ตอนที่ 226 ป่าวประกาศ
ตอนที่ 226 ป่าวประกาศ
ขณะที่สามนายบ่าวทะเลาะกันอยู่ในสวนดอกไม้ มู่ฉินเจินที่อยู่ไม่ไกลนักก็นำเกาจัวหยวนเดินเข้ามา
วันนี้เขาไม่ไปค่ายทหาร อยู่ในห้องหนังสือเอาแต่จัดการงานราชกิจแล้วรู้สึกอุดอู้ จึงออกมาดูว่าเจ้าท่อนไม้กำลังทำอะไรอยู่
เฉียวเยี่ยนไม่ทันได้สังเกตเห็นเขา นางกำลังกัดแตงโมครึ่งหนึ่งและหัวเราะงอหงาย มู่ฉินเจินหยุดฝีเท้า เห็นนางหัวเราะอย่างมีความสุขเช่นนี้ก็ไม่ก้าวเข้าไปรบกวนนาง บนใบหน้าก็อดคลี่ยิ้มบางออกมาไม่ได้
ขณะที่เขามองภรรยาตัวเอง สายตาของเกาจัวหยวนก็ถูกหลันหนิงในชุดขาวดึงดูดสายตา
แม่เจ้า! ไม่นึกเลยว่าแม่พริกขี้หนูสวมชุดสตรีแล้วจะดูดีเช่นนี้!
เขาละสายตาไปไหนไม่ได้ ประหนึ่งถูกกาวแปะติดเอาไว้กับร่างหลังหนิง ในหัวก็เริ่มคิดหาคำบรรยายหญิงงามต่างๆ เหล่านั้น
น่าเสียดายที่เขาเป็นคนไม่ค่อยมีความรู้ ประโยคแรกที่คิดได้ก็คือ ‘แม่เจ้า! งามจริงๆ !’
ตอนนี้เขานึกเสียใจว่าเหตุใดตัวเองถึงไม่เรียนโคลงกลอนกับพวกซิ่วไฉคร่ำครึเหล่านั้นเพื่อนำมาใช้อวดความรู้นะ คำพวกนี้มักจะดีกว่าคำสบถของเขาเป็นไหนๆ
หลันหนิงไม่ชอบพูดมาก ปกติก็จะชอบตีหน้าขรึม นิสัยยิ่งเหมือนเด็กชาย ไม่มีความอ่อนโยนเหมือนหญิงสาวเลยแม้แต่น้อย ตอนที่เพิ่งเข้าตำหนักมา พวกพี่เกาจัวหยวนก็ชอบไปแกล้งนาง ทว่าทุกคราก็ถูกทุบตีกลับมา
แม้ถูกตีก็ยังชอบทำเรื่องนี้โดยไม่รู้สึกเบื่อหน่าย รอแม่สาวน้อยอารมณ์ดีก็ยังสามารถนัดไปดื่มสักมื้อได้ อย่ามองว่านางเป็นสตรีเชียว ทักษะการดื่มของนางล้มพวกชายร่างใหญ่ได้ตั้งสองคนเลยทีเดียว
เกาจัวหยวนหวนนึกถึงเรื่องราวในอดีตไปด้วย มองหลันหนิงที่เข้ารับการอบรมมารยาทอย่างเงอะงะไปด้วย ก่อนเริ่มยิ้มอย่างโง่เขลาขึ้นมาประหนึ่งคนเซ่อ
หลันหนิงเข้าเรียนหลักสูตรเร่งรัดไปสองวัน ในที่สุดท่าทางการเดินก็เหมือนกับหญิงสาวทั่วไปแล้ว ฮุ่ยเซียงมองนางพลางเผยรอยยิ้มปลื้มใจราวกับเป็นแม้แท้ๆ ออกมา
เฉียวเยี่ยนตรวจสอบผลงานของนางครู่หนึ่ง ก่อนพึงพอใจอย่างมาก ในที่สุดก็เปลี่ยนสาวห้าวให้เป็นสาวหวานได้เสียที
หลังจากสร้างบุคลิกภายนอกสำเร็จแล้ว ต่อไปก็คือการขับความมีสง่าราศีในตัวเองออกมา
เนื่องจากหลันหนิงต้องปลอมเป็นหมอเทวดา ดังนั้นนางจึงจำเป็นต้องเรียนความรู้พื้นฐานด้านการแพทย์ อย่างเช่นการจับชีพจร
อวดรู้ทั้งทีก็ต้องดูมีภูมิพอที่จะให้อวด จะถูกคนอื่นรู้ทันเล่ห์เหลี่ยมทันทีที่เข้าสนามไปไม่ได้
เฉียวเยี่ยนเข้าวังไปเชิญหมอหลวงชราคนหนึ่งมาตำหนัก หลายวันนี้หลันหนิงจึงเรียนจับชีพจรกับจัดยากับเขา
หลังจากเรียนไปได้ห้าวัน นางก็สามารถกล่าวคำศัพท์ทางการแพทย์ออกมาได้บ้างแล้ว เพียงพอที่จะหรอกคนได้
หลังจากเป็นหมอเทวดาได้แล้ว ขั้นต่อไปก็เป็นการป่าวประกาศ ให้อีกฝ่ายสังเกตเห็นพวกเขา และเริ่มเข้าหาด้วยตัวเอง
การป่าวประกาศที่ง่ายที่สุดคือการสร้างเรื่องราวให้เอิกเกริก เฉียวเยี่ยนให้คนไปจัดแผงการรักษาสองสามแห่งในเมืองหลวง เพื่อตรวจโรคแจกยาให้คนจนโดยไม่คิดเงิน
คนที่มาตรวจโรคผู้คนเป็นหมอทหารที่ถูกเชิญมาจากค่ายทหารสองสามคน ส่วนหลันหนิงแอบอยู่หลังม่าน แสร้งทำเป็นผู้มีฝีมือเชี่ยวชาญ จะตรวจโรคแค่ผู้ป่วยที่มีอาการหนักเท่านั้น
แน่นอนว่าคนที่มีอาการหนักเหล่านี้ล้วนเป็นคนที่เฉียวเยี่ยนหามา รอสองสามวันผ่านไป พวกเขา ‘หายจากการเจ็บป่วย’ แล้ว ก็ป่าวประกาศทักษะการรักษาอันยอดเยี่ยมของหมอเทวดาไปทั่วเมือง
ถึงตอนนั้นเฉียวเยี่ยนก็จะสั่งคนไปเติมเชื้อไฟอีก ให้ชื่อเสียงของหมอเทวดาดังออกไปอย่างกว้างขวางและรวดเร็ว รอให้อีกฝ่ายมาติดเบ็ด
แม้ผู้คนจะสงสัยว่าหมอเทวดาผู้นี้เป็นตัวจริงหรือตัวปลอม แต่กระนั้นก็ชอบดูความสนุก เมื่อได้ยินเรื่องน่าสนใจก็พูดคุยกันปากต่อปาก เป็นเช่นนี้ต่อๆ ไป ชื่อเสียงของหมอเทวดาก็จะเป็นที่เลื่องลือไปทั่วทั้งเมืองอย่างรวดเร็ว จากที่ปลอมก็กลายเป็นจริง
ยามที่เรื่องเกี่ยวกับหมอเทวดาในเมืองหลวงแพร่ไปทั่ว ก็คงยากที่มู่เจ๋อจิ่นผู้รักษาตัวอยู่ในลานดงป่าไผ่จะไม่อยากสนใจ
ในป่าไผ่เล็ก
มู่เจ๋อจิ่นนั่งดื่มชารับลมเย็นอยู่ในศาลา ฟังลูกน้องรายงานเรื่องเกี่ยวกับหมอเทวดาที่แพร่ในเมืองหลวงช่วงไม่กี่วันมานี้
“นายท่าน จะให้ข้าน้อยไปเชิญหมอเทวดาคนนี้มาหรือไม่?”
มู่เจ๋อจิ่นโบกมือ “อย่าเพิ่งแหวกหญ้าให้งูตื่น สังเกตดูอีกสองสามวันค่อว่ากัน”
หมอเทวดาคนนี้ปรากฏออกมาได้ประจวบเหมาะเกินไป จนเขาสงสัยว่ามีคนแอบวางแผนอยู่ในความมืด
การที่อีกฝ่ายไม่รีบร้อนไปติดเบ็ดก็อยู่ในการคาดเดาของเฉียวเยี่ยนเช่นกัน แต่กระนั้นนางก็รอได้!
นางมีเวลาเหลือเฟือ อย่างไรเสียคนป่วยก็หาใช่นาง ค่อยๆ ถ่วงเวลาเป็นเพื่อนเขา ก็สามารถถ่วงเขาจนตายได้
หลังจากผ่านการบ่มเพาะมาครึ่งเดือน หมอเทวดาก็มีชื่อเสียงโจษจันไปทั่วเมืองหลวง
มีเด็กของครอบครัวหนึ่งป่วยไข้ขึ้นสูงไม่ลด เพียงหมอเทวดาป้อนน้ำเชื่อมสีแดงให้หนึ่งคำ ไข้ก็ลดลงในวันนั้น
ครอบครัวนั้นซาบซึ้งจนน้ำตาไหล และเรียกหมอเทวดาว่าเป็นเทพเซียนกลับชาติมาเกิด แค่น้ำเชื่อมคำเดียวก็ทำให้อาการป่วยดีขึ้นได้
ความจริงแล้วนั่นคือยาน้ำลดไข้ที่เฉียวเยี่ยนเตรียมไว้ มันรักษาอาการไข้หวัดได้รวดเร็วนัก สมุนไพรในสมัยโบราณก็มีสรรพคุณน่าอัศจรรย์เช่นกัน ทว่าเห็นผลค่อนข้างช้า ดังนั้นผลการรักษาจึงไม่น่าอัศจรรย์เท่าน้ำเชื่อมสีแดงลึกลับนี้
มีผู้สูงอายุอีกครอบครัวหนึ่งที่ทนทุกข์ทรมานจากโรคไขข้อเข่ามาตลอดทั้งปี เมื่อถึงวันฝนตกอึมครึมก็จะปวดทั่วตัวจนเดินไม่ได้ พวกเขาจึงลองหอบสังขารมาขอความช่วยเหลือจากหมอเทวดา
ใครจะไปรู้ว่าหมอเทวดาจะส่งแผ่นยาแปะปวดที่มีชื่อว่ายากอเอี้ยะมาให้พวกเขา ยากอเอี้ยะมีกลิ่นยาโชยออกมาแรงมาก พอแปะลงไปครู่หนึ่งก็รู้สึกร้อน ตามมาด้วยความรู้สึกปวดที่ทุเลาลง
แม้จะมิอาจรักษาถึงต้นเหตุของโรคได้ แต่อย่างน้อยก็ลดความเจ็บปวดของผู้สูงอายุให้เบาลงได้ จะได้หลับสบายหลังจากห่างหายไปนาน
ความจริงยากอเอี้ยะนี้คือยาแปะบรรเทาอาการปวดกล้ามเนื้อที่เห็นได้บ่อยในร้านขายยาสมัยปัจจุบัน แต่สำหรับคนโบราณที่ไม่เคยใช้ยาพวกนี้มาก่อน ย่อมถือว่าได้ผลดีกว่ามาก
เมื่อยาสรรพคุณมหัศจรรย์พวกนี้ตกสู่สายตาของสาธารณชน ก็ถูกเผยแพร่ไปทั่ว ยิ่งเผยแพร่เรื่องราวก็ยิ่งพิสดารขึ้นเรื่อยๆ ในที่สุดทุกคนในเมืองหลวงก็รู้ข่าวหนึ่ง นั่นคือหมอเทวดามียาวิเศษมากมายอยู่ในมือ
มีหลายครอบครัวใหญ่ถึงขั้นมาขอความช่วยเหลือถึงหน้าบ้าน ต้องการซื้อยาในมือนางด้วยราคาสูง
แต่เฉียวเยี่ยนให้หลันหนิงปฏิเสธทั้งหมด นางไม่อยากให้ยาสมัยปัจจุบันประโคมหมุนเวียนขึ้นมาในสมัยโบราณ แม้แบบนี้จะทำให้นางหาเงินได้มหาศาล และสามารถช่วยได้หลายคน กระนั้นก็มักจะรู้สึกว่าการทำเช่นนี้จะทำให้ลำดับการพัฒนาในประวัติศาสตร์วุ่นวายไปหมด
เมื่อมีคนมาร้องขอถึงหน้าประตู หลันหนิงที่ซ่อนตัวอยู่หลังม่านก็ทิ้งคำพูดเชิงปรัชญาไว้ว่า ‘ยาไม่มีขาย มีแต่มอบให้เฉพาะผู้ที่ถูกลิขิตเท่านั้น’
ความหมายในคำพูดก็คือพวกเจ้าไม่ใช่ผู้ที่ถูกลิขิตของข้า ถึงแม้จะเอาเงินมาฟาดข้า ข้าก็ไม่ให้ยา
พวกคนรวยถึงกับนิ่งจังงัง และกลับจวนด้วยความสิ้นหวัง ด้วยเหตุนี้ เรื่องนิสัยแปลกประหลาดของหมอเทวดาจึงแพร่ออกไปในกลุ่มฝูงชน
กระนั้นพวกเขาก็เข้าใจได้ อย่างไรเสียคนเก่งกาจก็ไม่มีใครไม่แปลกประหลาด กลับกันด้วยเหตุนี้ทำให้พวกเขายิ่งรู้สึกว่าหมอเทวดาลึกลับเพิ่มขึ้น
หลังจากผ่านไปยี่สิบวัน ปลาที่เฉียวเยี่ยนรอคอยก็ทนไม่ไหวเข้ามาติดเบ็ดในที่สุด!
วันนี้หลันหนิงยังคงเสแสร้งหลบอยู่หลังม่าน เมื่อมีคนป่วยมา ก็ทำตามคำสั่งของเฉียวเยี่ยน ส่งยาให้เขาสองเม็ด หากเขาไม่มา ก็ซ่อนตัวดื่มเหล้าอยู่ด้านหลังอย่างเบื่อหน่าย
มู่ฉินเจินเป็นเถ้าแก่ใหญ่ของโรงหมักเหล้าอวิ๋นหลาย เหล้าในตำหนักจึงมักจะมีไม่ขาด นับตั้งแต่เข้ามาพักในตำหนักอ๋อง นางก็ไม่เคยเสียเงินซื้อเหล้าอีก ทุกวันเดินไปหลังครัวหิ้วออกมาหนึ่งไห ประหยัดเงินที่เสียไปกับเหล้าได้ไม่น้อย
เหล้าไหหนึ่งลงท้อง เด็กน้อยที่แสร้งจ่ายยาให้นางที่คอยอยู่ด้านนอกก็พาชายคนหนึ่งเข้ามา
ผู้มาเยือนมีรูปร่างผอมแห้ง ทว่าเป็นคนสูงเพรียว บนศีรษะสวมหมวกผ้าคลุมหน้าสีขาวบดบังใบหน้าเอาไว้ น้ำเสียงของเขาอ่อนโยนเยือกเย็น ขณะค่อยๆ เปิดปากกล่าว
“สองสามวันที่ผ่านมานี้ได้ยินว่าหมอเทวดามีวิชาแพทย์ล้ำเลิศนัก ช่วยรักษาคนใกล้ตายให้กลับฟื้นคืนชีวิตได้ ไม่ทราบว่าพอจะมีทางรักษาอาการป่วยของข้าน้อยบ้างหรือไม่?”
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
เหมือนจะมีเรือถือกำเนิดขึ้นอีกลำแล้วล่ะสิ องครักษ์เกาจะเลิกเป็นหมาโสดแล้วไหม?
ชอบความทันกันนี่จังเลย ต่างคนต่างรอจนกว่าอีกฝ่ายจะหมดความอดทนไปเอง
ไหหม่า(海馬)