ตอนที่ 55 หน้าด้านเป็นพิเศษ ด้านแบบไม่สะท้านสะเทือน (รีไรท์)
ตอนที่ 55 หน้าด้านเป็นพิเศษ ด้านแบบไม่สะท้านสะเทือน (รีไรท์)
ฤดูวสันต์ในเดือนสาม น้ำแข็งหิมะเริ่มละลาย ทุกสรรพสิ่งฟื้นตัว ต้นไม้ที่เคยแห้งโล้นในฤดูหนาวก็แตกหน่อผลิใบใหม่เขียวขจี
ในช่วงเวลานี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรสำหรับเหล่าผู้รากมากดี พวกเขาเพียงแค่รู้สึกว่าอากาศอบอุ่นขึ้นมาหน่อยก็เท่านั้น แต่สำหรับเกษตรกรปลูกผักอย่างเฉียวเยี่ยน นี่คือวันสำคัญที่สุดจากตลอดทั้งปี
ในช่วงฤดูหนาวที่หนาวเย็นที่สุด เฉียวเยี่ยนได้ทำตารางการเพาะปลูกมาหลายใบแล้ว เหล่าผู้ร่วมหุ้นล้วนจริงจังตั้งใจกว่าเหล่าบัณฑิตสอบคัดเลือกขุนนางในช่วงวสันตฤดูเสียอีก
ทุกมุมทุกส่วนของตำหนักอ๋องล้วนถูกเฉียวเยี่ยนนำมาใช้ปลูกผัก แม้แต่ดินเลนข้างบึงบัวก็ถูกแบ่งมาปลูกเจียวไป๋[1] เนื้อที่ปลูกผักในเรือนกระจกก็ถูกนางจัดสรรอย่างเป็นระบบระเบียบ เรียงต่อ ๆ กันจนไม่มีช่องว่าง
ผักในเรือนกระจกขายดีมาก นอกจากเหล่าเจ้าขุนมูลนายที่มาซื้อผักแล้ว ภัตตาคารอื่น ๆ ที่เจ็บปวดใจอยู่ช่วงหนึ่งก็จำต้องมาสั่งซื้อผักกับเฉียวเยี่ยน
เมื่อไม่มีผักสดใหม่ ลูกค้าในภัตตาคารของพวกเขาต่างก็ผละจากไปจนหมด แต่ถึงกระนั้นเหล่าลูกค้าก็ยังคงแห่แหนไปที่หอฮวาอวิ้นเป็นจำนวนมาก
เพราะอะไรนะรึ?
เพราะอาหารของพวกเขามีหลากหลาย และราคาถูกกว่าภัตตาคารอื่น!
ราคาผักที่เฉียวเยี่ยนขายล้วนสูงกว่าปกติอยู่แล้ว เมื่อพวกเขานำมาแปรรูปเป็นอาหาร ราคาก็ยิ่งสูงขึ้นอย่างแน่นอน หากเป็นเช่นนี้ต่อไป เหล่าลูกค้าคงไม่ยอมมาแน่
หลังจากต่อสู้มาสองเดือน รายได้ของหอฮวาอวิ้นก็มีมากพอให้เฉียวเยี่ยนกลับมาอู้ฟู่เหมือนเดิมแล้ว และระบบตัวน้อยก็เพิ่มระดับขึ้นไปหนึ่งระดับ
เมื่อเอ่ยถึงเรื่องนี้ นางก็โมโหขึ้นมาเล็กน้อย ผู้นำระบบของระบบตัวน้อยใจร้ายมาก นางต้องหาเงินเกือบสี่หมื่นตำลึงถึงจะเพิ่มขึ้นมาหนึ่งระดับได้ และยิ่งมีระดับที่สูงขึ้น ไม่แน่ว่าอาจจะต้องการเงินสูงมากขึ้นด้วย
นอกจากตำหนักอ๋องและเรือนกระจกแล้ว สิ่งที่เฉียวเยี่ยนยิ่งสนใจก็คือที่ดินสองพันหมู่ของนาง ก่อนหน้านี้ได้รับที่ดินมาหนึ่งพันหมู่เพราะรับปากว่าจะกลับมาเมืองหลวงกับมู่ฉินเจิน ต่อมาฮ่องเต้พระราชทานเป็นรางวัลให้อีกหนึ่งพันหมู่ และตอนนี้นางก็เป็นเจ้าของที่ดินถึงสองพันหมู่แล้ว!
เฉียวเยี่ยนยังไม่รู้ว่าเงินสามหมื่นตำลึงและที่ดินหนึ่งพันหมู่ที่นางได้ล้วนเป็นพระราชโองการปลอมที่ท่านอ๋องทำให้มาจนถึงทุกวันนี้
พื้นที่สองพันหมู่ส่วนใหญ่ถูกนางจัดสรรปลูกมันเทศและพริก ส่วนน้อยที่เหลือก็ใช้ปลูกพืชท้องถิ่น
ให้นางมาปลูกผักในที่ดินสองพันหมู่เพียงคนเดียว ก็อาจจะต้องขุดไถไปถึงปีหน้า และอาจจะขุดไถไม่ถึงหนึ่งในสามส่วน นางจึงตั้งใจจะทำสัญญาเช่าเหมาที่ดินกับชาวบ้านในละแวกนั้น ให้พวกเขาช่วยเหลือโดยไม่เก็บค่าเช่า และให้เงินตอบแทนทุกเดือน รอพืชผลเก็บเกี่ยวได้แล้ว นางจะเก็บเกี่ยวเอามาทั้งหมด
นอกเหนือจากที่ดินสองพันหมู่ แผนการไถที่ในพระราชวังก็ต้องเริ่มแล้ว ไม่เช่นนั้นจะพลาดช่วงเพาะปลูกในฤดูใบไม้ผลิ
มันเทศที่ปลูกในเรือนกระจกปีที่แล้วเติบโตขึ้นมาแล้ว เพราะมู่ฉินเจินเคยบอกนางว่าฮ่องเต้ตั้งพระทัยจะไถที่ทำสวนด้วยพระองค์เอง และกระตุ้นให้เหล่าเกษตรกรปลูกมันเทศ ดังนั้นกล้ามันเทศในเรือนกระจกนั้นล้วนเก็บหัวมันเทศ เถามันเทศ และท่อนพันธุ์ไว้ ไม่ได้ทำไปแบบสิ้นเปลืองเลยแม้แต่น้อย
แค่คิดเรื่องที่จะทำการเพาะปลูกในฤดูใบไม้ผลิเพียงเล็กน้อย เฉียวเยี่ยนก็หวังว่าตัวเองจะเป็นเหมือนอย่างซุนหงอคง แค่ถอนขนออกมาหย่อมหนึ่งก็สามารถแยกร่างนับไม่ถ้วนได้
เวลาของนางจะไม่พอแล้วจริง ๆ!
แต่ยังไม่ทันให้นางได้เริ่มปลูกผัก ลูกทั้งสองของนางก็หาเรื่องมาให้
เรื่องอะไรนะรึ?
เหล่าสหายน้อยของลูกทั้งสองเตรียมจะมากินข้าวที่ตำหนักอ๋องซู่น่ะสิ!
ตั้งแต่เด็กทั้งสองไปเรียน เฉียวเยี่ยนได้เตรียมกล่องข้าวที่ทั้งอร่อยและสวยงามให้พวกเขาทุกวัน ทำให้เหล่าหัวไชเท้าน้อยร่วมชั้นอิจฉาจะแย่แล้ว
มีเด็กน้อยสองสามคนเคยได้ลองชิมอาหารของเจ้าปลาอ้วน ก็กลับไปงอแงอยากให้พ่อครัวในจวนทำออกมาเหมือนกัน แต่พ่อครัวทำอย่างไรก็ทำรสชาติออกมาไม่เหมือนเฉียวเยี่ยน ด้วยเหตุนี้เหล่าบรรพบุรุษตัวน้อยจึงต่างงอแงไม่ยอมกินข้าว ทำให้เหล่าเหนียงเหนียงและฮูหยินต่างกลัดกลุ้ม
แม้แต่เฟิงหยางที่กินข้าวที่หวางเฟยเตรียมไว้ให้ทุกวันก็โอ้อวดไปทั่วทุกที่ในวัง และสร้างคลื่นแห่งความเกลียดชังในหมู่ข้ารับใช้ที่เรียนเป็นเพื่อน แต่พวกเขาจะทำอย่างไรได้ ได้เพียงแค่สูดดมกลิ่น กลืนน้ำลายสองอึก และกินต้มผักกาดขาวของตัวเองอย่างแค้นเคือง
เมื่อเฉียวเยี่ยนได้ยินเด็กน้อยทั้งสองบอกว่าเชิญสหายร่วมชั้นมาเล่น นางก็สนับสนุน เพราะหากพวกเขามีสหายมากก็จำเป็นอย่างยิ่งต่อการเติบโตของพวกเขา
ดังนั้นนางจึงเขียนเทียบเชิญอย่างเป็นทางการ และให้ลุงฉูไปส่งคำเชิญให้แต่ละครอบครัวด้วยตนเอง แม้แต่พวกที่มีจุดยืนด้านการเมืองตรงข้ามกับตำหนักอ๋องซู่เองก็ไม่พลาด ผู้ใหญ่ไม่ถูกกันก็เป็นเรื่องของผู้ใหญ่ เรื่องของเด็ก ๆ นั้นนางไม่สน ขอแค่พวกเขามาเล่นก็เพียงพอแล้ว
แต่ละจวนที่ได้รับเทียบเชิญอย่างกะทันหันต่างรู้สึกมึนงงเล็กน้อย ทว่าหลังจากได้ยินบรรพบุรุษตัวน้อยของตัวเองบอกว่าจะไปกินข้าวที่ตำหนักอ๋องซู่ก็เข้าใจทันที เพียงแต่มีบางคนสีหน้าไม่ค่อยสู้ดีนัก แต่บางคนกลับรู้สึกยินดี
คนส่วนใหญ่ที่มีสีหน้าไม่ค่อยดีล้วนเป็นเพราะเสียหน้า ถึงอย่างไรพวกเขาก็เป็นผู้ลากมากดี แต่ลูก ๆ ของพวกเขากลับเอาแต่บอกว่าจะไปกินข้าวที่ตำหนักอ๋องซู่ แล้วจะให้พวกเขาเอาหน้าไปไว้ที่ไหน!
ส่วนคนที่ยินดีล้วนมีความคิดที่จะไปเรียนรู้กับซู่หวางเฟย แต่ความเป็นจริงถูกเจ้าปีศาจน้อยสร้างปัญหาจนทนไม่ไหว เอาแต่งอแงไม่ยอมกินข้าวทุกวัน ทำให้พวกเขากลุ้มใจจะแย่แล้ว
จวนอัครเสนาบดีก็ได้รับเทียบเชิญเช่นกัน อี้เกิงหรู ลูกนอกสมรสที่ปีนี้มีอายุเจ็ดขวบอยู่ชั้นเรียนเดียวกันกับเด็กทั้งสอง แม้จะไม่สนิทสนมกันมาก แต่ก็ไม่มีความคับแค้นใจอะไร
หลังจากอี้จื่อจิ้นรู้ว่าเฉียวเยี่ยนส่งเทียบเชิญมาก็ไม่พอใจยิ่งนัก แค่หญิงโง่คนหนึ่ง สร้างของแปลกหาได้ยากออกมาไม่เท่าไรก็คิดว่าตัวเองมีความสามารถแล้ว ดึงคนอื่นมาเป็นพวกอย่างหน้าด้าน ๆ!
นางอยากเห็นนักว่าจะมีผู้ใดไปและไม่กลัวขายหน้า!
วันที่เจ็ด ต้นเดือนสาม เหล่าเด็ก ๆ ได้หยุดพักผ่อน และเป็นวันที่เฉียวเยี่ยนต้องจัดงานเลี้ยง อี้จื่อจิ้นก็จับจ้องการเคลื่อนไหวของแต่ละจวนมาโดยตลอด และรอดูเรื่องตลกของเฉียวเยี่ยน
ทว่านางคิดผิดมหันต์ ไม่เพียงแต่มีคนไปเท่านั้น แต่ทุกคนที่ได้รับเทียบเชิญล้วนมาที่นี่กันหมด แม้แต่เฉินอี๋เหนียง[2]แห่งจวนอัครเสนาบดีก็พาลูกชายมา อีกทั้งท่านอัครเสนาบดียังออกปากให้มาเสียด้วย
อี้จื่อจิ้นได้รับข่าวนี้ก็เดือดดาลจนกวาดแจกันโบราณสองสามใบตกแตกหมด นางคิดว่าคนเหล่านี้บ้าไปแล้ว ถึงได้ไปประจบประแจงเลียแข้งขาเฉียวเยี่ยนราวกับสุนัข!
เหตุใดนะรึ?
ก็เป็นเพราะอีกฝ่ายแต่งงานกับอ๋องซู่น่ะสิ! ซึ่งทั้งหมดนี้ควรเป็นนางตั้งแต่แรก!
อี้จื่อจิ้นยิ่งคิดก็ยิ่งไม่พอใจ ขึ้นรถม้าตามเฉินอี๋เหนียงไป นางเองก็ถือว่าเป็นพี่สาวของน้องชายนอกสมรส หากไปร่วมงานเลี้ยงกับน้องชายก็น่าจะไม่มีใครพูดอะไร?
ในตอนเช้าตำหนักอ๋องซู่ก็ครึกครื้นขึ้นมา ลุงฉูพาเหล่าข้ารับใช้ไปต้อนรับแขกที่หน้าประตู เด็กน้อยทั้งสองก็รอสหายอยู่หน้าประตูเช่นกัน
ประมาณยามซื่อ ทุกจวนที่ได้รับเทียบเชิญก็มาถึง ผู้มาเยือนล้วนเป็นมารดาผู้ให้กำเนิดหรือไม่ก็ท่านยาย ทันทีที่พวกเขาเข้าไปในตำหนักอ๋องซู่ก็เห็นแปลงผักกว้างขวาง ทำให้คนทั้งหมดต่างแสดงสีหน้าหลากหลายออกมา
บ้างก็รู้สึกว่าแปลกใหม่ บ้างก็เหยียดหยามไม่ชอบใจ และบางคนก็รู้สึกว่าไม่เลวเลย
แปลงผักเหล่านี้เพิ่งขึ้นแปลงเสร็จ ยังไม่ได้ปลูกอะไรไว้ ดังนั้นพอมองออกไปก็จะดูโล่งว่างเปล่า เต็มไปด้วยดินฝุ่น
อี้จื่อจิ้นอยู่ท่ามกลางฝูงชน เห็นตำหนักอ๋องที่ดูดีถูกไถทำสวนไปทั่ว ความโกรธเกรี้ยวก็พรั่งพรูขึ้นมาในหัวใจ รู้สึกไม่คุ้มค่าแทนอ๋องซู่
หากนางได้เข้ามาในตำหนักนี้ จะจัดการตำหนักอ๋องให้เป็นระเบียบเรียบร้อย ไม่ให้เขาขายหน้าแน่นอน
หากเฉียวเยี่ยนรู้ความคิดนี้ของอีกฝ่ายคงต้องหัวเราะขบขันออกมาอย่างแน่นอน นางไม่มีวันขายหน้าหรอก หน้านางหนามากจนไม่รู้สึกสะท้านสะเทือนเลยแม้แต่น้อย!
ทันทีที่กลุ่มหัวไชเท้าน้อยเข้ามาในตำหนัก พวกเขาก็ถูกเด็กทั้งสองพาไปสำรวจในตำหนัก ฮูหยินบางคนไม่สบายใจ จึงให้สาวใช้ที่ติดตามมาตามไปด้วย
เฉียวเยี่ยนสั่งการพ่อครัวทำอาหารในห้องเครื่องใหญ่ เมื่อคนมาถึงพอประมาณแล้ว นางก็ออกมาต้อนรับ และเชิญทุกคนไปยังห้องโถงหลักที่ลานหน้าบ้าน
เครื่องดื่มและผลไม้จำนวนมากได้ถูกเตรียมไว้ในห้องโถงหลักแล้ว ทุกคนสามารถนั่งลงและสนทนากันได้
แต่บทสนทนาส่วนใหญ่ล้วนไม่จริงใจ คนส่วนใหญ่ในนั้นที่สามีจะได้เลื่อนขั้นล้วนถูกสั่งให้มาดูสถานการณ์ในตำหนักอ๋องซู่ และยังมีคนที่มีเจตนาไม่ดีต่อท่านอ๋องซู่อยากถือโอกาสนี้เข้าใกล้ ตัวอย่างเช่นอี้จื่อจิ้น
[1] เจียวไป๋ (茭白) หรือหน่อไม้น้ำ เป็นแกนอ่อนของพืชน้ำชนิดหนึ่ง ต้นจะคล้าย ๆ ต้นหญ้าคา คนจีนนิยมนำมาทำเป็นอาหารโดยเอาตรงส่วนแกนอ่อน ๆ สีขาวมากิน
[2] อี๋เหนียง (姨娘) เป็นคำเรียกอนุภรรยา
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
หวางเฟยผู้นี้ไม่ได้หน้าบางเหมือนเธอนะคุณหนูอี้ ด่าอะไรมาไม่สะเทือนทรวงอยู่แล้ว เธอน่ะระวังโดนตอกกลับแบบไม่เหลือหน้าให้เย็บจะดีกว่า
ไหหม่า(海馬)