ตอนที่ 105 เด็กโข่งผู้อารมณ์เสีย
ตอนที่ 105 เด็กโข่งผู้อารมณ์เสีย
ในตอนเฉียวเยี่ยนพาเด็กทั้งสองกลับตำหนัก มู่ฉินเจินก็รออยู่หน้าประตำหนักแล้ว เขาเอามือไพล่หลัง สีหน้าเคร่งขรึม เหมือนกับผู้ปกครองที่รอเด็กซนผู้ไม่ยอมกลับบ้านเล็กน้อย
วันนี้เขาตั้งใจจบภารกิจของค่ายทหารโดยเร็ว และควบม้ากลับไปด้วยความดีใจ เดิมทีเขาคิดว่าสิ่งที่รอเขาอยู่คืออ้อมกอดและใบหน้ายิ้มแย้มของสามแม่ลูก แต่ผลที่ได้คือไม่เห็นแม้แต่เงาของพวกเขา
ครั้นถามพ่อบ้านถึงได้รู้ว่าเฉียวเยี่ยนพาลูกๆ ออกไปตั้งแต่เช้า จนตอนนี้ยังไม่กลับมาเลย
รถม้าที่เฉียวเยี่ยนนั่งมาถึงหน้าประตูจวนแล้ว ทันทีที่แยกม่านออกก็เห็นสีหน้าเหม็นบูดของท่านอ๋อง ก็รู้ว่าไหน้ำส้มสายชูของเขาคว่ำอีกแล้ว
แม้มู่ฉินเจินจะตีหน้าเย็นชาอยู่ แต่เมื่อเห็นสามแม่ลูกแล้วก็ยังเดินไปที่รถม้า และอุ้มพวกเขาลงมา
เฉียวเยี่ยนอุ้มเด็กทั้งสองส่งให้เขาก่อน หลังจากเขารับไปและวางลูกๆ ลงบนพื้น ก็รีบไปอุ้มเฉียวเยี่ยนที่เตรียมจะลงรถด้วยเองอีกครั้ง
ผู้คนรอบๆ ต่างคุ้นชินไปแล้ว ถึงอย่างไรเรื่องเช่นนี้ก็เกิดขึ้นบ่อยในตำหนักอ๋องซู่ของพวกเขา บางครั้งยังเห็นท่านอ๋องแบกหวางเฟยเดินเล่นอยู่ในสวนดอกไม้เลย
เฉียวเยี่ยนกอดคอเขาไว้อย่างเป็นธรรมชาติ และถามด้วยรอยยิ้ม “ท่านอารมณ์เสียอีกแล้วหรือ?”
มู่ฉินเจินเบือนหน้าไปทางอื่นอย่างแง่งอน ก่อนเอ่ยด้วยเสียงเย็นชา “ไม่มีอะไร”
เฉียวเยี่ยนหัวเราะออกมา และยกมือขึ้นบีบหน้าเขา ทำให้ริมฝีปากที่เม้มอยู่ของเขาย่นยู่ขึ้นมา นางเอ่ยคล้อยตามเขาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนราวกับกล่อมเด็กน้อย “ท่าทางของท่านไม่เหมือนคนที่ไม่ได้อารมณ์เสียเลย”
“ก็ได้ วันนี้ข้าเจอพี่ชายข้าในภัตตาคาร จึงกินข้าวกับเขามื้อหนึ่ง ถึงได้กลับมาสาย คนดี ไม่โกรธกันนะ ”
นางรู้สึกว่ามู่ฉินเจินน่ารักเป็นพิเศษ ยามเจอคนภายนอกเป็นช่อดอกไม้อยู่บนผาสูงตระหง่าน คนแปลกหน้ามิอาจเข้าใกล้ ยามทำเรื่องจริงจังก็เด็ดขาดแน่วแน่ แต่เมื่ออยู่ต่อหน้านาง กลับเหมือนเด็กโข่งที่ชอบอารมณ์เสียคนหนึ่ง
นางหอมเด็กๆ คนละหนึ่งฟอดแต่ไม่ได้หอมเขา เขาก็ตั้งท่างอนอยากจะเอารางวัล นางหอมลูกไปสองฟอดแต่หอมเขาฟอดเดียว เขาก็จะเล่นลูกไม้บอกว่านางไม่ยุติธรรม
บางครั้งเขาถูกขุนนางเสนาบดีแก่คนหนึ่งกล่าวโทษในราชสำนัก แต่ก็ทำเหมือนปล่อยผ่านไม่เก็บพวกเขามาใส่ใจ หรือใช้วิธีรุนแรงให้อีกฝ่ายลงจากอำนาจ แต่พอกลับมาถึงตำหนัก เขาก็กอดนางพร้อมบ่นออกมาเหมือนกับสุนัขตัวโตที่ถูกรังแก
เขายังมีนิสัยเล็กๆ น้อยๆ ที่น่ารักและย้อนแย้งมากมาย เฉียวเยี่ยนคิดอย่างไรก็คิดไม่ออกว่าชายคนนี้ทำเย็นชากับน่ารักที่ดูขัดแย้งกันแต่ไม่ขัดแย้งกันได้อย่างไร
หากเขาอารมณ์เสีย นางก็เต็มใจง้อ หากเขางอน นางก็จะเติมเต็มทุกความต้องการของเขา ในทำนองเดียวกัน เขาก็รองรับทุกอย่างที่เป็นนาง
เมื่อมู่ฉินเจินได้ยินคำพูดนาง ไอเย็นบนตัวเขาก็หายไป มุมปากที่เม้มเข้าหากันยกขึ้นเล็กน้อย แต่ใบหน้ากลับยังคงดูเหมือนโกรธอยู่
เสียงทุ้มต่ำของเขาเหมือนกับเจือไปด้วยความไม่พอใจ “ข้ายังไม่ได้กินข้าว อาหารเช้าของเช้าวันนี้ไม่อร่อยมาก”
วันนี้เขายุ่งมาก หลังจากเลิกว่าราชกิจเขาก็ตรงไปยังค่ายทหาร ข้าวที่กินก็เป็นข้าวหม้อใหญ่ที่ฝ่ายเสบียงเป็นคนทำ
ก่อนหน้านี้ไม่คิดว่าอาหารพวกนั้นจะไม่อร่อยเลย แต่ตอนนี้รสปากของเขาถูกเฉียวเยี่ยนยึดไปแล้ว กินไปได้แค่สองคำก็กินไม่ลง
เขาหอบความหิวกลับมาอยากกินอาหารที่ภรรยาทำให้ แต่ผลที่ได้ไม่เพียงแต่ไม่ได้กินเท่านั้น แม้แต่ร่างของภรรยาก็ไม่เห็น ท่านอ๋องอย่างเขาไม่ควรน้อยใจหรือ
เฉียวเยี่ยนขบขันกับชายตัวโตขี้งอนผู้นี้มาก จึงลูบศีรษะเขาครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยปลอบ “น่าสงสารจังเลย กลับไปข้าจะทำให้ท่านนะ และทำอาหารที่ท่านชอบที่สุดให้ด้วย”
มู่ฉินเจินที่ได้รับการง้อก็อุ้มนางตรงเข้าไปในตำหนักทันที มีเด็กน้อยทั้งสองก้าวขาสั้นๆ ตามหลังบิดาไป
กลุ่มข้ารับใช้ที่อยู่ด้านหลังเห็นท่าทางท่านอ๋องเช่นนี้ก็พากันส่ายหน้า เป็นอย่างที่คาดไว้ ท่านอ๋องก็ยังเป็นหมาที่สุด ข่างน่าสงสารเจ้านายน้อยทั้งสองจริงๆ ที่ต้องดูผู้ใหญ่สองคนพลอดรักกันทุกวัน
เฉียวเยี่ยนถูกมู่ฉินเจินอุ้มเดินไป นอกจากความเขินอายในตอนแรกเริ่ม ที่เหลือก็เป็นความสุข อีกทั้งยังซบอยู่บนบ่าเขา แล้วให้กำลังใจเด็กทั้งสองที่อยู่ด้านหลัง
เมื่อมีกำลังใจของท่านแม่ ขาสั้นๆ ของเด็กทั้งสองก็ยิ่งก้าวเร็วขึ้น และไม่รู้สึกว่าพฤติกรรมไร้ยางอายของพ่อแม่จะดูเหมือนพลอดรักกันเลยสักนิด
ครั้นกลับมาถึงเรือนจิ่งเสวียน เฉียวเยี่ยนก็ล้างมือก่อนไปทำอาหารอยู่ในห้องเครื่อง สามพ่อลูกก็อยู่ในห้องเครื่องเป็นเพื่อนนาง มู่ฉินเจินก่อไฟให้นาง เด็กน้อยทั้งสองนั่งอยู่ข้างเขาอย่างเชื่อฟัง และให้เขาดูแมวเหมียวน้อยที่เก็บได้วันนี้
เสี่ยวอวี๋เอ๋อร์ให้เขายื่นมือออกมา จากนั้นก็นำแมวน้อยตัวหนึ่งวางไว้บนฝ่ามือเขา มือของเขาใหญ่มาก ยิ่งทำให้ลูกแมวดูตัวเล็กตัวน้อยลงไปอีกอย่างชัดเจน
“ท่านพ่อ เราจะตั้งชื่อให้เจ้าแมวเหมียวว่าอะไรดีเจ้าคะ?”
มู่ฉินเจินยื่นมือค้างไว้ มองเจ้าก้อนสีส้มที่ดีดดิ้นไปมาบนฝ่ามือเขา และอดใจอ่อนไม่ได้
ตั้งแต่มีเด็กๆ เข้ามา ก็เหมือนเขาจะใจอ่อนง่ายเรื่อยๆ เมื่อเห็นของเล็กๆ อ่อนนุ่มเหล่านี้ ก็มักจะนึกถึงเด็กทั้งสอง
“พ่อก็ไม่รู้ว่าจะตั้งชื่ออะไร อวี๋เอ๋อร์กับฉวนเอ๋อร์มีความคิดอะไรหรือไม่?”
เด็กน้อยทั้งสองเค้นสมองคิดอย่างจริงจัง เจ้าปลาอ้วนคิดว่าสีของเจ้าแมวน้อยนั้นเหมือนกับส้มที่นางชอบรับประทานมาก
“เช่นนั้นไม่เรียกว่าเจ้าส้มไปเสียเลยล่ะ”
เฉียวเยี่ยนได้ยินชื่อนี้ก็หัวเราะออกมา และชมลูกสาวว่าตั้งชื่ออกมาได้ดี ผู้คนต่างบอกว่าแมวส้มสิบตัวอ้วนไปแล้วเก้าตัว แม้ตอนนี้เจ้าตัวน้อยนี้ยังเล็กผอมอยู่ แต่บางทีวันข้างหน้ามันก็อาจจะตัวอ้วนฟูจนกลายเป็นก้อนเนื้อก้อนกลมๆ ก็ได้
มู่ฉินเจินที่หลงลูกสาวกับเสี่ยวฉวนเอ๋อร์ที่หลงน้องสาวต่างก็เห็นด้วย อีกอย่างพวกเขาก็คิดว่าขื่อนี้เหมาะสมมาก
ในระหว่างที่พูดคุยหัวเราะกัน ข้าวในหม้อก็หุงสุกแล้ว เฉียวเยี่ยนยกหม้อนึ่งออก จากนั้นก็ทำความสะอาดหม้อแล้วเริ่มผัดอาหาร
วันนี้ห้องเครื่องใหญ่มีซี่โครงหมูสดใหม่ เฉียวเยี่ยนจึงนำมาสองสามท่อน ทำซี่โครงเปรี้ยวหวานให้สามพ่อลูก
นำน้ำตาลก้อนลงไปผัดในหม้อจนเป็นสีน้ำตาล แล้วค่อยเอาซี่โครงที่ล้างน้ำแล้วใส่ลงไปคลุกเคล้าให้เข้ากัน สุดท้ายเพิ่มซีอิ๊วกับน้ำส้มสายชูที่หมักจากข้าวลงไปอย่างละช้อน จากนั้นก็เพิ่มน้ำให้ท่วมซี่โครงหมู และตุ๋นซี่โครงจนอ่อนนุ่ม แล้วก็ใช้ไฟแรงให้น้ำปรุงรสค่อยๆ งวดลง
ซี่โครงหมูเปรี้ยวหวานที่หวานผสมเปรี้ยว เด็กทั้งสองชอบมาก แม้แต่มู่ฉินเจินผู้ใหญ่คนนี้ก็ชอบเช่นกัน
นอกจากซี่โครงเปรี้ยวหวาน เฉียวเยี่ยนยังทำต้มจืดฟักหมูแผ่น ตอนนี้เป็นปลายฤดูสารทแล้ว บรรยากาศแห้งแล้งมาก ดื่มน้ำแกงเสียหน่อยจะได้ไม่หัวร้อน
หลังจากรับประทานข้าวเสร็จ เด็กทั้งสองก็ลากมู่ฉินเจินไปสร้างที่พักให้กับแมว ส่วนเฉียวเยี่ยนกำลังวางแผนเรื่องโรงงานแปรรูปอาหารของนางอยู่ในห้องหนังสือ
หลังจากได้ตรวจสอบพื้นที่ในวันนี้เสร็จแล้ว ขั้นต่อไปก็หาคนไปจัดการทำความสะอาดและซ่อมแซมบ้าน และโครงสร้างภายในของบ้านด้านในก็ต้องแก้ไขด้วย
นางต้องการเปิดผนังกั้นในบ้านหลักที่มีพื้นที่ใหญ่สุดออก และเปลี่ยนมันให้เป็นโรงงานขนาดใหญ่ ถึงครานั้นจะได้สะดวกต่อกระบวนการผลิต
แล้วก็ยังมีม่านกั้น เตียงหลันฮั่น* ตั่งที่ทำมาจากไม้ซวนจือ** ในห้องเหล่านั้นต้องทำความสะอาด แล้วย้ายไปที่ลานหลังบ้านให้คนงานใช้
*เตียงจีนโบราณที่มีผนังกั้นสามด้าน
**ไม้ rosewood เป็นไม้ที่ได้จากต้นไม้ในสกุล Dalbergia ไม้ที่ดีจะมีสีดำสนิทเป็นเงา เมื่อตัดใหม่ๆ จะมีกลิ่นเปรี้ยวโชยออกมา
นางวางแผนจะเปลี่ยนห้องเหล่านี้เป็นห้องครัว สร้างเตาขนาดใหญ่สองสามเตา และสร้างปล่องไฟที่ผนังด้านนอก ทางที่ดีควรเปิดช่องรับแสงบนหลังคาสองแผ่น ถึงตอนนั้นจะได้ทำให้กลิ่นควันที่ฟุ้งอยู่ในห้องกระจายออกไป
นางจดความคิดของตัวเองลงกระดาษ แล้วแบ่งจัดการเป็นหมวดหมู่ จากนั้นก็หาคนมาเริ่มงานได้
วันนี้เฉียวจิ่นอยู่กับเฉียวเยี่ยนและเด็กทั้งสองตลอดวัน รู้สึกอารมณ์ดีมาก กระทั่งอาการแน่นหน้าอกกับหายใจถี่ตามปกติของเขาก็ทุเลาขึ้นไม่น้อย
หลังจากกลับมาที่จวน ก็ไม่สนท่าทางหยิ่งผยองของข้ารับใช้ เดินตรงไปยังหอพระเล็กๆ ที่ผู้เป็นแม่อาศัยอยู่ทันที
หอพระนั้นอยู่ห่างไกลมาก และเงียบสงบมากด้วย ปกติในวันธรรมดานอกจากเขาแล้วก็ไม่มีใครมาเลย
ทันทีที่เข้าลานไปก็ได้ยินเสียงมู่อวี๋ (ไม้ที่เคาะเวลาสวดมนต์) มารดากำลังท่องพระคัมภีร์และเคาะไม้มู่อวี๋ติดต่อกันมานานหลายปี ดูเหมือนนางจะไม่มีความคิดใดๆ ต่อโลกนี้แล้ว ไม่สุขไม่ทุกข์ และหมกมุ่นอยู่แต่ในโลกของตัวเอง
บางครั้งเขาถึงขั้นรู้สึกว่า หากไม่ใช่เพราะเขากับน้องสาวผูกมัดท่านเอาไว้บนโลกนี้ บางทีท่านอาจจะเลือกจากไปนานแล้ว
แต่วันนี้น้องหญิงบอกว่านางจะพาเด็กๆ มาหาท่านแม่แน่นอน ข่าวนี้น่าจะทำให้ท่านมีความสุขได้
………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
ใจเย็นน่าท่านอ๋อง หวางเฟยก็แค่ไปกินข้าวพูดคุยกับพี่ชายตัวเองเท่านั้น กะจะไม่ให้หวางเฟยมีสังคมพบปะผู้คนบ้างเลยเหรอท่าน
ไหหม่า(海馬)