ชายาผู้นี้ชอบทำสวน พวกเจ้าจะยุ่งทำไม? – ตอนที่ 220 ค้นพบอวี๋ซิงเฉ่า (ผักคาวตอง)

ชายาผู้นี้ชอบทำสวน พวกเจ้าจะยุ่งทำไม?

ตอนที่ 220 ค้นพบอวี๋ซิงเฉ่า (ผักคาวตอง)

ตอนที่ 220 ค้นพบอวี๋ซิงเฉ่า (ผักคาวตอง)

พริบตาเดียวก็เข้าสู่เดือนเจ็ดแล้ว งานเพาะเห็ดครั้งใหญ่ของเฉียวเยี่ยนสำเร็จไปเกือบครึ่ง

ตอนชื้อรู้สึกปิติยินดีมาก แต่พอได้มาเพาะจริงๆ ในตอนนี้กลับเปรี้ยวใจเกินบรรยาย!

เพราะมีเพียงเฉียวเยี่ยนคนเดียวที่มีทักษะในการเพาะเห็ด ฉะนั้นนางจึงต้องทำเรื่องต่างๆ เองทั้งหมด

ตั้งแต่คัดเลือกพันธุ์ เตรียมอาหารเพาะ ไปจนถึงการเพาะเลี้ยง ต้องมีนางคอยชี้แนะทั้งหมด

โชคดีที่พวกทหารปลดประจำการต่างตั้งใจทำงานกันเต็มที่ ไม่ได้โง่ซื่อ หลังจากนางชี้แนะไป พวกเขาก็ทำงานได้สำเร็จตามความต้องการของนาง

อีกอย่างการบดอาหารเพาะ การฆ่าเชื้อ การบรรจุก่อนหน้านี้ล้วนเป็นงานที่ใช้แรง หากไม่ใช่เพราะจ้างทหารปลดประจำการชุดนี้ ไม่แน่ว่าคนอื่นๆ อาจจะไม่มีประสิทธิภาพเช่นนี้

ช่วงนี้ฮุ่ยเซียงกับหลันหนิงต่างติดตามเฉียวเยี่ยนไปมาระหว่างเรือนกระจกต่างๆ พวกนางเคยเพาะเชื้อเห็ดมาก่อน จึงมีประสบการณ์แน่นอนและสามารถเป็นผู้ช่วยของเฉียวเยี่ยนในการอธิบายให้คนงานทราบว่าจะเพาะเห็ดได้อย่างไร

สามนายบ่าววุ่นจนไม่อยู่กับร่องกับรอย สองสามวันมานี้เหนื่อยจนปวดเอวเมื่อยหลังไปหมด ตกดึกหัวถึงหมอนก็หลับไหลไปทันที กระทั่งความฝันก็ไม่มีสักครั้ง

เฉียวเยี่ยนคาดหวังมาตลอดว่าจะฝันเหมือนตอนนั้นอีกครั้ง ทว่านางคอยมาหลายวันแล้ว ความฝันนั้นกลับไม่ปรากฏออกมาอีกเลย

นางรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย พลางเยาะเย้ยตัวเองว่าฟุ้งซ่านเกินไปแล้ว ไม่แน่ความฝันนั้นอาจจะเป็นเพียงแค่ความฝันธรรมดา เป็นนางเองที่คาดหวังเกินไป ถึงได้เพิ่มความเป็นไปได้มากมายไว้ในหัว

วันที่เจ็ดต้นเดือนเจ็ดเป็นเทศกาลฉี่เฉี่ยว(1) เฉียวเยี่ยนไม่ได้กลับไปตำหนักอ๋องซู่ แต่ยังคงนำกลุ่มคนงานทำงานในเรือนกระจกต่อ

ในสมัยโบราณ วันที่เจ็ดต้นเดือนเจ็ดยังไม่ได้พัฒนาไปเป็นเทศกาลชีซี(2) แต่เป็นเทศกาลที่พวกหญิงสาวต่างไปขอพรเรื่องฝีมือ

คนงานของนางล้วนเป็นพวกชายบึกบึนธรรมดา ไม่มีใครขอพรเรื่องฝีมือ ดังนั้นเฉียวเยี่ยนจึงไม่ให้วันหยุดพวกเขา ส่วนตัวเองก็ไม่ได้กลับตำหนัก

วันนี้งานไม่ค่อยยุ่งอย่างหาได้ยาก ตอนบ่ายราวๆ ยามเซิน นางก็ทำงานทั้งหมดของวันนี้เสร็จเรียบร้อย

หมู่บ้านที่นางอยู่ตอนนี้เรียกว่าหมู่บ้านจือซาน ห่างจากเมืองหลวงไปประมาณสองชั่วยาม นางไม่อยากเดินทางไปมา สามวันนี้นางจึงพักอยู่บ้านชาวบ้านหลังหนึ่งมาตลอด

หลังจากรับประทานอาหารกลางวันง่ายๆ เสร็จ นางรู้สึกเกิดความสนใจอย่างหาได้ยากขึ้นมา จึงหิ้วตะกร้าผักน้อย พาฮุ่ยเซียงกับหลันหนิงไปขุดผักป่า เก็บผลไม้ป่า

ทำเลที่ตั้งของหมู่บ้านจือซานถือว่าดีมาก มีภูมิประเทศเป็นที่ราบ และในหมู่บ้านมีแม่น้ำไหลผ่าน มีแหล่งน้ำมากมาย

พื้นที่ใกล้แม่น้ำถูกพวกชาวบ้านไถเป็นพื้นที่นาชลประทาน ตรงนั้นปลูกข้าวเป็นหลัก แต่ด้วยภูมิอากาศเป็นแบบภาคเหนือ ปริมาณความร้อนจึงไม่เพียงพอ หนึ่งปีจึงเก็บเกี่ยวได้แค่ครั้งเดียว

เฉียวเยี่ยนพาฮุ่ยเซียงกับหลันหนิงไปที่คันนา ปกติริมคันนาจะมีผักชีล้อมขึ้นอยู่ ตอนนี้เป็นฤดูร้อนอันอบอ้าวพอดี เก็บผักชีล้อมกลับไปยำก็จะคลายความร้อนได้

ตามคาด ที่ริมคันนาเจอของดีๆ ไม่น้อยเลย ไม่เพียงแต่มีผักชีล้อม ยังมีผักสะระแหน่ป่ากับผักอวี๋ซิงเฉ่า(3)ด้วย

ผักสะระแหน่ชนิดนี้ดูภายนอกแล้วคล้ายกับผักสะระแหน่ที่เห็นได้บ่อยในสมัยปัจจุบันมาก แต่มีใบเล็กกว่าเล็กน้อย และยังมีกลิ่นแรงมากกว่า

ครั้นเห็นผักสะระแหน่ นางก็รู้สึกราวกับเห็นอาหารอร่อยมากมายนับไม่ถ้วนกำลังโบกมือให้ตน

ในสมัยปัจจุบัน อาหารว่างในวัยเด็กของทุกคนน่าจะมีหลางหยาถูโต้(4) อยู่ในความทรงจำ

ที่แผงขายอาหารหน้าโรงเรียนสมัยก่อน คนขายจะทำโดยหั่นมันฝรั่งแท่งเป็นหยักๆ แล้วนำลงไปทอดในหม้อน้ำมัน ใส่เครื่องปรุงรสสูตรลับของเจ้าของร้าน คลุกเคล้าให้เข้ากัน สุดท้ายใส่สะระแหน่ไปหนึ่งกำมือ หอมจนทำให้คนน้ำลายไหล

มันฝรั่งทอดในกล่องกระดาษเล็กราคาสองสามหยวน ปักด้วยไม้จิ้มฟัน แล้วเพื่อนสนิทสองสามคนก็นั่งกินด้วยกันอย่างมีความสุข

ย้อนมาสมัยโบราณตั้งหลายปี นางยังไม่เคยทำหลางหยาถูโต้เลย ตอนนี้ได้เห็นผักสะระแหน่ ความทรงจำทั้งหมดก็ถูกดึงออกมา และวางแผนว่ากลับไปจะไปทอดสักหม้อหนึ่งเพื่อตอบสนองความอยากของนาง

บนคันนายังมีผักอวี๋ซิงเฉ่าจำนวนไม่น้อย อวี๋ซิงเฉ่ากับหลางหยาถูโต้ก็เป็นคู่ที่เหมาะมาก

ผักอวี๋ซิงเฉ่านั้นสำหรับคนที่ชอบจะบอกว่ามันอร่อย แต่สำหรับคนที่ไม่ชอบจะบอกว่ามันเป็นอาหารต้องคำสาป

เฉียวเยี่ยนคือคนที่ชอบผักอวี๋ซิงเฉ่าเป็นพิเศษ เมื่อก่อนตอนเรียนมหาวิทยาลัย ทั่วทั้งหอพักมีเพียงนางคนเดียวที่ชอบกิน พวกเพื่อนๆ มองนางกินผักอวี๋ซิงเฉ่ายังยอมรับยากกว่ามองนางกินขยะเสียอีก

ฮุ่ยเซียงกับหลันหนิงไม่เคยกินผักยวี๋ซิงเฉ่า เห็นหวางเฟยเด็ดใบยัดเข้าใส่ในปาก พวกนางก็เด็ดใส่ปากตาม เมื่อเคี้ยวไปสองคำ กลิ่นคาวอันไม่พึงประสงค์ก็ตีขึ้นหัว รมไปทั่วโพรงปากจนพวกนางต้องรีบอ้าปากคายมันทิ้ง

“ถุย! นี่มันคืออะไร? ไฉนถึงมีกลิ่นคาวปลาเช่นนี้?”

ฮุ่ยเซียงย่นหน้าจนยับยู่ยี่และพ่นน้ำลายออกมาไม่หยุด ด้วยอยากจะขับกลิ่นคาวในปากออกให้หมด

หลันหนิงสงบนิ่งมากกว่านาง กระนั้นก็ยังมีสีหน้าบิดเบี้ยวเกินจะบรรยาย คิ้วงามขมวดมุ่น กลืนของในปากลงไปอย่างยากลำบาก

เฉียวเยี่ยนขบขันกับท่าทางของทั้งสอง ก่อนเอ่ยอย่างระอา “พวกเจ้าไม่กลัวว่าที่ข้ากินจะเป็นยาพิษรึ? เห็นอะไรก็เอาเข้าปากหมด!”

ฮุ่ยเซียงส่ายหน้า พลางตบอกเอ่ย “บ่าวไม่กลัว ต่อให้เป็นยาพิษบ่าวก็จะกินตาม บ่าวยังอยู่ก็เป็นคนของหวางเฟย ตายไปก็จะเป็นผีของหวางเฟย!”

เฉียวเยี่ยนชำเลืองมองนาง และก่นด่าด้วยรอยยิ้ม “รู้จักพูดนะ”

“เจ้าสิ่งนี้เรียกว่าผักอวี๋ซิงเฉ่า ทั้งต้นกินได้หมด ที่กินบ่อยๆ จะเป็นส่วนรากกับใบของมัน อีกอย่างมันยังเป็นยาสมุนไพร มีฤทธิ์ขับความร้อน แก้พิษ ขับปัสสาวะ และลดการบวม”

ฮุ่ยเซียงยังมีใบหน้าบิดเบี้ยวอยู่ ก่อนเอ่ยด้วยสีหน้าเข้าใจ “มิน่าเล่าถึงได้กินยากเพียงนี้ ที่แท้ก็เป็นยาสมุนไพรนี่เอง!”

ในภาพจำของนาง ยาสมุนไพรทั้งขมทั้งเหม็น ไม่อร่อยเลย

เฉียวเยี่ยนยิ้มไม่เอ่ยอะไร เป็นความจริงที่บางคนรับกลิ่นของผักอวี๋ซิงเฉ่าไม่ได้จริงๆ นางจึงไม่บีบคั้นให้พวกนางยอมรับ

รอกลับไปทำออกมาให้พวกนางลองชิมอีกที หากยังรับไม่ได้ นางก็จะเพลิดเพลินไปกับความอร่อยนี้เพียงคนเดียว

บนคันนามีผักอวี๋ซิงเฉ่างอกงามอยู่มาก เฉียวเยี่ยนพกจอบน้อยมาด้วย จึงใช้จอบขุดรากมันออกมา แม้แต่ใบก็ไม่ทิ้ง และเอากลับไปทั้งต้น

หลันหนิงพกมีดสั้นติดตัวอยู่แล้ว นางดึงมีดสั้นออกมาจากเอวก้มนั่งลงตรงคันนาขุดด้วยกันกับเฉียวเยี่ยน ในขณะที่ฮุ่ยเซียงลูบๆ ตัวเองพบว่าไม่มีอะไร ก็ทำได้เพียงเก็บท่อนไม้จากด้านข้าง และใช้ท่อนไม้ค่อยๆ งัดไป

ท่าทางนั้นเหมือนสหายตัวน้อยใช้ไม้ขุดหลุมโคลนก็มิปาน ดูน่ารักอย่างบอกไม่ถูก

หลังจากขุดผักกันอยู่บนคันนาครู่หนึ่ง ตะกร้าน้อยที่พกมาด้วยก็เต็มแล้ว เฉียวเยี่ยนจึงไม่ขุดต่ออีก ปริมาณในนั้นเพียงพอให้นางกินได้สองวันแล้ว

สามนายบ่าวออกจากคันนา เดินไปยังริมแม่น้ำ หาสถานที่ที่สามารถล้างสิ่งของได้ นำตะกร้าน้อยลงไปแช่ในน้ำ ล้างโคลนที่ติดรากผักอวี๋ซิงเฉ่าออกให้สะอาด

ใต้แสงแดดเจิดจ้า ผิวน้ำเปล่งประกายระยิบระยับ วันที่อบอ้าวอุณหภูมิก็ลดลง สายลมพัดโชยเย็นสบายนัก

เฉียวเยี่ยนยังไม่อยากกลับไป ด้วยเหตุนี้สามนายบ่าวก็หาที่กว้างนั่งตากลมชมทิวทัศน์ ข้างหูสดับเสียงนกร้องอันเพราะพริ้ง พลันรู้สึกสบายใจขึ้นทันใด ความเหน็ดเหนื่อยจากการทำงานมาหลายวันก็หายไปหมดสิ้น

ฮุ่ยเซียงมองๆ อยู่ จู่ๆ ก็นึกถึงเจ้านายน้อยผู้น่ารักทั้งสอง ไม่ได้เจอกันตั้งหลายวัน ไม่รู้ว่าเด็กน้อยทั้งสองจะคิดถึงนางหรือไม่

เมื่อนึกมาถึงตรงนี้ นางก็หันไป มองเฉียวเยี่ยนด้วยท่าทางน่าสงสาร “หวางเฟย เมื่อไหร่เราจะกลับไปกันเจ้าคะ?”

เฉียวเยี่ยนแตะศีรษะนางเบาๆ ก่อนถามอย่างติดตลก “ทำไม? คิดถึงเฟิงหยางของเจ้าหรือ? ”

………………………………………………………………………………………………………………………….

乞巧节 เทศกาลฉี่เฉี่ยว คือเทศกาลขอพรหัตถการ เป็นเทศกาลที่เหล่าหญิงสาวจะขอพรในเรื่องงานฝีมือ งานช่าง งานเย็บปักถักร้อย เป็นเทศกาลสำหรับผู้หญิงโดยเฉพาะ

七夕情人节 เทศกาลชีซี หรือเทศกาลแห่งความรักของจีน เป็นวันที่ดาวหนุ่มเลี้ยงวัวกับดาวสาวทอผ้าได้มาเจอกันหลังถูกแยกจากกันด้วยแม่น้ำทางช้างเผือก และเป็นที่มาของเทศกาลชิลซอกในเกาหลี และเทศกาลทะนะบะตะในญี่ปุ่น

鱼腥草 ผักคาวตอง หรือผักคาวปลา (Houttuynia cordata) เป็นผักป่าที่มีใบเป็นรูปหัวใจ กลิ่นเหม็นเหมือนคาวปลา นิยมกินเป็นผักพื้นบ้าน มีงานวิจัยว่าสารสกัดจากพืชชนิดนี้สามารถยับยั้งมะเร็งได้

狼牙土豆 ยำมันฝรั่งทอดของจีน

สารจากผู้แปล

ผู้แปลขอบายกับเจ้าผักชนิดนี้เช่นกันค่ะ เคยกินแล้ว เหม็นเหมือนกินปลาเน่าไปทั้งตัว แถมยังชาไปทั้งปาก มันต้องกินกับก๋วยเตี๋ยวน้ำตกหรือว่าลาบถึงจะค่อยยังชั่ว

ไหหม่า(海馬)

ชายาผู้นี้ชอบทำสวน พวกเจ้าจะยุ่งทำไม?

ชายาผู้นี้ชอบทำสวน พวกเจ้าจะยุ่งทำไม?

Status: Ongoing
หลังตกภูเขาตายก็ได้มาเกิดใหม่ในร่างชายาอ๋องผู้ถูกเนรเทศที่กำลังคลอดบุตร​ แถมได้อยู่ในบ้านอันรกร้างมีแค่ที่ดินเปล่าๆ​ ผืนหนึ่งและระบบตัวช่วยชาวสวนที่จ้องแต่จะหักแต้มหากขี้เกียจ ต่อจากนี้ฉันจะทำยังไงดี?เรื่องย่อ: หลังพลัดตกภูเขาลงมาตาย​ วิญญาณของเฉียวเยี่ยนก็ได้มาเข้าร่างของหญิงสาวผู้หนึ่งที่กำลังท้องแก่ใกล้คลอดบุตร​อย่างไม่ทันตั้งตัว​ พอตั้งตัวได้ก็ต้องปวดหัวกับเรื่องที่พบเจอ​ ได้แก่…​ 1.ตนเป็นชายาอ๋องที่มีความผิดฐานบังคับจิตใจสามีจนถูกเนรเทศ​มาอยู่ในบ้านโกโรโกโสแห่งนี้​ 2.ตนมีลูกกับเขาผู้นั้นแล้ว​ และยังเป็นลูกแฝด​ชายหญิง 3.ตนมีระบบปลาเค็มคอยเป็นผู้ช่วยในภารกิจต่างๆ​ ติดตัวมาด้วย​ แต่ดูเหมือนจะเป็นเจ้าหนี้นอกระบบมากกว่า​ ถ้าไม่ทำงานสร้างเนื้อสร้างตัวก็จะโดนหักแต้มเฉียวเยี่ยนจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องงัดวิชาความรู้ทั้งหมดมาใช้ในการทำสวน​ หาเลี้ยงลูก​ สร้างฐานะให้ตัวเอง… ลำพังตัวข้าคนเดียวก็ทำได้โดยไม่ต้องพึ่งสามีอ๋องโบ้ผู้นั้นกระมัง?

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท