ตอนที่ 124 มีแววว่าจะเป็นคนเจ้าชู้
ตอนที่ 124 มีแววว่าจะเป็นคนเจ้าชู้
ครั้นแช่เส้นมันเทศจนชุ่มน้ำแล้ว เฉียวเยี่ยนจึงเทน้ำออกจากหม้อและวางแผนจะทอดไข่ดาว
มู่ฉินเจินที่นั่งตรงปากเตาจุดไฟให้นางตามปกติวิสัย ขณะทหารที่ยืนเฝ้าอยู่ด้านข้างต่างมองหน้ากันไปมา
ท่านอ๋องซู่ผู้ฉลาดและทรงพลังของพวกเขาจุดไฟได้ด้วย!
อย่างไรก็ตาม ทั้งคู่กลับไม่ได้สังเกตการแสดงออกของบรรดาทหารชั้นผู้น้อยเลย พวกเขากำลังยุ่งกับธุระของตัวเอง และพูดคุยเรื่องสัพเพเหระทั่วไป
หลังจากน้ำมันหมูในหม้อละลาย นางก็ตอกไข่แล้วทอดจนเป็นสีเหลืองทอง มู่ฉินเจินไม่ชอบกินไข่ลวก เขามักจะรู้สึกว่าไข่ดังกล่าวมีกลิ่นคาว ซึ่งเฉียวเยี่ยนจดจำพฤติกรรมเล็กๆ น้อยๆ นี้ไว้ในใจ จำไว้ว่าทุกครั้งที่ทอดไข่ให้เขาจะต้องทอดให้ด้านนอกเป็นสีน้ำตาลโดยให้ไข่ขาวรอบๆ มีสัมผัสกรุบกรอบ
หลังจากทอดไข่เสร็จก็เทน้ำหนึ่งทัพพีลงในหม้อต้มจนเดือด จากนั้นใส่เส้นมันเทศกับผักสีเขียวลงไป เมื่อเส้นกับผักสุกพร้อมก็นำออกมาใส่ชาม ตักซอสเนื้อจากในไหลงไปหนึ่งช้อน และใส่ผักดองจำนวนเล็กน้อยเป็นอาหารเคียง
หลังจากปรุงเส้นมันเทศแล้ว เฉียวเยี่ยนก็วางชามบนถาดและขอให้มู่ฉินเจินนำกลับไปกินก่อนเพราะนางต้องทำความสะอาดเตา แต่ใครจะรู้ว่าท่านอ๋องกลับเบนความสนใจไปยังทหารชั้นผู้น้อยที่อยู่ข้างกาย
“เจ้าล้างจานแล้วหรือ?”
ทหารผู้น้อยรายนั้นไม่รู้เรื่องราวใดๆ จึงพยักหน้าหงึกหงัก: “ขอรับ”
“เช่นนั้นจงไปล้างหม้อและทำความสะอาดเตาเสีย”
หลังจากที่ท่านอ๋องสั่งทหารตามที่เขาควรจะเป็น เขาก็เดินไปที่กระโจมพร้อมกับถือถาดอาหารในมือข้างหนึ่งและจูงเฉียวเยี่ยนด้วยมืออีกข้าง
เฉียวเยี่ยนหน้าแดง หันมามองค้อนมู่ฉินเจิน “ท่านนี่หน้าหนาขึ้นเรื่อย ๆ แล้วนะ!”
มู่ฉินเจินแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินคำพูดของนาง เทียบกับภรรยาแล้ว หน้าตาหรืออะไรอย่างอื่นก็ล้วนไม่สำคัญทั้งสิ้น
หลังเข้าไปในค่ายที่พัก มู่ฉินเจินก็ถอดชุดเกราะหนาหนักของเขาและนั่งกินอาหารที่โต๊ะ เขากินเร็วมาก แต่ไม่ได้ส่งเสียงดังใดๆ เพราะกลัวเด็กทั้งสองจะตื่น
เฉียวเยี่ยนนั่งตรงข้ามเขา เท้าคางมองดูเขากินบะหมี่ มู่ฉินเจินเงยหน้าขึ้นสบตานาง ก่อนยิ้มและหยิบตะเกียบคีบอาหารป้อนให้นาง แต่เฉียวเยี่ยนส่ายหน้าแสดงว่าไม่กิน ท่านอ๋องผู้ยิ่งใหญ่จึงลงมือกินต่อไป
เด็กสองคนนอนแผ่หลาอยู่บนเตียง โดยที่ขาข้างหนึ่งของเจ้าปลาอ้วนพาดอยู่บนท้องของพี่ชาย และกลิ่นบะหมี่มันเทศที่ลอยอวลในอากาศก็ทำให้เด็กน้อยสูดจมูกก่อนงัวเงียตื่นขึ้น
เสี่ยวอวี๋เอ๋อร์คลานขึ้นพลางสูดกลิ่นหอมในอากาศและคลี่ยิ้มออกมา ดวงตาเลื่อนลอยคู่นั้นแสดงให้เห็นชัดว่านางยังไม่ตื่นเต็มตานัก
เสี่ยวฉวนเอ๋อร์ก็ตื่นด้วยเช่นกัน เมื่อเห็นว่าน้องสาวของเขากำลังจะน้ำลายไหล เขาจึงรีบหยิบผ้าเช็ดหน้าผืนเล็กมาเช็ดน้ำลายของนาง
เฉียวเยี่ยนเดินไปรับเด็กทั้งสอง และหอมแก้มน้อยๆ ของพวกเขา “ลูกรัก พวกเจ้าตื่นกันแล้วหรือ?”
เสี่ยวอวี๋เอ๋อร์แนบใบหน้าเล็กๆ ของตนชิดกับใบหน้าของแม่ แต่สายตากลับจับจ้องที่ชามบะหมี่ในมือพ่อ และมุมปากของนางก็ดูเหมือนจะมีน้ำลายไหลอีกครั้ง
เฉียวเยี่ยนตบท้องของเด็กน้อยอย่างขบขัน “พอตื่นแล้วท้องน้อยๆ ของเจ้าก็หิวทันทีเลยนะ”
มู่ฉินเจินลุกขึ้นเดินออกจากกระโจม กลับเข้ามาอีกครั้งพร้อมชามและตะเกียบสามชุด แบ่งเส้นบะหมี่มันเทศใส่ชามทั้งสามใบ และเทน้ำแกงตาม เขายังไม่ได้กินไข่ดาวฟองนั้น จึงใช้ตะเกียบแบ่งไข่ออกเป็นสามส่วนและคีบใส่ชามทั้งสาม
“มากินสิ”
เขายิ้มขณะพูดกับแม่ลูกทั้งสาม
เฉียวเยี่ยนอุ้มลูกทั้งสองไว้บนเก้าอี้และปล่อยให้กินกันเอง ลูกทั้งสองฉลาดมาก พูดขอบคุณเขาโดยที่แม่ไม่ต้องสั่งสอน
“ขอบคุณขอรับ/เจ้าค่ะ ท่านพ่อ”
เสียงเด็กเล็กทำให้หัวใจของมู่ฉินเจินอ่อนยวบลง เขาเอ่ยเบา ๆ “ลูกรักไม่ต้องเกรงใจ”
เฉียวเยี่ยนไม่หิวก็จริง แต่นางไม่อยากทำให้ท่านอ๋องผู้ยิ่งใหญ่ต้องผิดหวัง ดังนั้นจึงเลียนแบบเด็กทั้งสองและพูดเสียงดังว่า “ขอบคุณนะที่รัก!”
มู่ฉินเจินยิ้มอย่างรักใคร่และเอ่ยเบาๆ “ซนนักนะ”
เด็กน้อยทั้งสองพึงพอใจกับบะหมี่มันเทศมาก หรี่ตากลมโตลงอย่างรื่นรมย์ พอเสี่ยวอวี๋เอ๋อร์ได้ยินมารดาเรียกบิดาว่าที่รัก จึงบังเกิดความสงสัย “ท่านแม่ เหตุใดท่านจึงไม่เรียกลูกๆ ว่าที่รัก แต่เรียกแค่ท่านพ่อคนเดียวล่ะเจ้าคะ?”
หลังเอ่ยออกมา เสี่ยวฉวนเอ๋อร์ก็เงยหน้ามองแม่ของเขาเช่นกัน สิ่งนี้ถือว่าอยู่เหนือความรู้ความเข้าใจของเขาและเป็นความรู้ใหม่อย่างหนึ่ง
ท่านอ๋องก็เป็นอีกคนที่รอคำตอบของเจ้าท่อนไม้ด้วยความคาดหวัง
เฉียวเยี่ยนรู้สึกอายเล็กน้อยกับคำถามนี้ ขณะชำเลืองมองท่านอ๋องที่กำลังมองดูความตื่นเต้น และพยายามคิดหาคำตอบอย่างดีที่สุด
“‘ที่รัก’ เป็นสรรพนามที่แสดงความรักใคร่ชอบพอเหมือนกับที่แม่เรียกลูกว่า ‘ลูกรัก’ แต่ ‘ที่รัก’ จะเรียกได้เฉพาะระหว่างสามีภรรยาเท่านั้น ไม่ใช่ทุกคนที่จะใช้ได้น่ะ”
นางอธิบายอย่างอดทน และเด็กทั้งสองก็ตั้งใจฟัง จากนั้นเจ้าปลาอ้วนก็ถามอีกครั้ง “เช่นนั้นแล้วข้าเรียกพี่เสี่ยวสือโถวกับพี่ซวนซวนว่าที่รักได้ไหมเจ้าคะ?”
เมื่อเด็กน้อยพูดเช่นนั้น เฉียวเยี่ยนผู้เป็นมารดาก็ฉงนสนเท่ห์ “เหตุใดลูกรักถึงถามคำถามเช่นนี้เล่า?”
เสี่ยวอวี๋เอ๋อร์ถอนหายใจราวกับคนแก่ เอ่ยกระอึกกระอัก “พี่สือโถวกับพี่ซวนซวนต่างขอให้ข้าแต่งงานเป็นภรรยาของพวกเขา หมายความว่าถ้าได้แต่งงานกับพวกเขาแล้ว ข้าจะกลายเป็นสามีภรรยากับพวกเขาใช่ไหมเจ้าคะ?”
“แต่ลูกยังไม่รู้ว่าจะตอบตกลงใครดีน่ะเจ้าค่ะ”
ท่าทางสับสนของเด็กน้อยทำให้เฉียวเยี่ยนรู้สึกขบขัน นางกุมท้องขณะระเบิดหัวเราะออกมา ไม่คาดคิดเลยว่าลูกสาวของนางจะเผชิญกับปัญหานี้ตั้งแต่อายุยังน้อย
แต่มู่ฉินเจินกลับไม่สงบอีกต่อไป ใบหน้าของเขามืดครึ้มลง เริ่มอยากรู้ว่าเด็กเหลือขอคนไหนกล้ามาพูดเรื่องแบบนี้กับลูกสาวของเขา
เจ้าปลาอ้วนอึกอักอยู่พักหนึ่ง และในที่สุดก็เอ่ยอ้อมแอ้ม “เหตุใดพวกเขาถึงไม่แต่งงานกับข้าให้หมดนะ”
ถูกต้อง ตราบใดที่พวกเขาทุกคนแต่งงานกับนาง นางก็จะได้ไม่ต้องกังวลกับเรื่องนี้!
เด็กน้อยพอใจกับความคิดตัวเองมาก และยังคงเอ่ยเจื้อยแจ้วอย่างมีความสุข แต่ผู้เป็นแม่อย่างเฉียวเยี่ยนถึงกับหัวเราะจนน้ำตาเล็ด ขณะที่พ่ออย่างมู่ฉินเจินฉุนจัดจนอยากจะจับ “พี่เสี่ยวสือโถว” กับ “พี่ซวนซวน” สองคนนี้มาตีให้ก้นลาย
ระบบตัวน้อยกุมท้องหัวเราะไม่หยุดพลางกลิ้งไปกลิ้งมาบนเตียง
[ข้าขำแทบตายแล้วท่านโฮสต์ ลูกสาวท่านนี่มีแววว่าจะเป็นคนเจ้าชู้นะ!]
แม้มันจะเป็นการพูดจาประสาเด็ก แต่เฉียวเยี่ยนก็ยังอยากสอนนางให้รู้จักปกป้องตัวเอง
“ลูกรัก ตอนนี้เจ้าเรียกพวกพี่ชายตัวน้อยว่าที่รักไม่ได้ และเจ้าก็แต่งงานกับพวกเขาหมดทุกคนไม่ได้ เมื่อเจ้าโตขึ้นและพบคนที่ชอบแล้วถึงจะแต่งงานกับเขาได้ต่างหาก”
“ตอนนี้หากมีเด็กผู้ชายมาบอกว่าชอบเจ้าและอยากแต่งเจ้าเป็นภรรยา เจ้าต้องรู้จักปฏิเสธ และจะปล่อยให้คนอื่นมาจูบมากอดเจ้าพร่ำเพรื่อไม่ได้ เข้าใจไหม?”
เสี่ยวอวี๋เอ๋อร์สับสนเล็กน้อย แต่ก็ยังจำคำบางคำได้
ในตอนนี้มู่ฉินเจินพ่อผู้หวงลูกก็เอ่ยโพล่งออกมา “ยกเว้นคนในครอบครัวที่รักใคร่เจ้าแล้ว ที่เหลือก็เป็นแค่พวกอันธพาล อวี๋เอ๋อร์เจ้าฟาดคนพวกนั้นกลับไปได้เลย ที่เหลือพ่อจัดการเอง”
เห็นได้ชัดว่าเจ้าปลาน้อยหัวรุนแรงนิยมชมชอบคำสั่งสอนแบบนี้ นางโบกกำปั้นน้อยๆ ขึ้น และเก็บคำพูดของพ่อไว้ในใจ
เฉียวเยี่ยนถึงกับเหม่อมองท้องฟ้าอย่างพูดไม่ออก เหตุใดพ่อกับลูกสาวถึงไม่เปิดสำนักต่อสู้ไปเสียเลยนะ จะได้ไม่ต้องใช้กำลังกับคนอื่นพร่ำเพรื่อแบบนี้
……
การล่าสัตว์เริ่มต้นในเช้าวันรุ่งขึ้น และในทุกปีจะมีการแข่งขัน ซึ่งผู้ชนะจะได้รับพระราชทานรางวัลจากฮ่องเต้
เช้านี้เฉียวเยี่ยนสวมชุดขี่ม้าสีม่วงเข้ม ส่วนลูกทั้งสองก็เปลี่ยนเป็นชุดขี่ม้าตัวเล็ก ๆ เสื้อผ้าของแม่ลูกทั้งสามล้วนตัดเย็บในแบบเดียวกัน จนมองออกว่าเป็นชุดของครอบครัว
วันนี้มู่ฉินเจินก็ได้มอบกิจธุระทั้งหมดให้กับบรรดาขุนพลของเขา ก่อนจะพาทั้งสามแม่ลูกไปล่าสัตว์ด้วยกัน
เฉียวเยี่ยนขี่ม้าคนละตัวกับเขา ขณะนั่งอยู่บนม้าก็พูดกับมู่ฉินเจินว่า “เราจะแข่งขันกันอย่างไรดี?”
มู่ฉินเจินไม่อาจปฏิเสธได้และตามนางไป หากนางอยากจะเล่น เขาก็จะเล่นกับนางด้วย
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
มีแววว่าถ้าเจ้าปลาอ้วนโตเป็นสาว ท่านอ๋องต้องไว้หนวดแล้วล่ะ เพราะแม่คุณเล่นบอกว่าจะแต่งงานกับผู้ชายทุกคนเลย
เสี่ยวเยี่ยนจะแสดงฝีมืออะไรออกมานะ?
ไหหม่า(海馬)