ตอนที่ 185 ป้อนโจ๊กป้อนผลไม้
ตอนที่ 185 ป้อนโจ๊กป้อนผลไม้
เฉียวเยี่ยนบอกเรื่องที่มู่ฉินเจินป่วยกับพวกเขา เด็กน้อยทั้งสองจึงรีบวิ่งไปทางห้องปีกทิศตะวันตกทันใด ด้วยความร้อนรนใจอยากไปดูบิดาผู้แสนดีของพวกเขา
ภายในห้อง
มู่ฉินเจินตื่นอยู่ เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าของพวกเด็กๆ เขาก็ลุกขึ้นนั่งพิงกับหัวเตียง
เมื่อเด็กๆ เห็นบิดายิ้มอ่อนโยนมาให้ พวกเขาก็รู้สึกคัดจมูกอยากร้องไห้ ดวงตากลมโตสั่นระริก วิ่งไปคลอเคลียอยู่ข้างกายเขา พร้อมไถ่ถามสารทุกข์สุขดิบ
ความรู้สึกผิดชอบชั่วดียิ่งเด่นชัดขึ้นในใจมู่ฉินเจิน เขามิเพียงหลอกเจ้าท่อนไม้เท่านั้น แต่ยังลากเด็กน้อยทั้งสองให้รู้สึกเศร้าโศกด้วย
เขายกมือขึ้นปาดน้ำตาตรงหางตาให้พวกเขา ก่อนง้อด้วยเสียงเบาอ่อนโยน “พ่อไม่เป็นอะไร พวกลูกนอนหลับคืนนี้ พอตื่นมาพ่อก็หายดีแล้ว”
เมื่อได้ฟังคำพูดของเขา ท่าทางของเด็กทั้งสองถึงได้ดีขึ้นไม่น้อย ในใจพวกเขา ท่านพ่อท่านแม่คือคนที่เก่งที่สุดในโลก ต้องพูดจริงทำจริงแน่
อาหารกับโจ๊กในห้องครัวสุกแล้ว เฉียวเยี่ยนแบ่งอาหารกับโจ๊กใส่ในชามใหญ่เท่าๆ กัน และเอ่ยสั่งเฟิงหยาง “ส่วนนี้แบ่งให้เจ้ากับฮุ่ยเซียง พวกเจ้ากินตอนที่มันยังร้อนๆ นะ”
เฟิงหยางกลืนน้ำลายให้กับอาหารสองอย่างที่ส่งกลิ่นหอมฟุ้ง ก่อนโค้งตัวเอ่ยขอบคุณ “ขอบพระทัยหวางเฟย”
นับแต่รับผิดชอบส่งเด็กทั้งสอง เขาถูกหวางเฟยป้อนอาหารให้ทุกวัน ตลอดทั้งปีนี้ เขาอ้วนขึ้นมากว่าสิบชั่ง และทั้งรักทั้งเกลียดอาหารแสนอร่อยครบรสเหล่านี้ ด้วยกังวลว่าหากเป็นเช่นนี้ต่อไป วิชาตัวเบาของเขาคงปลิวหายไปแล้วไปลับไม่กลับมาอีก
ตอนนี้ฮุ่ยเซียงไม่เกาะติดเฉียวเยี่ยนแล้ว เพราะท่านอ๋องตั้งป้อมอย่างแน่นหนา ไม่ให้โอกาสนางเลยสักนิด นางวิ่งไปสวนผักไปปล่อยหยาดเหงื่อในแปลงผักทุกวันด้วยความโมโห ไม่อยากถูกอาหารสุนัขของคู่รักคู่นั้นอุดปากจนอยากอาเจียนออกมา
เฉียวเยี่ยนยกอาหารเข้าไปในห้อง วันนี้อาหารของมู่ฉินเจินคือโจ๊กทะเลกินกับผักดองเรียกน้ำย่อย ส่วนของนางกับลูกๆ เป็นข้าวขาวกินกับหอยเป๋าฮื้ออบไก่
เดิมทีมู่ฉินเจินไม่มีความอยากอาหารเพราะเป็นหวัดอยู่แล้ว แต่โจ๊กทะเลที่ต้มเคี่ยวจนหอมหวานอ่อนนุ่มกลับทำให้เขาหิวขึ้นมา กลิ่นหัวถุ่ยสับกับกลิ่นหอมของอาหารทะเลผสมผสานกันได้อย่างลงตัวมาก เมื่อกินผักดองที่ให้รสสัมผัสเปรี้ยวสดชื่นตามลงไปสองคำ รสชาติของโจ๊กทะเลก็ถูกยกระดับขึ้นทันใด
เด็กทั้งสองก็กินโจ๊กคนละชามเช่นกัน กินเสร็จก็เลียปากน้อยๆ อย่างรู้สึกไม่หนำใจ
เฉียวเยี่ยนรู้ว่าโจ๊กอร่อยมาก แต่กระเพาะนางในวันนี้ได้แบ่งไปให้หอยเป่าฮื้ออบไก่ที่แดงแวววาวแล้ว
พอกัดเนื้อไก่ไปคำเดียวก็หลุดออกจากกระดูกได้ ในเนื้อดูดซับรสชาติของน้ำพริกหมูสับไว้จนฉ่ำ หอยเป๋าฮื้อก็เหนียวนุ่มเด้งฟัน ทำให้มู่ฉินเจินที่พิงหัวเตียงกินโจ๊กอยู่หิวโหยขึ้นมา
เฉียวเยี่ยนเห็นท่าทางหิวกระหายของเขา ก็คีบเนื้อชิ้นหนึ่งให้เขาด้วยรอยยิ้ม “ลองชิมดูสิ น่าเสียดายที่ตอนนี้ปากท่านค่อนข้างไร้รส น่าจะชิมไม่ได้รสชาติอะไร กระนั้นก็ไม่เป็นไร รอท่านหายดีแล้ว อยากกินเมื่อไหร่ข้าค่อยทำให้ท่านกิน”
แม้ต่อมรับรสของมู่ฉินเจินจะได้รับผลกระทบจากการป่วย ทว่าเขาก็ยังรับรู้รสชาติได้จางๆ
ณ ศาลาในลานบ้าน ฮุ่ยเซียงกับเฟิงหยางกำลังกินข้าวด้วยกันจนกลายเป็นกิจวัตรประจำวันของพวกเขาไปแล้ว เพราะเวลาหวางเฟยทำอาหารก็มักจะเหลือให้พวกเขาส่วนหนึ่ง อีกทั้งทุกคนก็รู้จักมักจี่กัน ไม่ได้ป้องกันระยะห่างชายหญิงอะไร กินข้าวด้วยกันอย่างเป็นธรรมชาติมาก
ฮุ่ยเซียงกินหอยเป๋าฮื้อไปหนึ่งคำ ก็พอใจกล่าวชมเฉียวเยี่ยนไม่ขาดปาก
“เหตุใดหวางเฟยถึงได้เก่งกาจเพียงนี้นะ อะไรก็ทำได้หมด แหวกว่ายในน้ำ วิ่งบนผืนดิน บินบนฟากฟ้า พระนางล้วนชำนาญมาก”
หยางเฟิงยัดข้าวจนเต็มปาก รีบร้อนพยักหน้า เห็นด้วยกับความคิดของนาง
ฮุ่ยเซียงพุ้ยข้าวเข้าปาก และคีบเนื้อที่เหลือสองชิ้นในจานไปวางไว้ในถ้วยเฟิงหยาง
เฟิงหยางประหลาดใจไปครู่หนึ่ง หลังจากกลืนข้าวที่เหลือในปากลงไป ก็เอ่ยอย่างเร่งรีบ “ไม่ต้องยกให้ข้าหมดหรอก ข้ากินเยอะแล้ว เจ้าควรกินให้มากหน่อย”
ฮุ่ยเซียงส่ายหน้า และแตะใบหน้ารูปไข่ของตัวเองอย่างมีความสุขระคนกลัดกลุ้ม ก่อนโอดครวญ “ข้าต้องกินให้น้อยหน่อย อ้วนขึ้นหลายชั่งแล้ว หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป ข้าต้องกลายเป็นหญิงอ้วนหนักสามร้อยชั่งแน่”
เฟิงหยางรีบส่ายหน้า “เจ้าไม่อ้วนเลยสักนิด สตรีควรจะมีเนื้อหนังสักหน่อยถึงจะดูดี ผอมเกินไปไม่ค่อยดี”
ฮุ่ยเซัยงหน้าแดงเล็กน้อยไปกับคำพูดของเขา กระนั้นก็มีความสุขมาก
ทั้งสองกินข้าวกันอย่างสงบสุข ทว่าไม่ไกลนักกลับมีองครักษ์กลุ่มหนึ่งอิจฉาจนเข็ดฟัน
พวกเขาถูกเรียกใช้เหมือนสุนัขทุกวัน เจ้าบ้านี่กลับได้กินข้าวกับแม่สาวน้อย และกับข้าวก็เป็นหวางเฟยทำอีก!
ไยพวกเขาจึงรู้สึกว่ามันไม่ยุติธรรมนะ!
เกาจัวหยวนยกสองมือกอดอก แอบอยู่บนผู้เขาเทียม พลางโบกมือให้แก่เล่าสหายพี่น้องที่อยู่ด้านหลัง และขบเขี้ยวเคี้ยวฟันเอ่ย “พี่น้องทั้งหลาย คืนนี้จัดการเขากัน!”
สองสามคนที่คันไม้คันมืออยู่ด้านหลังบิดคอดังกรอบแกรบไปมา และกล่าวด้วยโทสะ “คอยดูแล้วกันว่าคืนนี้ข้าจะไม่ยัดถุงเท้าเหม็นใส่ปากเขา!”
ภายในเรือนจิ่งเสวียน
เด็กทั้งสองแทะน่องไก่คนละอัน ปากกับใบหน้าน้อยๆ เปื้อนเปรอะคราวน้ำมันจากการแทะ เอร็ดอร่อยจนดวงตากลมโตหรี่ปรือ หลังกินโจ๊กไปหนึ่งชาม แล้วตามด้วยเนื้อไปสองสามชิ้น กระเพาะน้อยๆ ของพวกเขาก็ถูกเติมเต็มจนอิ่มแปล้แล้ว
เสี่ยวอวี๋เอ๋อร์เดินไปอยู่ข้างบิดาในสภาพปากน้อยที่เยิ้มไปด้วยน้ำมัน แล้วปีนขึ้นเตียง ถือถ้วยโจ๊กของเขา และป้อนให้เขาอย่างจริงจัง
นางตักโจ๊กหนึ่งช้อนขึ้นมาเป่าก่อน จากนั้นป้อนถึงปากมู่ฉินเจิน และเอ่ยด้วยเสียงเจื้อยแจ้วหวานหู “ท่านพ่อเด็กดี ข้าป้อนให้ท่านนะ”
มู่ฉินเจินรู้สึกอบอุ่นจนใจเหลวไปกับการกระทำของเด็กน้อย ก่อนหยิบผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดคราบน้ำมันออกจากปากน้อยให้นาง และเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ลูกรัก พ่อไม่เป็นไร พ่อกินเองได้”
ทว่าเด็กน้อยจริงจังมาก ยื่นมือน้อยมาดูแลบิดาที่นอนป่วยอยู่บนเตียงอย่างขมักเขม้น
เฉียวเยี่ยนแทะปีกไก่อยู่และรู้สึกอิจฉาในใจเล็กน้อย นางยังไม่เคยถูกลูกป้อนข้าวเลย หรือว่านางจะลองป่วยดูสักวันดี?
ในระหว่างคิดเช่นนี้ เสี่ยวฉวนเอ๋อร์ที่อยู่ข้างนางก็วางถ้วยตะเกียบลง และลงจากม้านั่งวิ่งออกไปนอกห้อง จนเฉียวเยี่ยนตะโกนด้วยความสงสัย “ลูกรัก เจ้าจะไปไหนรึ?”
ทว่าเด็กน้อยไม่ตอบนาง วิ่งไปทางห้องครัวเล็กอย่างไม่หันกลับมา ไม่นานนัก เขาก็กลับมาพร้อมถือจานผลไม้ในมือ ผลไม้ในจานยังมีหยดน้ำอยู่
ถูกต้อง เขาไปล้างผลไม้ วันนี้เสด็จปู่ให้องุ่นกับเขาและน้องสาวมา บอกว่าเป็นเครื่องบรรณาการที่เพิ่งส่งมาจากทางเขตตะวันตก ในตอนที่พวกเขากลับมาจากพระราชวัง ก็ให้ลุงเฟิงหยางช่วยถือกลับมาให้
เขาม้วนแขนเสื้อขึ้นสูงมาก เผยให้เห็นแขนน้อยขาวนวล บนมือน้อยยังคงมีหยดน้ำ
คนตัวเล็กที่เคร่งขรึมเป็นปกติในเวลานี้ก็ไม่แสดงอารมณ์ใดๆ ถือจานผลไม้ พร้อมกล่าวอย่างจริงจัง “ป่วยแล้วต้องกินผลไม้เยอะๆ ”
เขาพูดน้อย ไม่เหมือนเด็กทั่วไปที่แสดงความรู้สึกกับพ่อแม่อย่างตรงไปตรงมา แต่กระนั้นก็สามารถดูออกได้จากในสายตาเขาว่าเป็นห่วงบิดาเพียงใด
องุ่นเขตตะวันตกทั้งใหญ่ทั้งกลม กินหนึ่งคำหวานล้ำยิ่งกว่าน้ำผึ้ง แต่ก็เทียบกับความหวานในใจของมู่ฉินเจินไม่ได้
เขารับจานผลไม้มาวางไว้บนโต๊ะชาขนาดเล็ก และอุ้มเด็กน้อยขึ้นมาบนเตียงด้วยมือเดียว ลูบศีรษะน้อยๆ ของเขา ก่อนเอ่ยขอบคุณเสียงเบา “ขอบใจฉวนเอ๋อร์”
สองพี่น้องคนหนึ่งป้อนโจ๊ก คนหนึ่งป้อนผลไม้ ดูแลบิดาเสมือนเป็นคนป่วยอาการหนัก
เฉียวเยี่ยนรู้สึกเปรี้ยวในใจราวกับกินน้ำมะนาว นางกุมปากตัวเองไว้ แล้วแสร้งพูดจาประชดประชันอย่างตั้งใจ “ไอหยา ข้าปวดฟันจังเลย ปวดฟันมาก! น่าสงสารจังที่ไม่มีใครมาดูแลข้าเลย!”
……………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
น่าอิจฉาท่านอ๋องจริงๆ นั่นแหละ พอป่วยขึ้นมาทีลูกๆ ตั้งใจดูแลใหญ่จนลืมแม่ไปเลย
ไหหม่า(海馬)