ตอนที่ 215 จิตใจอย่างซือหม่าเจา
ตอนที่ 215 จิตใจอย่างซือหม่าเจา
หลันหนิงฟังทุกการวิเคราะห์ หลังจากความตกใจแวบผ่านนัยน์ตานาง นางก็กลับมาสงบดังเดิมอีกครั้ง
สมกับเป็นคนดังผู้สั่นสะเทือนเมืองหลวง อย่างน้อยก็มิได้โง่เขลา ความผิดพลาดครั้งใหญ่ที่สุดของนางในครั้งนี้คือประเมินหญิงผู้นี้ต่ำเกินไป
ผ่านไปเนิ่นนาน นางเม้มริมฝีปากล่างเบาๆ แล้วเอ่ยอย่างเย็นชา “เป็นคนจากรัฐฉู่”
วันนี้ได้ถามชื่อ อายุ บ้านเกิด เฉียวเยี่ยนก็พอใจแล้ว จึงหิ้วกล่องอาหารที่ว่างเปล่าออกจากห้องขังไป
“ข้าไปก่อนนะ เจอกันพรุ่งนี้”
หลันหนิงมองนางจากไปจนลับตา ครุ่นคิดเนิ่นนานด้วยสีหน้าลุ่มลึก
นางไม่เข้าใจว่าหญิงคนนี้ต้องการจะทำอะไร? นางแสดงออกว่าไม่มีจุดประสงค์อื่น นอกจากมาหานางเพื่อรับประทานอาหารเท่านั้น
นี่เป็นครั้งแรกที่เจอกับเรื่องน่าเวียนหัวเช่นนี้ หลันหนิงล้มตัวลงบนเตียงอย่างหงุดหงิด พลางจ้องเพดานห้องขังด้วยสายตาไขว้เขว
คุกใต้ดินในตำหนักอ๋องซู่หาใช่สร้างขึ้นมาเล่นๆ ตั้งแต่ห้องขังไปจนถึงผู้คุมล้วนยอดเยี่ยม หากอยากจะหลบหนีเกรงว่าไม่ง่ายขนาดนั้น
ไม่กี่วันต่อมา เฉียวเยี่ยนก็นำกล่องอาหารไปกินกับหลันหนิงในคุกเช่นเคย หลันหนิงยังคงตีหน้าขรึมเฉกเช่นเมื่อก่อน แต่กระนั้นก็ระงับอารมณ์คุยกับเฉียวเยี่ยนได้ครู่หนึ่ง
ท่านอ๋องได้ยินว่าเจ้าท่อนไม้ไปอยู่กับโจรหญิงในคุกใต้ดินทุกวัน ทั่วทั้งร่างก็เปียกโชกไปด้วยน้ำส้มสายชู โชคดีที่หลันหนิงเป็นสตรี หากเป็นบุรุษก็อาจจะถูกเขาแยกส่วนเป็นชิ้นๆ ไปแล้ว
สุดท้ายในวันที่ห้า หลังจากหลันหนิงรับประทานอาหารอิ่มแล้ว ก็ถามเฉียวเยี่ยนอย่างไร้สีหน้าใดๆ “บอกมาเถิด เจ้าจะทำอะไรกันแน่?”
หลังจากอยู่ในห้องขังมาหลายวัน ได้รับอาหารและเครื่องดื่มอร่อยๆ ทุกวัน นอกจากออกไปไหนไม่ได้แล้ว ที่เหลือก็ไม่ต่างอะไรกับการพักร้อน
แต่นางยิ่งไม่เข้าใจความคิดของเฉียวเยี่ยนมากขึ้นเรื่อยๆ ตอนแรกสุดนางคิดว่าอีกฝ่ายพยายามหลอกให้นางสารภาพ แต่ผ่านไปหลายวันแล้ว อีกฝ่ายก็ไม่เอ่ยถึงเรื่องจริงจังเลยสักคำ กลับพูดเรื่องไร้สาระออกมาไม่น้อย
เฉียวเยี่ยนยิ้ม “ข้าบอกเจ้ามาตั้งแต่แรกแล้วไม่ใช่หรือ? มาทำงานให้ข้า ว่าอย่างไร หลายวันมานี้คิดดีแล้วหรือยัง?”
หลันหนิงสำลัก นางคิดมาตลอดว่าอีกฝ่ายล้อเล่น อีกอย่าง อีกฝ่ายกระทำลวนลามนางในคืนนั้น ใครจะเอาจริงเอาจังกับคำพูดของนางกัน!
นางขมวดคิ้วมุ่น และปฏิเสธด้วยใบหน้าเย็นชา “ข้าเป็นคนท่องยุทธภพ ไม่มีทางยอมเป็นข้ารับใช้ของใคร”
นางมีนิสัยรักอิสระมาแต่กำเนิด หากไม่มีเงินใช้แล้วก็รับงานมาทำ รอทำงานเสร็จรับเงินมา นางก็สามารถสนุกกับมันได้ช่วงหนึ่ง จะให้นางไปเป็นทาสเป็นบ่าวให้คนอื่น ไม่มีทางเด็ดขาด
เฉียวเยี่ยนอธิบาย “บอกว่าเป็นข้ารับใช้ มิสู้บอกว่าเราอยู่ในความสัมพันธ์นายจ้างลูกจ้างดีกว่า ข้าให้เงิน เจ้าทำงาน ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนสถานะทาส และเจ้าไม่จำเป็นต้องมาเป็นทาสข้า”
หลันหนิงตกอยู่ในความเงียบ ไม่ตอบรับคำพูด ในขณะที่เฉียวเยี่ยนหยุดไว้เพียงเท่านั้น และออกไปจากห้องขัง ปล่อยให้นางค่อยๆ คิด
ทันทีที่ออกมาจากคุกใต้ดิน เฉียวเยี่ยนก็เจอเข้ากับมู่ฉินเจินที่กลับมาจากค่ายทหาร วันนี้เขากลับบ้านเร็วกว่าปกติหนึ่งชั่วยาม และดูเหมือนจะมาหานางด้วย
นางเดินไปหาเขา และถูกเขาจับมืออย่างเป็นธรรมชาติ นางพูดติดตลกด้วยรอยยิ้ม”ท่านอ๋อง อู้งานกลับก่อนเวลาไม่ใช่นิสัยที่ดีเลยนะ ระวังชายชราจะหักเงินเดือนท่าน”
มู่ฉินเจินเหลือบมองนางอย่างระอา เขาคุ้นเคยกับคำพูดแปลกๆ ที่มักจะออกมาจากปากของนางเป็นปกติแล้ว และส่วนใหญ่ก็เข้าใจความหมายที่นางจะสื่อถึง
“ไม่ใช่เพราะบางคนไม่ปล่อยให้ข้าได้สบายใจหรอกรึ หากข้าไม่กลับมา คงย้ายบ้านไปอยู่ในคุกใต้ดินแล้ว”
เฉียวเยี่ยนฟังน้ำเสียงประหลาดของเขา ก็ยิ้มจนคิ้ววาดโค้ง และรีบเอ่ยคำพูดดีๆ ให้เขาฟังมีความสุข “ท่านอยู่ที่ไหน บ้านของข้าก็อยู่ที่นั่น”
มู่ฉินเจินถูกเกลี้ยกล่อมเสร็จอย่างฉับไว ไม่มีหลักการใดแม้แต่น้อย แค่เฉียวเยี่ยนพูดคำรื่นหูกับเขาสักสองสามคำ เขาก็จะรู้สึกหวานล้ำจนหัวใจพองโตขึ้นมา
ระบบตัวน้อยที่อยู่ในฐานะนักแทะเมล็ดแตงแนวหน้ามีภูมิต้านทานต่อความรักที่สร้างจากท่านโฮสต์กับพี่มู่คนหล่อแล้ว ตอนนี้ได้ยินคำพูดเหล่านี้ ก็รู้สึกแค่ขนลุกเท่านั้น
ทั้งสองเดินจูงมือกันมุ่งตรงไปยังเรือนจิ่งเสวียน มู่ฉินเจินพาเฉียวเยี่ยนเข้าไปในห้องหนังสือ และคุยผลการตรวจสอบล่าสุดของเขากับนาง
ตามการคาดเดาก่อนหน้านี้ของพวกเขา เขาได้ส่งคนไปตรวจสอบครอบครัวเจ้าขุนมูลนายทั้งหมดในเมืองหลวงที่เจ็บป่วยทางร่างกาย และพบว่ามีทั้งหมดห้าสิบสองครัวเรือน และมีเพียงห้าครัวเรือนเท่านั้นที่มีอาการคล้ายกับเฉียวจิ่น
ในบรรดาห้าครัวเรือนนี้ มีสองครัวเรือนเป็นหวงซาง(1) อีกสองครัวเรือนเป็นข้าราชบริพาร และสุดท้ายคือเชื้อพระวงศ์
เฉียวเยี่ยนอ่านเอกสารตรวจสอบ และจับจ้องไปยังเชื้อพระวงศ์ ใช่แล้ว เป็นมู่เจ๋อจิ่นนี่เอง
มู่เจ๋อจิ่นเป็นโรคหัวใจตั้งแต่กำเนิด ชี่พร่องและเป็นภาวะโลหิตจาง ร่างกายอ่อนแอ และมีอาการคล้ายกับเฉียวจิ่นมาก
ก่อนที่เฉียวจิ่นจะได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคปอดเรื้อรัง ก็เคยถูกวินิจฉัยว่าเป็นโรคหัวใจเหมือนกัน
สัญชาตญาณบอกนางว่า คนที่อยู่เบื้องหลังอาจจะเป็นองค์ชายรองผู้นี้
คนป่วยในจวนหวงซางทั้งสองล้วนเป็นคนชราอายุมาก และมีความเป็นไปได้สูงที่จะไม่เสี่ยงไปขโมยยาเช่นนี้
ส่วนข้าราชบริพารอีกสองครัวเรือน ปกติเป็นคนที่ไม่ชอบทำตัวโดดเด่น ปฏิบัติตนอยู่ในหลักเกณฑ์ ดูไม่เหมือนคนที่ชอบเสี่ยงอันตรายสักนิด
มู่ฉินเจินคิดเหมือนกับเฉียวเยี่ยน ตั้งแต่ครั้งก่อนที่สังเกตเห็นมู่เจ๋อจิ่นจงใจเข้าหาอี้จื่อจิ้น เขาก็รู้สึกว่าอีกฝ่ายมีแผนการใหญ่
ทว่ามู่เจ๋อจิ่นไม่ได้ทิ้งร่องรอยอะไรให้เขาเลย เมื่อก่อนอีกฝ่ายไม่เคยปรากฏตัวออกมา เขาก็ไม่สนใจตรวจสอบ ถึงขั้นไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาเป็นหรือตายไปแล้ว
ตอนนี้จะไปสืบข้อมูลเขา ก็ไม่มีทางลงมือได้เลย
เฉียวเยี่ยนเชื่อมโยงเหตุการณ์ตอนนี้เข้ากันทีละเรื่อง และมีความคิดที่ชัดเจนอยู่ในหัว
ดวงตาของนางเบิกกว้างเล็กน้อย มองไปทางมู่ฉินเจินพร้อมเอ่ย “ท่านว่า เขาคงไม่คิดแย่งตำแหน่งนั้นหรอกใช่ไหม?”
เขาใช้ประโยชน์จากอาการป่วย ใช้โอกาสที่ไม่มีคนสนใจ แอบสร้างกองกำลังเล็กๆ ของตัวเอง เมื่อพวกเขาพบว่ามีบางอย่างผิดปกติ พวกเขากลับไม่รู้แหล่งกบดานและแผนการของเขาเลยสักนิด
เขาจงใจเข้าหาอี้จื่อจิ้น เพราะเห็นว่าจวนอัครเสนาบดีเป็นปฏิปักษ์กับตำหนักอ๋องซู่ ตราบใดที่เขาแต่งงานกับอี้จื่อจิ้น ก็จะได้รับการสนับสนุนจากทั้งจวนอัครเสนาบดี
ตอนนี้ได้ยินว่าสุขภาพของเฉียวจิ่นดีขึ้น เขาตามหาหมอฝีมือยอดเยี่ยมมานาน ด้วยเหตุนี้จึงวางแผนเล็งเป้าไปที่เฉียวจิ่น ซื้อมือสังหารไปขโมยยา
หากเป็นเช่นนั้นจริง จิตใจเขาก็ยากแท้หยั่งถึงเกินไปแล้ว
มู่ฉินเจินก็มีสีหน้าเคร่งเครียดเช่นกัน เขาไม่สนใจตำแหน่งนั้นเลย แต่ในบรรดาพี่น้องทุกคนยกเว้นเขาก็ไม่มีใครเหมาะสมจะนั่งบนตำแหน่งนั้นได้แล้ว
ดังนั้น แม้เขาจะไม่ต้องการ แต่ก็จำต้องรับผิดชอบ
ชายชราเคยคุยกับเขาเป็นการส่วนตัวหลายครั้ง อยากแต่งตั้งให้เขาเป็นองค์รัชทายาท จากนั้นชายชราก็จะสละราชบัลลังก์ให้เขา และพาเสด็จแม่ไปใช้ชีวิตในวัยชราอย่างสงบ
แต่เขาไม่อยากถูกขังในกรงนั้นก่อนเวลาอันควร จึงผลักไสครั้งแล้วครั้งเล่า ผลักไสจนกระทั่งถึงตอนนี้
หากมู่เจ๋อจิ่นเป็นราชาที่ชาญฉลาด ตำแหน่งนั้นให้เขาไปก็ไม่เสียหายอะไร แต่หากเขาเป็นราชาที่โง่เขลา จากนี้ไปน่าจะมีการขัดแย้งกันขึ้น
เมื่อเฉียวเยี่ยนเห็นสีหน้าคร่ำเคร่งของเขา ก็บอกข่าวดีปลอบใจเขาทันที “ไม่ต้องห่วง อีกไม่นาน เราก็จะรู้แล้วว่าเขามีจิตใจอย่างซือหม่าเจา(2)หรือไม่”
เขาอวดฉลาดขโมยยาเช่นนี้ สุดท้ายถ้ากินเข้าไปแล้วมีปัญหาจะมาโทษนางไม่ได้นะ!
………………………………………………………………………………………………………………………….
(1)皇商 หวงซาง พ่อค้าที่ซื้อของต่างๆ ถวายราชวงศ์ในสมัยก่อน)
(2)司马昭之心 ย่อมาจาก 司马昭之心,路人皆知 ‘ความในใจซือหม่าเจา แม้คนผ่านทางยังล่วงรู้’ เป็นสำนวนจีนที่ภายหลังชาวจีนนำมาใช้มาใช้อธิบายถึงพฤติกรรม ความประสงค์ หรือแผนการชั่วร้ายของบุคคลใด ที่แม้บุคคลนั้นจะไม่ประกาศหรือแสดงออกมาอย่างชัดเจน แต่คนทั่วไปก็สามารถรับรู้ได้
สารจากผู้แปล
คิดอยู่เหมือนกันว่าต้องเป็นอ๋องรุ่ยที่สั่งขโมยยา
หลังจากนั้นน่าจะสนุกล่ะ กินผิดโดสชีวิตเปลี่ยนแน่ สมัยนั้นไม่มีไป๋ตู้ทรานสเลทด้วยสิ
ไหหม่า(海馬)