ตอนที่ 348 เฟิ่งจือหลินแวะเยี่ยม / ตอนที่ 349 ลงมือตีนาง
ตอนที่ 348 เฟิ่งจือหลินแวะเยี่ยม
หลังจากนั้นไม่นาน เฟิ่งจือหลินก็สวมชุดดำ สวมหมวกงอบ มือซ้ายถือกล่องอาหารและรีบแอบเข้าไปในคุกสวรรค์ของศาลต้าหลี่
เขาชำเลืองมองเฟิงอู๋โยวที่หลับใหลอยู่ในห้องขังมืด จากนั้นก็ละสายตาออกอยากไม่แยแส
เมื่อเห็นเฟิ่งจือหลินแวะมาเยี่ยม เฟิงอี้ก็พูดด้วยน้ำเสียงเคารพ “ท่านพ่อพอมีวิธีพาอู๋โยวออกไปหรือไม่ เขายังเด็ก ไม่สามารถแบกรับอันตรายในคุกได้”
เฟิ่งจือหลินชี้ไปที่ห้องขังอันหรูหราฝั่งตรงข้าม แล้วตวาดเสียงดุ “ตาข้างไหนของเจ้าที่เห็นว่าเขาเป็นอันตรายไม่ทราบ”
“อู๋โยวสร้างคุณูปการให้แก่แคว้นเป่ยหลีไว้อย่างมากมาย ดังนั้นนางจึงไม่ควรลงเอยแบบนี้”
“เฟิงอี้ เจ้าควรเป็นห่วงตัวเองก่อน! เจ้ากล้าขโมยตราพยัคฆ์แห่งแคว้นหยุนฉินแบบนี้ ไม่กลัวถูกฆ่าหรือ”
“กลัว แต่ข้ากลัวยิ่งกว่านั้น หากผู้มีอำนาจจะเริ่มทำสงครามเพียงเพราะความปรารถนาที่เห็นแก่ตัวของพวกเขา สำหรับผู้ที่มีอำนาจ สงครามเป็นโอกาสที่ดีสำแดงพลังอำนาจและเพิ่มความน่าเกรงขามของตัวเอง แต่สำหรับประชาชน สงครามหมายถึงความทุกข์ยาก การพลัดถิ่น ทำให้ความพยายามทำงานหนักเพื่อสร้างเนื้อสร้างตลอดหลายปีของประชาชนสูญเปล่า” เฟิงอี้พูดขึ้นด้วยหัวใจอันยิ่งใหญ่
แววหงุดหงิดฉายขึ้นในดวงตาของเฟิ่งจือหลินเข้มข้นขึ้น แต่กระนั้นเขาก็ส่งกล่องอาหารให้เฟิงอี้ “กินให้อร่อย”
“ขอบคุณครับท่านพ่อ”
เฟิงอี้หยิบกล่องอาหาร รอยยิ้มอันขมขื่นปรากฏขึ้นที่มุมปากของเขา
เขาไม่คาดคิดแม้แต่น้อย ว่าพ่อของตัวเองวางแผนจะวางยาพิษฆ่าเขา เพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว
เห็นได้ชัดว่าการแสดงออกของเฟิ่งจือหลินดูผิดธรรมชาติ เขาเคยตั้งความหวังกับเฟิงอี้เอาไว้สูง
น่าเสียดายที่เฟิงอี้เป็นคนฉลาดมากความสามารถ แต่เขาไร้ความทะเยอทะยานเหมือนบุคคลระดับสูง
“ลูกเอ๋ย เจ้าซ่อนตราพยัคฆ์แห่งแคว้นหยุนฉินไว้ที่ใด ความจริงมันพูดยากเช่นนั้นเชียวหรือ รัชทายาทแห้งแคว้นหยุนฉินสัญญาว่ากับพ่อเอาไว้ หากเจ้าเต็มใจจะเริ่มต้นใหม่ ก็จงบอกที่ซ่อนมาเถิด ถือว่าเป็นการทำเพื่อสีหน้าของพ่อด้วย” เฟิ่งจือหลินน้ำตาไหลพราก แสร้งแสดงความเป็นพ่อออกมา
เฟิงอี้รู้อยู่ในใจว่าหากเขาสารภาพทุกอย่างออกไป ไม่เพียงแค่หยุนเฟยไป่เท่านั้นที่ไม่ปล่อยเขา แต่เฟิ่งจือหลินก็ไม่ยอมปล่อยเขาไปเช่นกัน
กล่องอาหารที่เฟิ่งจือหลินส่งมาได้บอกเจตนาความคิดของเขาทั้งหมดแล้ว
โชคดีที่จวินมั่วหรันกำชับเขาว่าอย่ารับกล่องอาหารจากใคร ยกเว้นกล่องจากคนของตำหนักเซ่อเจิ้งหวางเท่านั้น
มิฉะนั้นเขาอาจถูกหลอกด้วยทักษะการแสดงที่ย่ำแย่ของเฟิ่งจือหลินไปแล้ว
เมื่อเห็นว่าเฟิงอี้ยังคงปฏิเสธที่จะบอกที่ซ่อนของตราพยัคฆ์แห่งแคว้นหยุนฉิน สีหน้าของเฟิ่งจือหลินก็มืดมนลง “ลูกเอ๋อ เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดอู๋โยวถึงถูกคุมขัง”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ดวงตาของเฟิงอี้ก็แข็งกร้าวขึ้นทันที จึงรีบถามเฟิ่งจือหลินกลับไป “เพราะเหตุใด”
“ตราพยัคฆ์แห่งแคว้นหยุนฉินถูกขโมยไป ทำให้รัชทายาทแห่งแคว้นหยุนฉินโกรธมาก ผนวกกับเจ้าปฏิเสธที่จะบอกที่ซ่อน เขาจึงไม่สามารถฆ่าเจ้าได้ จึงเปลี่ยนไปทำร้ายพี่น้องคนสนิทของเจ้าแทน”
เฟิ่งจือหลินชำเลืองมองเฟิงอู๋โยวที่นอนหลับสนิทอยู่ในห้องขังตรงข้ามและถอนหายใจ “อู๋โยวมาจากตระกูลของพวกเรา พ่อจะไม่รู้สึกเสียใจแทนเขาได้เยี่ยงไร แม้ว่าเขาจะได้รับการปกป้องจากเซ่อเจิ้งหวาง แต่อำนาจของพลังอำนาจขององค์รัชทายาทแห่งแคว้นหยุนฉินนั้นยิ่งใหญ่กว่าแคว้นตงหลินอย่างชัดเจน เจ้าเคยคิดบ้างหรือไม่ว่าหากวันหนึ่งกองทัพของเซ่อเจิ้งหวางแห่งแคว้นตงหลินพ่ายแพ้ขึ้นมา อู๋โยวจะมีสภาพเป็นเยี่ยงไร”
เฟิงอี้มองดูเฟิงอู๋โยวที่หลับใหลไม่ได้สติ ตั้งแต่เขายังเด็ก เขารักน้องชายคนนี้ที่อ่อนโยนและน่ารัก แต่มีนิสัยแข็งกระด้างมากคนนี้มาก
อันที่จริงเขารู้สึกอิจฉานิสัยรักอิสระและไร้การควบคุมของเฟิงอู๋โยวเป็นพิเศษ
นางเป็นตัวของตัวเอง ไม่ถูกควบคุม และได้ใช้ชีวิตอย่างที่จินตนาการไว้
หลังจากครุ่นคิดเป็นเวลานาน ริมฝีปากของเฟิงอี้ก็ปริเอ่ยเสียงแผ่ว “ตราพยัคฆ์แห่งแคว้นหยุนฉินถูกซ่อนอยู่ที่ภูเขาด้านหลังสุสานรกร้าง สามนิ้วด้านหน้าของสุสานคือดินที่ขุดใหม่ ค่อนข้างหาง่าย”
ดวงตาของเฟิ่งจือหลินเป็นประกาย เขารีบพูดขึ้น “เด็กดี ข้าจะมารับเจ้าให้เร็วที่สุด”
เฟิงอี้แน่นิ่ง หลังจากคิดเรื่องนี้อีกครั้ง ในที่สุดเขาก็คุกเข่าลงและโค้งคำนับเฟิ่งจือหลินสามครั้ง
เมื่อเห็นเช่นนี้ เฟิ่งจือหลินก็รู้สึกเสียใจ “อี้เอ๋อร์ ส่งกล่องอาหารให้พ่อ อาหารเย็นแล้ว พ่อจะอุ่นให้”
“ไม่จำเป็นขอรับ”
หัวใจของเฟิงอี้แหลกสลาย เขาปฏิเสธเฟิ่งจือหลินอย่างเย็นชา
เหตุใดเขาถึงคุกเขาโค้งคำนับเฟิ่งจื่อหลินถึงสามครั้ง ก็เพื่อตอบแทนบุญคุณของเขาที่ได้อบรมเลี้ยงดูมา
เฟิ่งจือหลินขมวดคิ้วและกำลังจะหลิบกล่องอาหารในมือของเฟิงอี้ แต่อยู่ๆ ก็เหลือบเฟิงอู๋โยวพลิกตัวกลับมาในห้องขังตรงข้าม เขาก็ตกใจ รีบหันไปอย่างรวดเร็ว ยกมือปิดใบหน้าและหนีจากไปอย่างลนลาน
เฟิงอี้เดินไปที่ประตูห้องขังและกระซิบกับเฟิงอู๋โยวที่กำลังนอนหลับสนิท “อู๋โยว พี่ซ่อนตราพยัคฆ์แห่งแคว้นหยุนฉินไว้ในสุสาน หากเจ้าพบกับเซ่อเจิ้งหวาง จงบอกเขาให้รีบไปโดยเร็ว”
ในระหว่างที่สะลึมสะลืออยู่ เฟิ่งอู๋โยวเหมือนได้ยินเฟิงอี้ยืนกระซิบกับนางอยู่ที่ประตูห้องขัง
แต่เมื่อนางลืมตาขึ้น ก็ได้เงาเฟิงอี้อยู่ที่ประตู
คิดว่าตัวงเองคงหูฝาดไปกระมัง
ตอนที่ 349 ลงมือตีนาง
เฟิงอู๋โยวพลิกตัว ดึงผ้าห่มผ้าแพรผืนมาห่อห่มตัวเหมือนขนมบ๊ะจ่าง
หลังจากหลับไปหลายชั่วยาม อยู่ๆ นางก็รู้สึกว่ามีมือใหญ่คู่หนึ่งโอบรอบเอวของนางอยู่
พริบตาต่อมา นางลืมตาโพลงและเหวี่ยงคนที่อยู่ข้างหลังนางพาดไหล่ ทุ่มลงกับพื้นอย่างรุนแรง “สารเลว! เจ้ากล้าดีมาลวนลามข้าได้เยี่ยงไร!”
นางลุกขึ้นพรวด วางมือเท้าสะเอวยืนบนบนเตียงและมองลงไปที่จวินมั่วหรันที่นอนอยู่บนพื้น
“มั่วหรัน?”
เฟิงอู๋โยวรู้สึกหงุดหงิดแต่คิดคิดว่าตัวเองอาจทำแรงเกินไป จึงรีบลงนั่ง ‘ผลุบ’ และรีบพยุงเขาลุกขึ้น
แววโกรธที่มองไม่เห็นปรากฏขึ้นบนใบหน้าจวินมั่วหรัน เขาพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มว่า “จะระวังตัวขนาดนี้ให้ได้อะไร นอกจากข้าแล้ว ยังมีใครเข้ามาในคุกสวรรค์นี้ได้อีก”
เฟิงอู๋โยวยิ้มเจื่อนๆ “เจ้าจะโทษจ้าไม่ได้ ใครบอกให้เจ้ามานั่งลงบนเตียงโดยไม่ให้สุ้มให้เสียงสักคำ”
“ช่างเถิด ข้าไม่อยากทะเลาะกับเจ้า”
จวินมั่วหรันลุกขึ้นอย่างช้าๆ ทันทียืนต่อหน้าเฟิงอู๋โยว ก็รีบปลดกระดุมที่สาบเสื้อด้านหน้าอย่างร้อนใจ
ใบหน้าของเฟิงอู๋โยวแดงก่ำ นางชี้ไปที่ผ้าม่านประตูห้องขังพลางเอ่ย “เจ้าควรปิดม่าน!”
มุมปากของจวินมั่วหรันผุดมุมโค้ง สะบัดแขนเสื้อกว้างๆ และเดินไปปิดม่านลูกไม้ปักมุกและม่านทึบแสงด้านหน้าประตูห้องขังทันที
เขาถอดเสื้อคลุมตัวนอกออก โน้มตัวไปข้างหน้าปลดเข็มขัดผ้าไหมรอบเอวของเฟิงอู๋โยวอย่างรีบร้อน
เฟิงอู๋โยวรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย แม้ว่าโดยปกติแล้ว จวินมั่วหรันจะไม่อ่อนโยนเท่าไร แต่เขาก็คำนึงถึงความรู้สึกของนางเสมอ
คืนนี้ ดูเหมือนเขาจะเปลี่ยนไปเป็นคนละคน เต็มไปด้วยความอัดอั้นแปลกๆ
“จวินมั่วหรัน เจ้าเป็นอะไรหรือไม่”
เฟิงอู๋โยวคิดว่าคงมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นกับเขา ทำให้เขาอารมณ์ไม่ดี
“ลงนอนลงเฉยๆ และปล่อยให้ข้าผู้นี้มอบความรักให้แก่เจ้าแต่โดยดี” จวินมั่วหรันออกแรงบีบใบหน้านาง ไร้ซึ่งแววสงสาร
“อย่าบีบหน้า!”
เฟิงอู๋โยวอึดอัด นางปัดมือของเขาอย่างไม่พอใจ “คืนนี้ เจ้าทำตัวแปลกไป”
“มีอะไรแปลก เจ้าต่างหากที่ควรถามตัวเอง ข้าทำดีกับเจ้ามาแค่ไหน มันควรจะเป็นหน้าที่ของเจ้าที่จะต้องปรนเปรอให้ความสุข” จวินมั่วหรันยิ้มอย่างชั่วร้าย ทันใดนั้นก็ยื่นมือออกไปผลักนางลงบนเตียงง
“ปรนเปรอ? ให้ความสุข? จวินมั่วหรัน เจ้ามองข้าเป็นอะไรกันแน่!”
เฟิงอู๋โยวจ้องไปที่จวินมั่วหรันที่หล่อเหลาไร้ที่ติ แต่กลับรู้สึกเหมือนคนแปลกหน้า
ไม่มีแววความรักปรากฏขึ้นในดวงตาเขา เขาลงมืออย่างไม่ยั้งมือ พร้อมกับพูดจาทำร้ายจิตใจ
แววเจ็บปวดฉายสะท้อนขึ้นในดวงตาเฟิงอู๋โยว เพราะจวินมั่วหรันเป็นที่พึ่งพาที่นางไว้วางใจมากที่สุด
นางไม่เคยคิดว่าจวินมั่วหรันจะใช้คำเช่น “ปรนเปรอ” และ “ให้ความสุข” ขึ้นในความสัมพันธ์ของพวกเขา
ถึงกระนั้น นางก็ยังพยายามปลอบใจตัวเอง บางทีนี่อาจเป็นเพียงอีกบุคลิกหนึ่งของจวินมั่วหรัน
“มั่วหรัน แน่ใจหรือว่าเจ้าคือมั่วหรัน ที่ไม่ใช่หรันอื่น”
เฟิงอู๋โยวจ้องไปที่จวินมั่วหรันผู้ชั่วร้ายด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัย
จวินมั่วหรันพูดขึ้น “เจ้ามีใบหน้าที่สามารถสยบใจคนทั้งแคว้นได้เลยจริงๆ!”
เฟิงอู๋โยว “…”
นางสังเกตเห็นแล้วว่ามีบางอย่างผิดปกติกับจวินมั่วหรัน
จวินมั่วหรันในคืนนี้ ไม่รู้จักความว่า ‘เคารพให้เกียรติ’
ขณะที่กำลังงุนงงอยู่นั้น จวินมั่วหรันก็เข้ามาฉีกกระชากเสื้อผ้าบนตัวนาง
“ออกไปเสีย!”
แม้ว่าเฟิงอู๋โยวอย่างจะปล่อยตัวเลยตามเลยกับจวินมั่วหรัน แต่จวินมั่วหรันคนนี้ทำร้ายจิตใจนางเกินไป
หากเขามีท่าทีเช่นนี้ต่อไป หัวเด็ดตีนขาด นางก็จะไม่มีทางมอบใจให้เขาอีก
“หากข้าไป แล้วใครจะสนองความต้องการของเจ้า”
“ข้าไม่ชอบสายตาที่เจ้ามองข้าแบบนี้”
“ถ้าอย่างนั้นเจ้าชอบอะไร เฟิงอู๋โยว อย่ามาเล่นละครยั่วให้อยากแล้วจากไปต่อหน้าข้าเลย ข้าผู้นี้เจอผู้คนมาแล้วนับไม่ถ้วน! ข้ามองเจ้าออกอย่างทะลุปรุโปร่งแล้ว!”
เฟิงอู๋โยวเหลือบมองเสื้อคลุมสีดำที่เขาทิ้งลงบนพื้น สีหน้าของนางเหมือนตระหนักได้ถึงบางสิ่ง ครั้นแล้วจึงตกใจสุดขีด
นางพยายามดิ้นขัดขืนจากพันธนาการของเขา และพูดเสียงเย็น “ไปให้พ้น!”
“สุราคำนับไม่ดื่ม ดื่มสุราลงโทษ!” จวินมั่วหรันยกแขนขึ้นและง้างมือตบหน้าเฟิงอู๋โยวในจังหวะที่นางไม่ทันตั้งตัว