดในใจ ขออย่าให้นางเผยผิวพรรณที่ขาวพิสุทธิ์ดุจหิมะไปมากกว่านี้เลย
จะปล่อยให้ดวงใจของเขาถูกคนอื่นจ้องมองแบบนี้ได้เยี่ยงไร
“เห้อ เป็นสตรีที่รับมือยากจริงๆ!” จวินมั่วหรันถอนหายใจ ทว่าดวงตากลับเปี่ยมไปด้วยความรักและเอ็นดู
ครั้นบทเพลงสิ้นสุดลง จวินมั่วหรันก็รีบลุกขึ้นและคว้าเฟิงอู๋โยวเข้ามาไว้ในอ้อมกอด จากนั้นก็ใช้ผ้าคลุมสีเข้มคลุมร่างกายนางไว้อย่างมิดชิดเหมือนเดิม
คนดูด้านล่างเวทีอึ้งอยู่นาน จนกระทั่งจวินมั่วหรันพานางลงจากเวที พวกเขาถึงพากันตั้งสติกลับมาได้
“เมื่อครู่มีนางฟ้าลงมาร่ายรำบนเวทีกระนั้นหรือ”
“นี่มันธิดาเซียนชัดๆ! นี่เป็นบุญตาของข้าชัดๆ!”
กระทั่งมีบางคนที่ตื้นตันใจจนน้ำตาไหล
แม้พวกเขาไม่เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของเฟิงอู๋โยว แต่กลับถูกมนตร์เสน่ห์ของนางที่ถ่ายทอดการท่วงท่าร่ายรำสะกดจนตราตรึง
เสียงปรบมือชื่นชมดังกระหึ่มราวกับฟ้าคำราม
หยุนเฟยไป๋ที่ยังคงนั่งหน้าบูดพลันนึกถึงคำพูดของเถาหง เขาเริ่มรู้สึกว่าหญิงสาวผ้าปิดหน้าที่อยู่กับจวินมั่วหรันคนนี้มีโอกาสเป็นเฟิงอู๋โยวค่อนข้างสูง
ความคิดสนุกพลันผุดขึ้นในหัวทันที ในเมื่อก่อนหน้านี้ถูกบังคับให้แต่งงานกับจวินฝู เช่นนั้นเขาจะแย่งหญิงสาวคนงามผู้ลึกลับคนนี้มาจากจวินมั่วหรันเพื่อเป็นการแก้แค้น
ผ่านไปสักพัก จี้มั่วจื่อเฉินก็กล่าวขอโทษเป่ยถางหลีอินที่ถูกเชิญขึ้นมาบนเวที “องค์หญิงหลีอิน ต้องขออภัยเป็นอย่างสูง จากผลการตัดสินรอบใหม่มีมติเป็นเอกฉันท์ว่าผู้ชนะในการแสดงของสภาบุหงาครั้งนี้ตกเป็นของแม่หญิงผ้าปิดหน้า”
เป่ยถางหลีอินกัดริมฝีปากแน่น นางโกรธจนเลือดขึ้นหน้า
ตอนที่นางได้ยินเสียงของจี้มั่วจื่อเฉิน ภายในใจของนางกลับเกิดความรู้สึกบางอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
มันเป็นเสียงที่แฝงไปด้วยความสะใจ เป็นเสียงที่ทำให้นางอับอายและทำให้นางรู้สึกเคียดแค้นเกลียดชังเฟิงอู๋โยวมากกว่าเดิม
เมื่อจี้มั่วจื่อเฉินเห็นไม่เป่ยถางหลีอินไม่โต้ตอบก็ขี้เกี้ยจคุยกับนางต่อ
เขาเดินมาด้านหน้าเฟิงอู๋โยวก่อนประกาศอย่างเสียงดังฟังชัด “ขอแสดงความยินดีกับผู้ชนะคนใหม่ด้วยขอรับ นอกจากจะมีสิทธิ์เลือกว่าที่คู่ครองแล้ว แม่หญิงยังมีสิทธิ์นำแสดงในงานเลี้ยงบัณฑิตห้าแคว้น ไม่ทราบว่าพอจะทราบชื่อแม่หญิงได้หรือไม่ หรือสามารถติดต่อแม่หญิงได้ทางไหนบ้าง”
เฟิงอู๋โยวตอบกับเสียงเรียบ “เดินไม่เปลี่ยนชื่อ นั่งไม่เปลี่ยนแซ่ เจ้าเรียกข้าว่า…เทียนป้า[3]ก็แล้วกัน”
มุมปากจี้มั่วจื่อเฉินเกร็งกระตุกทันที เขาไม่เคยได้ยินชื่อของสตรีที่ไหนที่…บ้าระห่ำเท่านี้มาก่อน!
“แม่หญิงเทียนป้า ไม่ทราบว่าข้าสามารถติดต่อแม่หญิงได้ทางไหนบ้าง”
เฟิงอู๋โยวตอบกลับทันที “หลังจากนี้ไม่ต้องติดต่อข้า ส่วนรางวัลชนะเลิศนำแสดงในงานเลี้ยงบัณฑิตห้าแคว้นในครั้งนี้ก็ให้คนอื่นไปแล้วกัน”
เมื่อจี้มั่วจื่อเฉินเห็นว่าเฟิงอู๋โยวกำลังจะจากไปก็รีบเข้ามาขวางไว้ทันที จากนั้นก็พูดขึ้นอย่างจริงจัง “แม่หญิงเทียนป้าโปรดช้าก่อน! ในเมื่อแม่หญิงเป็นผู้ชนะในครั้งนี้ แม่หญิงยังมีสิทธิ์เลือกว่าที่คู่ครองได้ตามใจ ไม่ทราบว่าแม่หญิงมีชายในใจแล้วหรือยัง”
เฟิงอู๋โยวนิ่งเงียบลงไปสักพัก นางรู้สึกว่าตัวเองกับจวินมั่วหรันในตอนนี้ยังไม่ถึงขั้นที่จะพูดคุยกันเรื่องแต่งงาน
แม้พวกเขาจะรู้สึกดีต่อกัน แต่ตัวนางในตอนนี้ยังไม่แน่ใจว่าตัวเองมีความรู้สึกดีๆ ให้จวินมั่วหรันลึกซึ้งแค่ไหน
หลังจากไตรตรองอย่างถี่ถ้วน และแล้วนางก็ตอบกลับเสียงขรึม “ข้าขอสละสิทธิ์ในการเลือกว่าที่คู่ครอง”
ตอนที่ 264 เจ้าต้องรับผิดชอบต่อข้า
เดิมที จวินมั่วหรันคิดว่าเฟิงอู๋โยวคงเลือกเขาอย่างไม่ลังเล แต่นึกไม่ถึงว่านางจะสละสิทธิ์เลือกว่าที่คู่ครองแบบนี้!
เอาแต่ใจ!
นางไม่แต่งงานกับเขา แล้วจะแต่งงานกับใคร
สีหน้าของจวินมั่วหรันอึมครึมลงฉับพลัน จากนั้นก็ถามเฟิงอู๋โยวด้วยน้ำเสียงเย็นเรียบ “เจ้าไม่เลือกข้าจริงๆ หรือ”
“พวกเรารู้จักกันแค่เดือนกว่าๆ เจ้าไม่คิดว่ามันเร็วเกินไปที่จะพูดคุยกันเรื่องแต่งงานกระนั้นหรือ”
“เจ้าเคยเห็นเรือนร่างของข้าแล้ว ดังนั้นเจ้าต้องรับผิดชอบ”
เฟิงอู๋โยวครุ่นคิดสักพักก่อนตอบกลับ “จวินมั่วหรัน เจ้าให้เวลาข้าได้หรือไม่ ข้าจะไม่เข้าใจความรู้สึกตัวเองชัดเจนขนาดนั้นและจะไม่รู้ว่าก้าวต่อไปจะเอาเยี่ยงไรต่อ”
“การที่เจ้าขึ้นไปแสดงบนเวทีเมื่อครู่เป็นเพราะแค่อยากเอาชนะเป่ยถางหลีอินกระนั้นหรือ” น้ำเสียงของจวินมั่วหรันเริ่มเจือแววไม่พอใจ
เฟิงอู๋โยวส่ายหน้า “ข้าแค่กังวลว่าเป่ยถางหลีอินจะเลือกเจ้า”
“ในเมื่อทำเช่นนี้ ไฉนถึงยังไม่ยอมแต่งงานกับข้าอีก”
“ชอบก็คือชอบ แต่เจ้าเจ้าควบคุมอารมณ์เรื่องนั้นของตัวเองไม่ได้ ข้ายังไม่อยากโชคร้ายตายคาเตียง”
จวินมั่วหรันได้ยินเช่นนั้นจึงตอบกลับอย่างกลุ้มใจ “ข้าจะระวัง เรื่องนี้เจ้าอย่าได้กังวล”
อยู่ๆ เฟิงอู๋โยวก็ตระหนักได้ว่าการกระทำของตัวเองคล้ายกับหมาหวงก้าง
หลังจากครุ่นคิดต่ออีกสักพัก ในที่สุดนางก็ตัดสินใจอย่างเหมาะสม “เช่นนั้นมาตกลงกันก่อน เจ้าจะต้องควบคุมการกระทำที่เกินเลยของตัวเอง”
ขณะที่พวกเขากำลังคุยกันอยู่ อยู่ๆ เป่ยถางหลงถิงก็ก้าวเข้ามาด้านหน้าเฟิงอู๋โยวอย่างไม่ทันตั้งตัว เขาตาของเขามีน้ำตาคลอเบ้า “ซู่ซู่ ใช่เจ้าหรือไม่”
เฟิงอู๋โยวผงะเล็กน้อยก่อนรีบตอบกลับไป “ฝ่าบาทจำผิดคนแล้วเจ้าค่ะ”
“ซู่ซู่ หลายปีมานี้ ข้าทรมานเหลือเกิน” เป่ยถางหลงถิงแสดงความในใจออกมา เขาขยับเข้ามาใกล้ๆ เฟิงอู๋โยวและอยากจะคว้านางเข้ามากอดไว้ในอ้อมกอด
เฟิงอู๋โยวรีบไปหลบด้านหลังจวินมั่วหรันทันที ก่อนตอบเป่ยถางหลงถิงด้วยน้ำเสียงเย็นชาอีกรอบ “ฝ่าบาทจำผิดคนแล้วเจ้าค่ะ”
อันที่จริงเฟิงอู๋โยวไม่ได้ดูเหมือนหลิงซู่ซู่เท่าไรนัก
แต่ไม่รู้ทำไม พอนางสวมใส่เสื้อผ้าสตรี เป่ยถางหลงถิงกลับรู้สึกว่าภรรยาอันเป็นที่รักของจากเข้าไปหลายปีกลับมามีชีวิตอยู่ต่อหน้าเขาอีกครั้ง
เขาไม่ยอมเลิกราและยังคงเค้นถามนางต่อ “ไม่ทราบว่าแม่หญิงอายุเท่าไหร่แล้ว ไม่ทราบว่าเป็นใครมาจากไหน ในตระกูลของเจ้ามีสตรีคนไหนที่รูปร่างคล้ายเจ้าหรือไม่”
เมื่อเขาถามออกมาเช่นนี้ ความเคียดแค้นก็ผุดขึ้นมาในใจอย่างไร้ที่มา
คิดว่าน่าจะเป็นความเคียดแค้นของเจ้าของร่างคนเดิมที่ยังคงเหลือไว้ในกายหยาบร่างนี้
“ข้ากำพร้าพ่อแม่แต่กำเนิด ไม่รู้ว่าพ่อแม่ของตัวเองคือใคร ดังนั้นจงคิดว่าข้าเกิดมาจากกระบอกไม้ไผ่ก็แล้วกัน” เฟิงอู๋โยวรีบหาข้ออ้างปฏิเสธไป
ฝ่ามือที่โจมตีใส่หลังของนางก่อนหน้าแน่ แม้ไม่หนักหน่วงเท่าไร
แต่มันทำลายความเป็นพ่อของเป่ยถางหลงถิงไปแล้วจนสิ้นซาก
เป่ยถางหลงถิงยังคงไม่ลดละความพยายาม ขณะกำลังจะเดิมตามเฟิงอู๋โยวและจวินมั่วหรันพร้อมเรียกถาม อยู่ๆ เซ่อเยว่ก็ตะโกนเรียกอย่างลนลาน “ท่าไม่ดีแล้วเจ้าค่ะ! ตอนนี้องค์หลีอินเกิดอาการแปลกๆ อยู่ๆ ก็หายใจหืดหอบเจ้าค่ะ”
“อะไรกัน” เป่ยถางหลงถิงตกใจสุดขีด ก่อนจับไหล่ทั้งสองข้างของเซ่อเยว่พร้อมกับเค้นถาม
เซ่อเยว่รีบตอบกลับ “ตอนนี้องค์หญิงตัวร้อนไปทั่วร่างกาย ปากซีดเซียว อาการน่าเป็นห่วงเหลือเกินเจ้าค่ะ”
“รีบพาข้าไปเร็วเข้า!”
เป่ยถางหลงถิงตามเซ่อเย่วไปโดยไม่หันหลังกลับมามอง
จวินมั่วหรันมองตามแผ่นหลังที่คล้อยจากไปของเป่ยถางหลงถิงพลางถามเฟิงอู๋โยว “เขาเป็นพ่อของเจ้าใช่หรือไม่”
“เป็นเพียงข้อสันนิษฐานเท่านั้น”
“ต้องการให้ข้าหาหลักฐานให้เจ้าหรือไม่”
เฟิงอู๋โยวส่ายหน้าก่อนพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง “จวินมั่วหรัน ข้าเคยตายไปแล้วครึ่งหนึ่ง และข้าในตอนนี้ก็ไม่อาจทนกับการถูกทรยศหักหลังได้อีกต่อไป สิ่งที่เขาทำกับข้ามันโหดร้ายเกินกว่าจะให้อภัย เป็นไปได้ ข้าไม่อยากข้องเกี่ยวกับคนอย่างเป่ยถางหลงถิงไปตลอดกาล”
[1]กู่ฉิน เป็นเครื่องดนตรีจีนที่มีลักษณะคล้ายพิณ จัดว่าเป็น 1 ในศิลปะ 4 แขนงที่เหล่าปัญญาชนในยุคโบราณต้องเรียนรู้
[2]หงส์เกี้ยวหงส์ เดิมทีเป็นเพลงที่ชายผู้ยากจนนามว่าซือหม่าเซี่ยงหรูบรรเลงเพื่อบรรยายความในใจที่มีต่อหญิงสาวผู้ร่ำรวยนามว่าจั๋วเหวินจวิน ต่อมาชื่อเพลงนี้มักใช้เปรียบเทียบชายหนุ่มจีบหญิงสาว หรือชายหนุ่มหญิงสาวที่แสดงเจตนาอย่างแรงกล้าว่าต้องการมีคู่ หรือเปรียบถึงการหาคู่ที่รู้ใจ
[3]เทียนป้า แปลว่าผู้มีอำนาจสูงสุดในใต้หล้า