ตอนที่ 276 จุดจบสกุลหวัง
ตอนที่ 276 จุดจบสกุลหวัง
เมื่อในบ้านมีเด็กเพิ่มมาอีกหนึ่งคน ก็พลันดูวุ่นวายขึ้นมาไม่น้อย ตอนกลางวันเสี่ยวฉวนเอ๋อร์กับเสี่ยวอวี๋เอ๋อร์ไปสำนักศึกษา กลับมาก็มาเล่นกับอันอัน
เนื่องจากอันอันเพิ่งมาตำหนักอ๋องซู่ได้ไม่นาน จึงไม่ค่อยคุ้นเคยกับตำหนักเท่าใดนัก บวกกับนางเองก็ขี้อาย เฉียวเยี่ยนจึงยังไม่ให้นางไปสำนักศึกษา ทุกวันหากไม่พกอยู่ข้างกายก็ออกไปทำกิจการด้วยกัน หรือไม่ก็ให้ข้ารับใช้ในตำหนักเล่นกับนาง
ในเวลาสั้นๆ เพียงห้าวัน เสี่ยวอันอันก็มีชีวิตชีวาขึ้นอย่างเห็นได้ด้วยตาเปล่า และชอบแสดงความคิดเห็นของตัวเองให้กับพวกผู้ใหญ่ฟัง
ชีวิตของเสี่ยวอันอันดีขึ้นเรื่อยๆ แต่เรื่องของสกุลหวังกลับยังคงดำเนินต่อ
แม่เฒ่าหวังกังวลว่าทรัพย์สินที่ลูกชายทิ้งไว้ให้จะถูกญาติๆ แย่งไป ดังนั้นหลังจากรับเหมยซื่อกับลูกชายเข้าจวนมา นางจึงมอบทรัพย์สินให้เหมยซื่อดูแลทันที และลูกชายของเหมยซื่อก็เป็นทายาทสกุลหวังของพวกเขา
ญาติคนอื่นๆ รู้สึกไม่พอใจอย่างมาก แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ได้แต่เฝ้าดูทรัพย์สินที่กำลังจะถึงมือลอยหายไปตาปริบๆ แม่เฒ่าหวังเห็นเช่นนี้ก็พึงพอใจสุดๆ
แต่ไม่คิดเลยว่าในตอนที่นางกำลังพึงพอใจ เหมยซื่อกลับกวาดเอาทรัพย์สินทั้งหมดในจวนไปหมด แม้แต่ลูกชายก็เอาไปด้วย สุดท้ายจวนสกุลหวังก็มีจุดจบด้วยความว่างเปล่า
เรื่องทั้งหมดนี้ทำให้คนแปลกใจ แต่ก็รู้สึกว่าอยู่ในการคาดเดา ถึงอย่างไรเหมยซื่อก็ยังสาวอยู่ ใครจะยอมขังตัวเองเป็นแม่หม้ายอยู่ในครอบครัวร่ำรวยไปตลอดชีวิตกัน
หลังจากกวาดทรัพย์สมบัติหลบหนีไป นางก็มีเงินอยู่กับตัว หลังจากเลี้ยงลูกชายจนเติบใหญ่แล้ว จากนี้ไปนางก็นั่งเสวยสุขไปตลอดชีวิต
แม่เฒ่าหวังถูกจู่โจมอย่างจัง นางขาหักยังไม่หายดีก็ได้รับการกระตุ้นอีกครั้ง จนล้มป่วยลุกไม่ขึ้น และหายใจรวยริน
จวนสกุลหวังที่เคยรุ่งเรือง ก็ล้มลงแบบนี้
เฉียวเยี่ยนไม่เห็นใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับจวนสกุลหวัง ด้วยนิสัยของแม่เฒ่าหวัง ต่อให้มีเงินทรัพย์สินมากมายก็อยู่ได้ไม่นานหรอก
นางแค่รู้สึกเสียดายฮูหยินหวังที่ติดตามคนผิดมาตลอดชีวิต
ฮูหยินหวังถูกตัดสินเนรเทศ ตามจริงนางควรจะถูกตัดสินแขวนคอ แต่เฉียวเยี่ยนก็ทนไม่ไหว ให้มู่ฉินเจินทำอะไรบางอย่างเกี่ยวกับเรื่องนี้ และในที่สุดก็ช่วยชีวิตนางไว้ได้
ในวันที่นางถูกพาตัวออกไปจากเมือง เฉียวเยี่ยนไปหานาง และไม่ได้พาอันอันไปด้วย เพราะไม่อยากให้นางเห็นมารดาตัวเองถูกพรากไปต่อหน้าต่อตาอีก
ฮูหยินหวังพอใจกับผลลัพธ์นี้มาก ไม่ได้เจอลูกสาวก็ดีเหมือนกัน ขอแค่รู้ว่านางสบายดีก็เพียงพอแล้ว
……
เวลาย่างเข้าสู่เดือนห้า เมล็ดพืชที่เพาะปลูกในฤดูใบไม้ผลิ ได้เติบโตขึ้นเป็นต้นกล้าแล้ว
ผักบนแปลงในตำหนักอ๋องซู่ล้วนเขียวชอุ่ม แล้วยังมีผักป่าเล็กน้อย เฉียวเยี่ยนหิ้วตะกร้ากับจอบน้อย เดินขุดผักป่ารอบตำหนัก เพื่อนำกลับไปทำถวนจื่อผักป่า
มู่ฉินเจินกับลูกทั้งสอง คนหนึ่งควรไปทำงานก็ไปทำงาน ควรที่ไปสำนักศึกษาก็ไปแล้ว มีเพียงอันอันตัวน้อยคนเดียวเท่านั้นที่ติดตามนาง และขุดผักป่าอย่างขมักเขม้น
พามาเลี้ยงในตำหนักไม่กี่วัน เด็กน้อยก็มีเนื้อหนังขึ้น สีหน้าก็ดูดีขึ้นมา รูปร่างลักษณะเด่นปรากฏออกมาชัดเจน
นางมีดวงตากลมโต จมูกเล็กกระจุ๋มกระจิ๋ม และปากน้อยจิ้มลิ้มสีอิงเถา ดูน่ารักอย่างยิ่ง เหมือนกับฮูหยินหวังไปแปดส่วน
ตอนฮูหยินหวังยังสาวนับเป็นคนงามคนหนึ่ง หวังจงเองก็หน้าตาไม่แย่ ลูกของทั้งสองย่อมไม่ต่างจากพ่อแม่มากนัก
น่าเสียดายที่ฮูหยินหวังประสบกับความชราเร็วไป ส่วนหวังจงหลังจากได้เป็นขุนนางก็กินจุขึ้น จากบัณฑิตหล่อเหลาเมื่อก่อนเปลี่ยนเป็นชายวัยกลางคนอ้วนพุงพลุ้ย
“อันอัน เก็บผักป่าพอแล้ว ไป เราไปถอนต้นหอมกัน”
เฉียวเยี่ยนมองคนตัวเล็กที่พยายามออกแรงดึงผักด้วยใบหน้าอ่อนโยน
เสี่ยวอันอันตอบรับอย่างเชื่อฟัง ถือผักป่าที่ขุดเมื่อครู่ขึ้นมา ยิ้มจนตาโค้งเป็นจันทร์เสี้ยว “ท่านน้าเฉียว ให้”
เฉียวเยี่ยนลูบหัวนาง ก่อนเอ่ยชม “อันอันของเราเก่งจริงๆ ”
หลังเก็บผักเสร็จ เฉียวเยี่ยนก็พาเด็กน้อยกลับลานบ้าน และต้องรีบทำกับข้าว อีกเดี๋ยวสามพ่อลูกน่าจะกลับมาแล้ว
เฉียวเยี่ยนวุ่นอยู่ในห้องครัว มีเสี่ยวอันอันเป็นผู้ช่วยอันดับหนึ่งของนาง ช่วยล้างผักก่อไฟ
อย่างมองว่าเด็กน้อยตัวเล็ก แต่เวลาทำงานกลับทำอย่างเป็นระเบียบ ที่ทำเป็นมีเยอะแยะมากมายเลย
เฉียวเยี่ยนมองนางก่อไฟอย่างชำนาญก็รู้สึกปวดใจ นี่ต้องลำบากมากแค่ไหนถึงได้ฝึกจนมีฝีมือเช่นนี้ออกมาได้
แต่ในเมื่อเด็กน้อยอยากช่วย นางก็ไม่ขวาง เพราะนางสัมผัสได้ว่าเด็กน้อยมีความสุข และผ่อนคลายมากยามที่ได้ช่วยเหลือ สิ่งที่นางทำได้ก็มีแค่เพียงชมนางไม่หยุด โดยเปลี่ยนเป็นคำชมที่หลากหลาย
นำผักที่เพิ่งเก็บมาใหม่ๆ ไปล้างน้ำให้สะอาด จากนั้นก็เอาลงไปลวกในหม้อ ไฟที่อันอันก่อลุกดีมาก ไม่นานน้ำก็เดือด
เฉียวเยี่ยนตักผักป่าที่ลวกในหม้อเสร็จแล้วออก ก่อนเอ่ยชมเด็กน้อยที่ก่อไฟ “อันอันเก่งจังเลย ลุงของเจ้าก่อไฟได้แย่กว่าอันอันอีก”
มู่ฉินเจินที่ถูกเอ่ยถึงอย่างไม่มีสาเหตุแสดงท่าทางไม่ได้รับความเป็นธรรมมาก ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ภรรยายังบอกว่าเขาเก่งอยู่เลย!
เสี่ยวอันอันที่ถูกชมมีความสุขมาก ในดวงตากลมโตทั้งสองเผยประกายรอยยิ้ม
เมื่อก่อนตอนอยู่บ้านหากนางก่อไฟได้ไม่ดี จะถูกแม่นมที่ดูแลดุด่า แถมยังไม่ให้ข้าวกินด้วย
ตอนนี้ท่านน้าเฉียวไม่เพียงแต่ชมนาง แถมยังให้นางทำของอร่อยหลากหลาย ซึ่งน่าเสียดายที่ท่านแม่ไม่มีโอกาสได้กิน
ขณะที่คิดเช่นนี้ เด็กน้อยก็รู้สึกเสียใจอีกครั้ง ไม่รู้ว่าท่านแม่มีชีวิตที่ดีอยู่ในห้องคุกมืดมิดนั้นหรือไม่
เฉียวเยี่ยนเห็นเด็กน้อยที่จู่ๆ ก็ก้มหน้าลง จึงเดาว่านางน่าจะคิดถึงแม่
ทว่าเรื่องนี้นางช่วยเด็กน้อยไม่ได้ ทำให้เพียงพยุงให้นางค่อยๆ เดินไป ที่นางทำได้มีเพียงให้ความรักนางให้มากพอ
หลังจากลวกผักป่าแล้ว ก็นำมาหั่นละเอียด แล้วเพิ่มแครอทหั่น ไข่คนที่ผัดเสร็จแล้ว วุ้นเส้นที่แช่น้ำแล้วลงไป เพิ่มเครื่องปรุงลงไปอีกหน่อย คลุกเคล้าให้เข้ากันเพื่อนำมาเป็นไส้
ปั้นไส้ที่ปรุงเสร็จแล้วเป็นก้อนกลมเล็กๆ แล้วห่อด้วยข้าวโพดบดเละ ปั้นเป็นก้อนกลมๆ เล็กๆ เหมือนก้อนทอง จากนั้นนำไปนึ่งในหม้อ ก็เป็นอันทำถวนจื่อผักป่าเสร็จ
ผักป่ามีกลิ่นหอมมาก เมื่อรวมกับกลิ่นหอมหวานของข้าวโพดแล้ว ถวนจื่อผักป่าที่นึ่งออกมาจะมีกลิ่นหอมมาก ตอนที่รับประทานจิ้มกับน้ำจิ้มพริกใส่น้ำมันแล้วรสชาติก็จะยิ่งดีมาก
ขณะที่นางยังผัดผักอยู่ เด็กทั้งสองก็กลับมาพอดี
เมื่อก่อนเข้าประตูมาก็จะร้องตะโกนเรียกแม่ ตอนนี้มีคำว่าน้องเพิ่มมาอีกคำ
เสี่ยวอวี๋เอ๋อร์มีเสียงดังที่สุด แม้อยู่ไกลก็ยังได้ยินนางเรียกแม่กับน้องสาว รวมถึงเสียงฝีเท้าอันร่าเริงด้วย
อันอันชอบพวกพี่ๆ ทั้งสองมากเป็นพิเศษ ครั้นได้ยินเสียงพวกเขา ก็ก้าวขาน้อยวิ่งออกไปต้อนรับ
“ท่านพี่ พี่หญิง ข้าอยู่ตรงนี้ มากินผักกันเถิด!”
เมื่อเด็กน้อยทั้งสามอยู่ด้วยกันวุ่นวายมาก มีหัวข้อพูดคุยจอกแจกจอแจไม่จบไม่สิ้น แม้แต่เสี่ยวฉวนเอ๋อร์ที่เคร่งขรึมเป็นปกติ ในเวลานี้ก็มีท่าทางเหมือนเด็กเล็ก
หลังจากเด็กทั้งสองแสดงความรักกับมารดาครู่หนึ่ง ก็จูงมือน้องอันอันออกไปเล่น
เฉียวเยี่ยนส่ายหน้าอย่างจนใจ ก่อนเอ่ยกำชับด้วยรอยยิ้ม “ห้ามแอบกินขนมนะ อีกเดี๋ยวต้องกินข้าวแล้ว”
เด็กน้อยทั้งสามที่วิ่งออกไปขานตอบกลับมาพร้อมกัน “รู้แล้วเจ้าค่า/ขอรับ!”
ต่อให้กินพวกเขาก็กินแค่นิดเดียว เพราะต้องเก็บท้องไว้ท่านของอร่อยแน่นอนอยู่แล้ว
วันนี้มู่ฉินเจินกลับมาค่อนข้างช้า อาหารที่วางไว้บนโต๊ะหมดแล้ว ถึงได้เห็นเขาเดินเข้ามาจากด้านนอก
เสี่ยวฉวนเอ๋อร์กับเสี่ยวอวี๋เอ๋อร์ต่างก็อ้าแขน อยากกอดกับท่านพ่อ ขณะเสี่ยวอันอันยื่นอยู่ด้านข้าง เรียก ‘ท่านลุงอ๋อง ’เสียงแผ่วเบามาก
นี่คือวิธีเรียกที่นางคิดมาเอง ความจริงท่านลุงคนนี้ดูสูงส่งและเย็นชาเกินไป น้าเฉียวให้นางเรียกลุงมู่ แต่เพื่อแสดงความเคารพของตัวเอง นางเห็นคนอื่นๆ ในตำหนักต่างเรียกเขาว่าท่านอ๋อง ด้วยเหตุนี้นางจึงเรียกว่า ‘ท่านลุงอ๋อง’
มู่ฉินเจินรู้ว่าเด็กน้อยกลัวเขา จึงพยายามขานรับด้วยความนุ่มนวลอย่างเด็มที่ จากนั้นก้อุ้มนางขึ้นมาวัดน้ำหนัก
เด็กน้อยที่ถูกท่านลุงอ๋องอุ้มขึ้นมามักจะแน่นิ่งจนกลายเป็นแมวโง่ตัวน้อยทุกครั้ง จวบจนเท้าแตะพื้น ก็ยังนิ่งค้างอยู่อย่างนั้น
……………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ชีวิตน้องอันอันตอนนี้มันช่างดีเหลือเกิน ส่วนสกุลหวังก็ให้ล่มสลายไปแบบนั้นแหละดีแล้ว
ไหหม่า(海馬)