ชายาผู้นี้ชอบทำสวน พวกเจ้าจะยุ่งทำไม? – ตอนที่ 40 การค้นพบของมู่ฉินเจิน (รีไรท์)

ชายาผู้นี้ชอบทำสวน พวกเจ้าจะยุ่งทำไม?

ตอนที่ 40 การค้นพบของมู่ฉินเจิน (รีไรท์)

ตอนที่ 40 การค้นพบของมู่ฉินเจิน (รีไรท์)

หัวไชเท้าแต่ละหัวทั้งอวบใหญ่ทั้งขาว ฮ่องเต้ย่างพระบาทเข้าไปในแปลงหัวไชเท้าอย่างสนพระทัย จากนั้นก็ดึงหัวไชเท้าออกมา พบว่าหัวไชเท้านั้นยาวกว่าขาเขาเสียอีก ช่างน่าตกใจเสียจริง เขาเคยเห็นหัวไชเท้าที่มีขนาดใหญ่ยาวสุดก็แค่สองฝ่ามือ นี่เป็นครั้งแรกที่เห็นว่ามันมีขนาดใหญ่เพียงนี้

เฉียวเยี่ยนมาถึงอย่างเร่งรีบ ครั้นเห็นฝ่าบาทถือหัวไชเท้าใหญ่อยู่ก็กลืนไม่เข้าคายไม่ออก

“คารวะเสด็จพ่อเสด็จแม่ พวกท่านออกมาจากวัง ไยจึงไม่ส่งคนมาแจ้งล่วงหน้าเล่าเพคะ ลูกจะได้เตรียมตัว”

ฮองเฮาโอบหลานรักที่วิ่งมาอยู่ข้าง ๆ และเอ่ยด้วยรอยยิ้มสดใส “พวกเราก็แค่เปรี้ยวปาก เลยมาขอกินข้าวที่นี่”

พระดำรัสของฮองเฮาทำให้คนรอบ ๆ ขบขันขึ้นมา จนฮ่องเต้ถลึงพระเนตรใส่อย่างมีความหมายชัดเจน…ต่อหน้าผู้คนมิควรไว้หน้าเขาหน่อยรึ?

แต่กระนั้นก็ได้รับการกลอกพระเนตรกลับจากฮองเฮา

เขายิ้มแหย ถือหัวไชเท้าขึ้นมาถามเฉียวเยี่ยน “หัวไชเท้านี่เจ้าเป็นคนปลูกเองรึ? เหตุใดมันถึงได้ใหญ่กว่าหัวไชเท้าปกตินัก?”

เฉียวเยี่ยนอธิบายด้วยรอยยิ้ม บอกว่านางเก็บเมล็ดหัวไชเท้าที่เติบโตมาค่อนข้างใหญ่ไว้ และเลือกเมล็ดจากรุ่นสู่รุ่น

ฝ่าบาทสดับฟังจบก็พยักพระพักตร์ราวกับคิดสิ่งใดอยู่

อันที่จริงแล้ว หัวไชเท้านี้เป็นพันธุ์ใหม่ที่เฉียวเยี่ยนผสมข้ามสายพันธุ์ระหว่างหัวไชเท้าที่ซื้อจากระบบและหัวไชเท้าที่มีอยู่ในราชวงศ์เทียนลี่

หัวไชเท้าในสมัยปัจจุบันนั้นมีขนาดใหญ่แต่ไร้รสชาติ ในขณะที่หัวไชเท้าสมัยโบราณมีขนาดเล็กทว่ามีรสชาติอร่อย เมื่อนำทั้งสองมาผสมเข้าด้วยกันก็จะได้หัวไชเท้าพันธุ์ใหม่ที่ทั้งใหญ่ทั้งอร่อย

ฮ่องเต้ลูบเคราตัวเอง ทอดพระเนตรทุ่งหัวไชเท้าอย่างพอพระทัย และครุ่นคิดว่าจะไถที่สักแห่งปลูกผักในพระราชวังดีหรือไม่ ยามปกติหากเขาเหนื่อยจากการอ่านสาส์นและตอบสาส์น ก็ยังสามารถไปเดินเล่นฆ่าเวลาได้ด้วย

เมื่อคิดดังนี้ เขาก็รู้สึกอิจฉาพระโอรสขึ้นมาเล็กน้อย ดูเหมือนต้องโยนบัลลังก์นี้ให้อีกฝ่ายเร็วหน่อยแล้ว!

ขณะที่เชิญฮ่องเต้และฮองเฮาเสด็จผ่านสวนผักเข้ามาในเรือน ระหว่างทางก็ปรากฏแปลงผักเล็ก ๆ สองสามแห่ง ฮองเฮาก็ไม่อาจเสด็จต่อได้

เหตุใดแปลงผักเล็ก ๆ เรียบร้อยนั้นถึงดูน่าดึงดูดนัก ผักกาดขาวอ่อนนุ่ม ต้นหอมกุยช่ายเขียวแวววาว ผักอื่น ๆ ก็เติบโตอย่างแข็งแรง มันทำให้พระนางอยากขุดขึ้นมาไว้ในตำหนักคุนหนิงสักแปลง

หลังจากเชิญฮ่องเต้และฮองเฮามาถึงห้องโถงหลัก เฉียวเยี่ยนก็สั่งให้คนรับใช้ชงชา แล้วถามผู้อาวุโสทั้งสองว่าอยากเสวยอะไร

ในเมื่อฮองเฮาได้ชี้แจงอย่างชัดเจนว่ามาที่นี่เพื่อเสวยพระกระยาหารมื้อเย็น นางซึ่งเป็นพระสุณิสาย่อมต้องเตรียมให้ดี ต้องทำให้ผู้เฒ่าทั้งสองรับประทานอย่างเพลิดเพลิน

ฮ่องเต้ครุ่นคิด พลันนึกถึงเนื้อแพะย่างที่เคยกินตอนอยู่ในสงครามชายแดนซีเป่ย[1]เมื่อยังเยาว์วัย ผ่านไปหลายปีแล้ว เขาก็ไม่เคยได้ลิ้มลองรสชาตินั้นอีกเลย

เขาเล่าเรื่องราวสู้รบในอดีตที่ผ่านมาอย่างคะนึงหา เด็กน้อยทั้งสองเงยหน้าฟังอย่างตั้งใจ ส่วนเฉียวเยี่ยนก็สั่งให้ข้ารับใช้ไปซื้อแพะที่ตลาด

ชาวบ้านในเขตแดนซีเป่ยดำรงชีวิตด้วยการกินผักหญ้า เนื้อสัตว์หลักล้วนเป็นเนื้อวัวเนื้อแพะ ดังนั้นพวกเขาจึงมีความชำนาญในการปรุงเนื้อวัวเนื้อแพะ และปรุงออกมาได้ดีมาก

ในตอนที่เฉียวเยี่ยนอยู่ในสมัยปัจจุบัน นางเองก็ชอบกินเนื้อแพะย่างทั้งตัว ขาแพะย่าง และซาลาเปาไส้เนื้อแพะมาก ในตอนที่ไปเที่ยวซีเป่ย นางได้เรียนรู้จากเถ้าแก่ร้านข้างถนนในท้องถิ่นมาด้วย ดังนั้นเนื้อแพะย่างที่ทำจึงเป็นต้นตำรับโดยเฉพาะอย่างแน่นอน

เด็กน้อยทั้งสองดึงผู้เฒ่าทั้งสองไปเยี่ยมชมสวนผัก เรือนเพาะกล้า และเรือนกระจกของมารดา ส่วนเฉียวเยี่ยนก็ไปเตรียมทำอาหารในห้องเครื่อง

วันนี้เป็นวันที่ยิ่งใหญ่ นางจึงไปที่ห้องเครื่องใหญ่และให้พ่อครัวสองสามคนเป็นลูกมือ

ข้ารับใช้ได้ซื้อแพะกลับมาแล้ว เป็นเนื้อที่คนขายเนื้อเพิ่งฆ่ามาสดใหม่ เฉียวเยี่ยนจึงหั่นเนื้อสองชิ้นเตรียมนำมาห่อซาลาเปา

เนื้อแพะที่เหลืออยู่ทั้งหมดก็นำมาล้างทำความสะอาด และหมักกับซอสที่นางเตรียมไว้ หมักไว้สองชั่วยามก็พร้อมย่างได้แล้ว

ส่วนเนื้อแพะที่หั่นไว้ก็นำมาบดละเอียด เพิ่มต้นหอม ขิงสับละเอียด เหล้าเหลือง และซีอิ๊วลงไป จากนั้นก็ตั้งน้ำมันให้เดือดในหม้อ ใส่ฮวาเจียวแห้งลงไปเจียวให้หอม แล้วนำน้ำมันที่เจียวจนหอมเทใส่ลงในเนื้อแพะบด จากนั้นเพิ่มเครื่องปรุงรสคลุกเคล้าให้เข้ากันและหมักทิ้งไว้

เฉียวเยี่ยนวุ่นอยู่ในห้องเครื่อง ส่วนฮ่องเต้และฮองเฮาที่เข้าไปในเรือนกระจกก็ตกพระทัยอย่างมาก

พวกเขาได้ยินเรื่องที่เฉียวเยี่ยนสร้างบ้านปลูกผักนานแล้ว แต่ไม่ได้สนพระทัยนัก ปล่อยให้นางทำตามใจ ทว่ายามนี้เห็นต้นไม้เขียวขจีในเรือนกระจก ถึงได้รู้ว่าเป็นพวกเขาที่ใจแคบเอง

ในบ่อเพาะกล้ามีถาดเพาะกล้าลอยอยู่บนนั้นอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ผักที่อยู่ในนั้นเติบโตสม่ำเสมอเหมือนใช้ไม้บรรทัดวัด เรียงกันเป็นระเบียบ สีเขียวแวววาวทั้งผืน

เดือนสิบเอ็ด อากาศในเมืองหลวงเย็นมากแล้ว ผ่านไปอีกไม่กี่วันก็น่าจะมีหิมะตก ด้านนอกเย็นเยือกทั้งบริเวณ แต่ด้านในเรือนกระจกกลับอบอุ่น ไปที่ไหนก็มีสีเขียวขจี ประหนึ่งถึงวสันตฤดูแล้ว

ฮ่องเต้และฮองเฮาตะลึงจนพูดไม่ออก ก่อนที่เด็กน้อยทั้งสองจะจูงพวกเขาไปดูกล้าผักที่อยู่บนชั้นเพาะเลี้ยง

ด้านข้างชั้นเพาะเลี้ยงมีข้ารับใช้ในชุดคนงานสะอาดสะอ้านกำลังรดพ่นสารละลายธาตุอาหารให้กับต้นกล้า ฝ่าบาทลูบเครามองอย่างรู้สึกยากจะทนไหว เขาต้องสร้างมันไว้ในพระราชวังสักหลัง จะได้มีอะไรแปลกใหม่บ้าง!

ฮองเฮาเองก็ปรารถนาแบบนั้นเช่นกัน และจินตนาการไปแล้วว่าได้สร้างเรือนกระจกอยู่ในตำหนักคุนหนิง จากนี้ไปพระนางจะได้ปลูกผักรดน้ำผักทุกวัน ไม่ต้องไปตบตีแย่งชิงอะไรอย่างน่าเบื่อหน่ายกับศัตรูเก่า

ฮ่องเต้ไม่พอพระทัยที่ทำได้เพียงมอง จึงตรัสสั่งบ่าวให้ไปเอาฝักบัวรดน้ำมา และเรียนรู้ที่จะรดน้ำต้นกล้า

ผู้เฒ่าทั้งสองเข้าไปในเรือนกระจกและไม่ยอมออกมา หลังจากเฉียวเยี่ยนได้ยินข้ารับใช้รายงานก็พลันกลืนไม่เข้าคายไม่ออก

หลังจากยามโหย่ว มู่ฉินเจินกลับมาจากค่ายทหาร ทันทีที่ก้าวเข้ามาในจวนก็ได้ยินลุงฉูรายงานว่าฮ่องเต้และฮองเฮาเสด็จมาเยือน เขาไม่ได้สนใจมากนัก แค่ใช้หัวแม่เท้าคิดยังรู้ว่าผู้เฒ่าทั้งสองมาขอกินข้าวด้วย

เฉียวเยี่ยนกลับมาห้องเครื่องเล็กในเรือนจิ่งเสวียนและต้มซวนเหมยทัง[2] อีกเดี๋ยวกินปิ้งย่างจะได้แก้เลี่ยนได้

นางใช้คะแนนซื้อเสวี่ยปี้ (น้ำสไปรท์) ขวดใหญ่สองขวดมาจากระบบ เฉียวเยี่ยนนำเสวี่ยปี้เทลงในโอ่งดินเผาใหญ่สองใบเหมือนขโมย จากนั้นก็รีบนำขวดพลาสติกทั้งสองทิ้งเข้าไปในเตาไฟเผาประหนึ่งทำลายหลักฐาน

ความจริงแล้วนางรู้สึกเสียดายมากที่เผาขวดพลาสติกใหญ่ทิ้ง ของสิ่งนี้มีค่ามากในยุคนี้ จะนำมาใช้ใส่น้ำห้อยเป็นกระติกน้ำในปัจจุบันก็ยังได้

แต่น่าเสียดายก็ส่วนน่าเสียดาย หากเก็บขวดทั้งสองไว้มันจะดูสะดุดตาเกินไป และยากจะอธิบายได้เมื่อคนอื่นเห็นมันเข้า

มู่ฉินเจินไม่ได้ไปพบฮ่องเต้และฮองเฮาที่เรือนกระจก เขาก้าวไปทางห้องเครื่องหาเฉียวเยี่ยนอย่างเชื่องช้า เมื่อถึงหน้าประตู ก็เห็นเฉียวเยี่ยนโยนของบางอย่างลงไปในเตาไฟอย่างลับ ๆ ล่อ ๆ

เขาครุ่นคิดครู่หนึ่ง ไม่เอื้อนเอ่ยสิ่งใด ทว่าระบบตัวน้อยเห็นเขาแล้ว จึงเอ่ยเตือนขึ้นมา

[ท่านโฮสต์ คนของท่านอยู่หน้าประตูห้องเครื่อง!]

เฉียวเยี่ยนตัวแข็งทื่อ คงไม่ถูกเขาจับได้หรอกใช่ไหม?

[น่าจะยังจับไม่ได้ ตอนนี้ท่านหันหลังให้เขาอยู่ อย่างมากที่สุดเขาแค่เห็นท่านเผาของบางอย่าง แต่มองเห็นไม่ชัดว่าท่านเผาอะไร]

เฉียวเยี่ยนโล่งใจ ไม่เห็นก็ดี เป็นแบบนี้นางยังหาทางบิดพลิ้วไปได้อยู่

นางลุกขึ้น แสร้งทำเป็นเหมือนเพิ่งเห็นมู่ฉินเจิน “ท่านกลับมาแล้วหรือ งานวันนี้ราบรื่นดีหรือไม่?”

มู่ฉินเจินพยักหน้าเล็กน้อย ดวงตาคู่งามนั้นจ้องมองใบหน้าเฉียวเยี่ยน

แม้นางจะแสดงได้อย่างไม่สะทกสะท้าน ทว่าเขาดูออกว่านางกำลังกลบเกลื่อนท่าทางลนลาน

ที่นางเผาเมื่อครู่มันคือสิ่งใด?

เฉียวเยี่ยนถูกเขาจ้องจนรู้สึกประหม่า จึงเอ่ยเปลี่ยนเรื่อง “ข้าเตรียมจะต้มซวนเหมยทัง แล้วก็ทำผลไม้แดงกับบ๊วยเชื่อม หากท่านไม่ได้ยุ่งอะไร ก็ช่วยข้าล้างผลไม้แดงที”

ในราชวงศ์เทียนลี่มีมะเขือเทศแล้ว ทว่าผู้คนเรียกมันว่าผลไม้แดง อีกอย่างมะเขือเทศของที่นี่มีผลเล็กมาก คล้ายกับมะเขือเทศราชินีในสมัยปัจจุบัน ทว่ารสชาติไม่เลวนัก

“อืม”

มู่ฉินเจินตอบตกลง ไม่ได้เค้นถามอะไร

ทุกคนล้วนมีความลับของตัวเอง บางทีเขาอาจจะต้องรอถึงวันที่นางยอมบอกก็ได้

หัวใจเฉียวเยี่ยนหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม นางส่งอ่างไม้ให้เขาหนึ่งใบ มู่ฉินเจินรับมาเปิดน้ำใส่ และล้างผลไม้แดงอย่างตั้งใจ

เฉียวเยี่ยนมองเขาที่สวมชุดคลุมสีขาวแสงจันทร์ก็รู้สึกเสียดายหากเสื้อผ้าดี ๆ เช่นนี้สกปรก จึงหยิบผ้ากันเปื้อนสะอาดมาหนึ่งผืน และโอบเอวเขาจากด้านหลัง มัดผ้ากันเปื้อนให้เขาอย่างตั้งใจ

[1] แดนซีเป่ย เขตตะวันตกเฉียงเหนือ ปัจจุบันคือแถบมณฑลมองโกเลียในและเขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์

[2] ซวนเหมยทัง หรือน้ำบ๊วยเปรี้ยว เป็นเครื่องดื่มของชาวจีนที่นิยมดื่มในช่วงฤดูร้อน มีสรรพคุณปรับปรุงระบบย่อยอาหาร และช่วยยับยั้งการสร้างกรดแลคติคในร่างกาย

………………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

ฮ่องเต้กับฮองเฮากู่ไม่กลับแล้ว อีกไม่นานคงมีเรือนกระจกในพระราชวังแน่นอน

น่าจะเอาขวดเปล่าคืนให้ระบบไปรีไซเคิลใหม่ ทำแบบนี้ก็พิราบพิรุธมาเต็มเลยน่ะสิอาเยี่ยน

ขอโทษนะ แต่ท่าทางผูกผ้ากันเปื้อนให้ท่านอ๋องมันเหมือนผูกเอี๊ยมกันเปื้อนให้เด็กโข่งคนหนึ่งก่อนกินข้าวเลยอะ

ไหหม่า(海馬)

ชายาผู้นี้ชอบทำสวน พวกเจ้าจะยุ่งทำไม?

ชายาผู้นี้ชอบทำสวน พวกเจ้าจะยุ่งทำไม?

Status: Ongoing
หลังตกภูเขาตายก็ได้มาเกิดใหม่ในร่างชายาอ๋องผู้ถูกเนรเทศที่กำลังคลอดบุตร​ แถมได้อยู่ในบ้านอันรกร้างมีแค่ที่ดินเปล่าๆ​ ผืนหนึ่งและระบบตัวช่วยชาวสวนที่จ้องแต่จะหักแต้มหากขี้เกียจ ต่อจากนี้ฉันจะทำยังไงดี?เรื่องย่อ: หลังพลัดตกภูเขาลงมาตาย​ วิญญาณของเฉียวเยี่ยนก็ได้มาเข้าร่างของหญิงสาวผู้หนึ่งที่กำลังท้องแก่ใกล้คลอดบุตร​อย่างไม่ทันตั้งตัว​ พอตั้งตัวได้ก็ต้องปวดหัวกับเรื่องที่พบเจอ​ ได้แก่…​ 1.ตนเป็นชายาอ๋องที่มีความผิดฐานบังคับจิตใจสามีจนถูกเนรเทศ​มาอยู่ในบ้านโกโรโกโสแห่งนี้​ 2.ตนมีลูกกับเขาผู้นั้นแล้ว​ และยังเป็นลูกแฝด​ชายหญิง 3.ตนมีระบบปลาเค็มคอยเป็นผู้ช่วยในภารกิจต่างๆ​ ติดตัวมาด้วย​ แต่ดูเหมือนจะเป็นเจ้าหนี้นอกระบบมากกว่า​ ถ้าไม่ทำงานสร้างเนื้อสร้างตัวก็จะโดนหักแต้มเฉียวเยี่ยนจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องงัดวิชาความรู้ทั้งหมดมาใช้ในการทำสวน​ หาเลี้ยงลูก​ สร้างฐานะให้ตัวเอง… ลำพังตัวข้าคนเดียวก็ทำได้โดยไม่ต้องพึ่งสามีอ๋องโบ้ผู้นั้นกระมัง?

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท