ตอนที่ 19 สาวใช้ผู้เย่อหยิ่ง (รีไรท์)
ตอนที่ 19 สาวใช้ผู้เย่อหยิ่ง (รีไรท์)
ครั้นเฉียวเยี่ยนเห็นสองพ่อลูกเป็นเช่นนี้ ก็กลืนคำพูดที่ติดอยู่ที่ริมฝีปากกลับไป
ความจริงแล้วนางไม่ได้โกรธเลยสักนิด ลูกของนางเพิ่งจะอายุสามขวบ ฉลาดกว่าสหายรุ่นเดียวกันมากแล้ว แต่นางแค่รู้สึกแปลกใจ ในยุคปัจจุบันนางเป็นเด็กเทพของมหาวิทยาลัยเชียวนะ แต่พอมาถึงลูกสาวนาง กลับเรียนหนังสือเหมือนขอชีวิตอย่างไรอย่างนั้น?
หรือจะเป็นเหมือนพ่อของพวกเขานะ?
…..
หลังจากกินข้าวกลางวันกับเฉียวเยี่ยนและลูก ๆ แล้ว มู่ฉินเจินก็ออกไปที่ค่ายทหาร หลังจากที่เขากลับมาจากที่พักกองกำลังทหาร ฮ่องเต้ก็จัดให้เขาไปยังค่ายทหารเพื่อฝึกฝน
ส่วนเฉียวเยี่ยนไปถางลานบ้านรกร้างของนางต่อ เหล่าข้ารับใช้ทำงานอย่างสุดความสามารถ และลานบ้านนี้ก็ถูกจัดการจนสะอาดก่อนเวลาที่กำหนด
เฉียวเยี่ยนอารมณ์ดีอย่างยิ่ง และกลับไปยังเรือนจิ่งเสวียนก่อนเวลา เตรียมทำอาหารสำหรับเด็กสองคน
หลังจากกลับมายังเมืองหลวง นางยังไม่เคยเข้าครัวไปทำอาหารเลยสักครั้ง ทุกวันเมื่อถึงเวลาก็จะมีสาวใช้เตรียมไว้ให้แล้ว
แต่อาหารรสเลิศเหล่านี้กินสักครั้งสองครั้งก็ยังพอได้ เพื่อเป็นการลิ้มลองรสชาติแปลกใหม่ ทว่าหากกินมากเกินไปก็รู้สึกว่ามันขาดรสชาติไปเล็กน้อย
นางชอบน้ำแดงน้ำมันข้น ปรุงอาหารสดเผ็ด แต่อาหารในจวนอ๋องล้วนมีรสชาติดั้งเดิมของตัวเอง ซึ่งจืดชืดไร้รสชาติยิ่งนัก
เมื่อคืนนี้ตอนที่ลูกทั้งสองกำลังจะนอนหลับ พวกเขาบอกว่าอยากกินซาลาเปาที่นางเป็นคนทำ
ในเรือนจิ่งเสวียนมีห้องครัวเล็ก ๆ อยู่ แต่ยังไม่เคยเปิดใช้งาน เฉียวเยี่ยนสำรวจรอบ ๆ แล้วพบว่าเครื่องครัวที่อยู่ในนั้นมีครบหมดทุกอย่าง เพียงแค่ไม่มีวัตถุดิบและเครื่องปรุงก็เท่านั้น
นางสั่งให้สาวใช้ทั้งสองไปเอาวัตถุดิบที่ห้องครัวใหญ่มา ในขณะที่นางหาชามสะอาดไปตักเต้าเจี้ยว พริกดอง และซีอิ๊วในห้องหมักผักดอง
ซีอิ๊วนี้นางเป็นคนหมักเอง ในรัชสมัยเทียนลี่ก็มีซีอิ๊วเช่นกัน แต่รสชาติไม่ค่อยอร่อยนัก
ปีที่แล้วนางให้ระบบตัวน้อยหาสูตรหมักซีอิ๊วมาลองหมักเอง ซึ่งอย่าว่าแต่ทำออกมาอร่อยมากจริง ๆ เลย แต่มันยังเป็นสินค้าชั้นดีอีกด้วย
สาวใช้ทั้งสองประหลาดใจเล็กน้อยเมื่อได้รับคำสั่งให้ไปหยิบวัตถุดิบที่ห้องครัว หวางเฟยเหนียงเหนียงจะเข้าครัวเองรึ?
สาวใช้รูปร่างหน้าตาสะสวย เอวบิดคอด เคลื่อนไหวอ่อนช้อย คนที่ไม่รู้เรื่องก็ยังคิดว่านางเป็นคุณหนูของขุนนางคนใดคนหนึ่ง
นางถือผ้าเช็ดหน้าปักลายดอกกล้วยไม้ไว้ในมือ ปิดตรงมุมปาก น้ำเสียงเปี่ยมล้นด้วยการเสียดสี “มิรู้ว่าท่านอ๋องคิดอย่างไร ถึงได้พานางกลับมา ทั้งขุดดินทั้งทำกับข้าว จะกลายเป็นสาวชาวนาจริง ๆ แล้ว! ไม่กลัวคนอื่นหัวเราะเยาะหรือไร!”
ฮุ่ยเซียง สาวใช้ที่เดินมากับนางได้ยินเช่นนี้ก็ขมวดคิ้วพลางเอ่ยเสียงเบา “อวิ๋นเซียง พูดจาให้ร้ายเจ้านายมีโทษร้ายแรงนะ”
เมื่ออวิ๋นเซียงได้ยินก็โยนผ้าเช็ดหน้าทิ้ง สีหน้าเต็มไปด้วยความเหยียดหยาม ” ฮึ! เจ้านาย? นางเป็นเจ้านายที่ไหนกัน? หากไม่ใช่เพราะนางปีนขึ้นไปบนเตียงท่านอ๋องอย่างไร้ยางอายในตอนนั้น และให้กำเนิดนายน้อยทั้งสองคน นางจะเป็นเหมือนอย่างทุกวันนี้รึ?”
“ท่านอ๋องกับหวางเฟยเป็นสามีภรรยากัน เรื่องของเจ้านาย ข้ารับใช้อย่างเราจะเอามานินทาได้อย่างไร!”
คราวนี้ฮุ่ยเซียงชักสีหน้าเย็นชา หลังจากกล่าวจบ ก็เร่งฝีเท้าออกห่างจากอีกฝ่าย และไม่ต้องการให้อีกฝ่ายดึงตัวเองเข้าไปพัวพันด้วย!
อวิ๋นเซียงเป็นคนอย่างไร เหล่าข้ารับใช้ในจวนรู้ดีอย่างยิ่ง คิดว่าตัวเองหน้าตาดี คิดอยากจะยั่วยวนท่านอ๋องเสมอ และอยากโบยบินขึ้นสู่ท้องฟ้ากลายเป็นหงส์
ทว่าท่านอ๋องของพวกเขาเป็นคนดี ต่อให้นางทำท่าสะดีดสะดิ้งอยู่บ่อยครั้ง เขาก็ไม่ชายตาแลเลยสักนิด
อวิ๋นเซียงโมโหจนสีหน้าบิดเบี้ยว บิดผ้าเช็ดหน้าในมืออย่างแรง
คอยดูเถิด นางได้เป็นนายเมื่อใด คนพวกนี้จะต้องคุกเข่ามาอ้อนวอนนาง!
……
…..
ในระหว่างที่สาวใช้ทั้งสองไปหยิบวัตถุดิบมา เฉียวเยี่ยนก็ได้ต้มน้ำไว้ในหม้อและทำความสะอาดเตาแล้ว
ครั้นเห็นหวางเฟยขัดเตาอย่างคล่องแคล่ว ฮุ่ยเซียงก็ตกตะลึงไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ก้าวไปข้างหน้าพลางโค้งคำนับ “หวางเฟยเหนียงเหนียง งานหยาบเหล่านี้ให้บ่าวทำดีกว่าเจ้าค่ะ”
เฉียวเยี่ยนหันกลับไปมอง ก่อนจะยิ้มอย่างเป็นมิตร “ได้ เจ้าช่วยล้างเตากับหม้อให้ข้าที ข้าจะไปเตรียมอาหาร”
ฮุ่ยเซียงเคลิบเคลิ้มไปกับรอยยิ้มของหวางเฟย ปลายหูนางร้อนขึ้นมาเล็กน้อย รีบหันไปเติมไฟในเตาอย่างลนลาน
หวางเฟยงดงามมากจริง ๆ!
อวิ๋นเซียงยืนอยู่หน้าประตูมองท่าทางของฮุ่ยเซียงด้วยสีหน้าเหยียดหยาม นางยกมือขึ้นมาสำรวจเล็บที่ได้รับการดูแลอย่างดี นางจะไม่ไปทำงานบนเตาเพราะมันจะทำให้มือพังเสียเปล่า ๆ!
อย่างไรเสียเฉียวเยี่ยนก็ไม่ได้สั่งนาง นางเองก็ไม่อยากรออยู่หน้าประตู และก่อนจะจากไปยังกลอกตาใส่ฮุ่ยเซียงพลางด่าเสียงเบา “นังประจบสอพลอ”
ฮุ่ยเซียงไม่ได้ยิน แต่หูของเฉียวเยี่ยนดีมาก ครั้นได้ยินอีกฝ่ายพูดอย่างชัดเจนก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย
ในบรรดาสาวใช้สองคนที่มู่ฉินเจินจัดให้นาง ฮุ่ยเซียงดูซื่อสัตย์และมีความรับผิดชอบ ทำงานตามกฎเกณฑ์ ในขณะที่อวิ๋นเซียงดูหยิ่งยโส มีไหวพริบในการหลบเลี่ยงงาน และดูเหมือนจะเหยียดหยามเจ้านายอย่างนางด้วย
เมื่อนึกถึงท่าทางของอีกฝ่ายเมื่อครู่ เฉียวเยี่ยนก็ยิ้มเยาะเย้ยออกมา ดูเหมือนคนบางคนไม่เห็นนางคลุ้มคลั่งก็คิดว่านางรังแกได้ง่ายสินะ!
ฮุ่ยเซียงทำงานได้อย่างคล่องแคล่วมาก ไม่นานก็ทำความสะอาดหม้อกับเตาเสร็จสิ้น และเฉียวเยี่ยนก็ขอให้ช่วยก่อไฟบนเตาเล็ก ๆ อีกครั้ง เพราะอีกเดี๋ยวนางจะใช้ตุ๋นขาหมู
เนื้อขาหมูถูกเผาด้วยไฟจนผิวหนังเป็นสีน้ำตาลเล็กน้อย และเผาจนไม่มีขนหมู จากนั้นก็นำไปล้างด้วยน้ำสะอาด และขูดเอาส่วนที่ไหม้ออก
ครั้นใส่ขาหมูลงในหม้อที่น้ำเย็นจัดแล้วก็ใส่ขิง ต้นหอม และเหล้าเหลืองลงไป หลังจากนั้นก็ตักขาหมูขึ้นมาใส่ลงในหม้อตุ๋นที่ตั้งอยู่บนเตาขนาดเล็ก
ตั้งน้ำมันในหม้อให้เดือด ใส่ต้นหอมและขิงลงไปผัดจนมีกลิ่นหอม จากนั้นเจียวเต้าเจี้ยวสูตรลับของนางในหม้อจนเป็นน้ำมันสีแดง เสร็จแล้วก็เติมน้ำ เติมเกลือ ซีอิ๊ว และเครื่องปรุงอื่น ๆ ลงไป
จากนั้นก็เทน้ำแดงที่เดือดลงในหม้อร้อน และค่อย ๆ ตุ๋นด้วยไฟอ่อน จนขาหมูนุ่มละลายปาก
ฮุ่ยเซียงนิ่งมองไปนานแล้ว และสูดดมกลิ่นหอมฟุ้งที่คละคลุ้งไปทั่วอากาศ พลางกลืนน้ำลายโดยไม่รู้ตัว
น้ำสีแดง ๆ นั้นคืออะไร? หลังจากใส่ทุกอย่างลงในหม้อแล้วก็มีกลิ่นฉุน ๆ หน่อย แต่กลิ่นหอมนั้นกลับทำให้คนน้ำลายไหลไม่หยุด
ขาหมูถูกตุ๋นอยู่ในหม้อร้อน จากนั้นเฉียวเยี่ยนก็หยิบมีดทำครัวสองเล่มมาสับเนื้อบดละเอียด
หนึ่งมือถือหนึ่งมืด สับสลับกันไปมา การเคลื่อนไหวก็รวดเร็ว ไม่นานเนื้อบดสับละเอียดก็ได้ที่แล้ว
นางคุ้นเคยกับการใช้เนื้อไม่ติดมันมาทำเป็นไส้ซาลาเปา จากนั้นก็เติมเนื้อรมควันในปริมาณที่พอเหมาะ สับจนเป็นเนื้อบดละเอียด เวลากินจะได้ไม่ฝืดและเลี่ยนเกินไป
นางแบ่งเนื้อบดละเอียดออกเป็นสองส่วน ส่วนแรกเติมด้วยผักดองสับละเอียด อีกส่วนเติมด้วยเถามันเทศที่แช่น้ำแล้ว
ผักดองนั้นนางก็เป็นคนหมักเอง มีทั้งหมดสองไหใหญ่ ๆ เนื้อผักมีสีทองเหลือง กลิ่นเปรี้ยวแรง นำมาห่อซาลาเปาแล้วให้รสชาติไม่เลี่ยนแน่นอน
แป้งที่ใช้ห่อซาลาเปานั้นนางทำไว้ล่วงหน้าแล้ว และใช้ยีสต์ที่ซื้อทางออนไลน์ในระบบมาหมัก
คนในรัชสมัยเทียนลี่ส่วนใหญ่มักหมักแป้งตามธรรมชาติ กล่าวคือนำแป้งที่ผสมแล้วไปวางไว้ในที่อุ่น และให้ยีสต์ธรรมชาติที่เจืออยู่ในอากาศทำการหมัก แต่แป้งที่หมักออกมาเช่นนี้จะมีรสเปรี้ยว ดังนั้นซาลาเปาที่คนส่วนใหญ่เคยกินกันก็ล้วนมีรสเปรี้ยว
คนมีอันจะกินจะใช้ด่างในการหมัก คล้ายกับเบกกิ้งโซดาในสมัยปัจจุบัน แต่แป้งที่หมักออกมาจะมีรสฝาดขมของด่าง
ในตอนที่เฉียวเยี่ยนเพิ่งข้ามมิติมาก็ไปซื้อซาลาเปาสองลูก เมื่อนำเข้าปาก รสเปรี้ยวก็แผ่ซ่านออกมา ทำให้คิดว่าตัวเองซื้อซาลาเปาไส้บูดมาเสียอีก
ต่อมานางพบว่าในร้านค้าของระบบตัวน้อยมียีสต์ นางจึงซื้อมาเล็กน้อย แต่ไม่คิดเลยว่ายีสต์ถุงเล็ก ๆ นั้นต้องใช้คะแนนสองแต้ม ซึ่งก็เท่ากับสี่ตำลึง!
ในยุคนี้เงินสี่ตำลึงแทบจะซื้อที่ดินได้หนึ่งหมู่!
ดังนั้นความคิดที่จะขายซาลาเปาของนางจึงถูกปัดทิ้งไป เนื่องจากค่ายีสต์แพงเกินไป
เฉียวเยี่ยนโรยแป้งแห้งลงบนเขียงเล็กน้อย และใช้ไม้นวดแป้งรีดแป้งที่อยู่ในมืออีกข้างจนกลายเป็นแผ่นอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ใส่ไส้หนึ่งช้อนพูน แล้วห่อเป็นซาลาเปาเล็กสวยอย่างรวดเร็ว
ฮุ่ยเซียงมองจนอ้าปากตาค้าง ฝีมือในการห่อซาลาเปาของหวางเฟยนั้น บางทีพ่อครัวในตำหนักอาจจะเทียบไม่ติดเลยด้วยซ้ำ
แต่จะว่าดูดีมันก็ดูดี นางแค่รู้สึกว่ามันน่าเสียดายที่จะต้องใช้เนื้อมาห่อซาลาเปาเสียมากมายขนาดนี้ แม้จะทำมาจากแป้งหมี่ขาว แต่รสชาติแป้งนั้นทั้งเปรี้ยวทั้งฝาด ไม่ค่อยอร่อยจริง ๆ
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
สาวใช้คนหนึ่งโดนหวางเฟยซื้อตัวไปแล้ว อีกคนซื้อตัวด้วยอะไรดี?
ไหหม่า(海馬)