ตอนที่ 238 ยิ้มซ่อนคมมีด
ตอนที่ 238 ยิ้มซ่อนคมมีด
ชิงอวี่หัวเราะเหยียดหยามอยู่ในใจ แต่ใบหน้าปราศจากอารมณ์ เพียงเสแสร้งทำหน้าสงสัยเล็กน้อยเท่านั้น “มันเป็นตัวอะไรหรือ?”
รอยยิ้มบนริมฝีปากชิงลั่วเยี่ยนเหยียดตรงไปครู่ “เจ้าไม่เคยเห็น?”
คิดหลอกเป็นหมูกินเสือสินะ นางไม่เชื่อหรอกว่าเยว่เฝินที่จงรักภักดีมาตลอดจะโกหกนาง
จิตเสี้ยวสุดท้ายที่เหลืออยู่ของหงส์เพลิงทองคำสลายไปแล้ว หลายร้อยปีที่ผ่านมา มันซ่อนตัวอยู่ในแดนระดับต่ำ แล้วมันเฝ้ารักษาสิ่งใดมานานขนาดนี้กัน?
คนคนนั้นก็ไม่ได้มีชีวิตอยู่แล้ว……
เด็กสาวยังมีใบหน้าสงบมั่นคง ไม่เผยความกังวลสักนิด ชิงลั่วเยี่ยนนัยน์ตาทะมึนลงแล้วเริ่มเอ่ย “แม่นางรู้หรือไม่ว่าที่นี่คือที่ไหน?”
“อารามจันทร์กระจ่าง” ชิงอวี่ตอบพลางเลิกคิ้ว
“ในเมื่อเจ้ารู้จักที่นี่ รู้หรือไม่ว่าหากโกหกในสถานที่ที่ใกล้สวรรค์เช่นนี้จะถูกฟ้าลงโทษ?” ชิงลั่วเยี่ยนหรี่นัยน์ตางามลง มองชิงอวี่คล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม
ชิงอวี่เกือบหลุดหัวเราะลั่น อีกฝ่ายน่าสนใจไม่น้อยเลยนี่? ตอนนี้ชอบหลอกให้นางตกใจกลัวแล้วหรือ?
แต่นางเติบโตมาพบเจอเรื่องหวาดกลัวไม่น้อยแล้ว
“สิ่งที่ท่านเจ้าอารามกล่าวมานั้นน่ากลัวนัก ผู้น้อยได้มายังสถานที่ที่เคยเพียงได้ยินเป็นครั้งแรกเช่นนี้ข้าก็กลัวมากแล้ว เกรงว่าคำพูดหรือการกระทำใดจะไม่เหมาะสม มีหรือจะกล้าพูดปดได้?”
เด็กสาวพลางสูดลมหายใจเข้าลึก น้ำเสียงยามเอ่ยเจือแววพิศวง
“เจ้าไม่รู้จริง ๆ หรือ?” รอยยิ้มชิงลั่วเยี่ยนเริ่มฉายแววเย็นชา นัยน์ตาเองก็เยียบเย็น
อาจเพราะเด็กสาวตรงหน้าหน้าตาเหมือนคนผู้นั้นมากกระมัง อีกทั้งทั้งกล่อมทั้งขู่ก็ยังไม่ได้ผล ชิงลั่วเยี่ยนจึงไม่อาจปิดบังไอสังหารภายในใจได้ นางเงื้อมือขึ้นหมายจะซัดไปยังหน้าผากเด็กสาว
ชิงอวี่ไม่เปลี่ยนสีหน้า มองฝ่ามือที่พุ่งเข้ามาใกล้พร้อมสายลมนิ่ง ยามมันเข้าใกล้มาเรื่อย ๆ ใบหน้านางกลับไร้อารมณ์แตกตื่น หากแต่ร่างกลับแข็งเกร็ง มือในแขนเสื้อถือเข็มทองไว้ เตรียมพร้อมหากสถานการณ์พลิกผัน
และก่อนที่ภาพนองเลือดกำลังจะบังเกิด ฝ่ามือนั้นก็พลันหยุดเพียงไม่กี่ข้อนิ้วก่อนถึงหน้าเด็กสาว ไม่เช่นนั้นคงได้มีหลั่งเลือดกันแล้ว
ไม่รู้ว่าทำไมนางถึงหยุดมือ
นัยน์ตาของทั้งสองสบกันอยู่ชั่วขณะ จากนั้นชิงลั่วเยี่ยนก็หัวเราะเบา ๆ แล้วเก็บมือกลับไป พลันเอ่ยขึ้นช้า ๆ “เจ้าใจกล้าไม่น้อย แต่ดันเกิดที่แดนต่ำ น่าเสียดายนัก”
“งั้นหรือ?” ชิงอวี่ยิ้มตอบ “เช่นนั้นก็คงเป็นเพราะมีวาสนาต่อกัน เพราะข้าเคยพบลูกน้องของท่านเจ้าอารามมาก่อน”
“อ้อ?” ชิงลั่วเยี่ยนเลิกคิ้วสนใจ “เป็นมาอย่างไรกัน?”
“ข้าเป็นนักปรุงยา บังเอิญช่วยคนเจ้าปัญหาผู้หนึ่งไว้ เขาถูกพิษหนอนกู่และต้องคำสาปพิเศษหนึ่ง แม้จะเสียแรงไปหน่อย สุดท้ายก็โชคดีรักษาเขาได้” ชิงอวี่ค่อย ๆ เล่าเรื่อง ใบหน้าคลี่ยิ้มอ่านไม่ออกพลางมองสตรีเบื้องหน้า
เป็นดังคาด สีหน้าชิงลั่วเยี่ยนเปลี่ยนทันทียามได้ยิน ทั้งตกใจไปเล็กน้อยราวกับไม่อยากเชื่อ
ชิงอวี่ยกริมฝีปากขึ้นแทบมองไม่เห็น “จากนั้นข้าก็ถูกบุคคลลึกลับโจมตี นางเป็นสตรี แต่กลับหน้าตาอัปลักษณ์นัก กายแผ่กลิ่นอายชั่วร้าย นางบอกว่าอยากสังหารข้าที่ทำให้นางอยู่ในสภาพน่ากลัวไม่ใช่คนไม่ใช่ผีเช่นนั้น กระทั่งยังกล่าวว่าตนเป็นหัวหน้านักบวชหญิงบนแดนเมฆาสวรรค์ ตอนนั้นข้าไม่เข้าใจ แต่ตอนนี้ข้าเข้าใจแล้วว่านางมาจากที่ใด”
“ชุดของนางเหมือนกับคนในอารามศักดิ์สิทธิ์ไม่มีผิด ทว่า… ที่นี่ไม่ใช่สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้าหรอกหรือ? คนชั่วร้ายเช่นนั้นมาปรากฏในที่เช่นนี้ได้อย่างไร? ข้าล่ะสงสัยยิ่งนัก”
เด็กสาวพูดแล้วก็ขมวดคิ้วดูฉงนนัก
เป็นตอนนั้นเองที่ชิงลั่วเยี่ยนใจเต้นแรง
หากสิ่งที่เด็กสาวพูดเป็นความจริง เช่นนั้นคนที่นางช่วยไว้….. ก็คงเป็นจอมมารแห่งแคว้นมาร โหลวจวินเหยา
เดิมทีนางแปลกใจว่าทำไมดินแดนระดับต่ำถึงสามารถฟูมฟักเลี้ยงดูคนมีฝีมือเช่นนี้ออกมาได้ นางสามารถคลายคำสาปที่พวกนางใช้เวลาหลายปีวางใส่ร่างบุรุษผู้นั้นออกได้
กระทั่งคำสาปกลืนอารมณ์ยังถูกถอนเสร็จ นางไม่คิดเลยว่าจะเป็นไปได้
แต่ไม่ว่าอย่างไรก็มีคนทำได้จริง ๆ
คนที่มีวิชารักษาสูงส่งเช่นนี้ ปกติจะเป็นพวกตาเฒ่ายายแก่รักสันโดษที่ใช้ชีวิตอยู่มานาน แต่ตรงหน้านางกลับเป็นเด็กสาวที่มีใบหน้างดงามไร้ที่ติ ยังเป็นเพียงเด็กสาวคนหนึ่งเท่านั้น ทั้งยังยิ้มกล่าวว่านางเป็นคนถอนคำสาปเองอีกด้วย
มันน่าเหลือเชื่อเกินไปจริง ๆ
“ท่านเจ้าอารามกำลังคิดอะไรอยู่หรือ? หรือว่ากำลังพยายามนึกว่ามีคนเช่นนั้นอยู่ในอารามศักดิ์สิทธิ์จริงหรือไม่?”
เด็กสาวกล่าวพร้อมรอยยิ้ม ดึงนางออกจากภวังค์ความคิด
ชิงลั่วเยี่ยนจึงได้สติ ด้วยความที่ไม่เผยอารมณ์มานานหลายปี จึงสามารถเรียกสติคืนได้เร็ว นางพลันหัวเราะเสียงเบากล่าวขึ้น “มีคนเช่นนั้นมาก่อน แต่นางแอบฝึกวิชาชั่วร้าย สุดท้ายก็เข้าสู่ทางมาร ข้าจึงไล่นางออกไป นางจึงกลายเป็นผู้ทรยศแห่งอารามศักดิ์สิทธิ์ นางลงมือทำอะไรบ้างข้าจึงไม่รู้ ไม่คิดเลยว่านางจะลงไปทำชั่วช้ายังดินแดนระดับต่ำ”
“งั้นหรือ” ชิงอวี่พยักหน้า สีหน้าเหมือนเพิ่งเข้าใจ “ข้าก็คิดเช่นนั้นอยู่ ท่านเจ้าอารามไม่เหมือนคนที่จะปกป้องอสรพิษเจ้าเล่ห์ชั่วร้ายเช่นนั้นได้ หากแต่เป็นผู้มีคุณธรรมยิ่งต่างหาก”
รอยยิ้มมุมปากชิงลั่วเยี่ยนแข็งค้างไปชั่วขณะ ก่อนจะกลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว “ย่อมเป็นเช่นนั้น”
“อ้อใช่ เราคุยกันมาตั้งนาน ข้ายังไม่รู้เลยว่าท่านเรียกข้ามามีเรื่องอะไร?” ชิงอวี่ทำเป็นไม่เห็นสีหน้าบิดเบี้ยวของอีกฝ่ายเมื่อพริบตาก่อน เอ่ยถามขึ้นเสียงใส
ชิงลั่วเยี่ยนเองก็คิดจะยกเรื่องนั้นขึ้นมาพูด แต่ถูกคำของชิงอวี่ทำให้โกรธ อารมณ์ในใจพลุ่งพล่านผันผวน ดังนั้นจึงไม่อาจพูดขึ้นมาได้
นางกดความไม่พอใจเอาไว้ “อ้อ ข้าคิดว่าในเมื่อเจ้ากับข้ามีวาสนาต่อกัน ทั้งตอนนี้อารามศักดิ์สิทธิ์ก็ขาดผู้ช่วยสตรีพอดี เลยอยากมาบอกว่าหากเจ้าเต็มใจก็เลือกอยู่ที่นี่ได้ พลังวิญญาณที่นี่หน้าแน่นกว่าบนดินแดนระดับต่ำนัก ช่วยเรื่องการบำเพ็ญเจ้าได้มากทีเดียว”
ในโลกที่อำนาจอยู่เหนือทุกสิ่ง ไม่มีใครไม่อยากแข็งแกร่งขึ้น ทำให้ตนเองมีอำนาจบนดินแดนแห่งนี้ขึ้นบ้าง
ชิงลั่วเยี่ยนคิดไว้แล้ว หลังนางเอ่ยคำไป เด็กสาวก็อ้าปากตอบด้วยความยินดีไม่ปิดบัง “ขอบพระคุณท่านเจ้าอาราม ข้าย่อมยินดี”
ใบหน้านางนั้นเหมือนกับพวกโลภมากหยิ่งยโสไม่มีผิด ละโมบอยากได้อำนาจมาถือครอง
นางอดรู้สึกดูถูกอีกฝ่ายอยู่ในใจไม่ได้ นางคิดว่าเด็กสาวคงจะเหมือนกับคนผู้นั้น ทว่านางกลับไร้ความพิเศษใด เหมือนกับมนุษย์คนอื่น ๆ เท่านั้น เสียดายใบหน้าที่เหมือนกับคนผู้นั้นจริง
หลังจากแสร้งฉอเลาะกันอยู่ครู่ใหญ่ ชิงอวี่ก็รับคำชิงลั่วเยี่ยนว่าให้ออกไปได้
เมื่อเดินออกมา สีหน้าชิงอวี่ก็เปลี่ยนไปทันที
วิชาปั้นหน้านางดีขึ้นทุกที เกือบจะหลอกตัวเองได้เลยด้วยซ้ำ
แต่อย่างน้อยนางก็ทำให้ตนเองอยู่ที่นี่ได้สำเร็จ
นัยน์ตาหงส์เรียวยาวเคร่งขรึมลง อย่างไรนางก็ต้องหาความจริงเรื่องเมื่อตอนนั้นให้ได้ เพราะคนที่ควรจะถูกใต้หล้าดูถูกเหยียดหยามไม่ควรเป็นท่านแม่ของนาง
——————————————-
กลับมาที่แคว้นมาร เมื่อไป๋จือเยี่ยนพาเด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาที่ดูยังไม่ประสาโลกกลับมาก็สร้างความสับสนมึนงงให้ทุกคนไปชั่วครู่ ครั้งนี้ไปเอาแกะน้อยหลงทางมาจากที่ไหนอีกเล่า?
มีคนเดินเข้าไปเอ่ยหยอก แต่ก็ถูกไป๋จือเยี่ยนที่อารมณ์ไม่สู้ดีไล่เตลิด
เด็กหนุ่มดูมีอายุราวสิบสี่สิบห้าปี นัยน์ตากระจ่างคล้ายนัยน์ตาหงส์ ใบหน้าหล่อเหลา กลิ่นอายบริสุทธิ์ไร้มลทิน ทั้งหมดทั้งมวลทำให้คนอื่นลังเล ไม่อยากทำให้เขาด่างพร้อย
ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เขาคือชิงเป่ยนั่นเอง
เขายังไม่เข้าใจเลยว่าจู่ ๆ ตนเองมาปรากฏยังสถานที่แปลกตาเช่นนี้ได้อย่างไร
แต่พอนึกได้ว่าไป๋จือเยี่ยนเป็นใคร อีกทั้งยังไม่ต้องกลัวว่าอีกฝ่ายจะทำอันตราย แม้รอบข้างจะแปลกตาก็ตามที สายตาทั้งหลายที่มองมาก็ดูสงสัยใคร่รู้นัก ชิงเป่ยอดถามขึ้นไม่ได้ “ที่นี่ที่ไหนหรือ?”
“แดนเมฆาสวรรค์” ไป๋จือเยี่ยนเหลือบมองพลางตอบ
ได้ยินดังนั้นชิงเป่ยก็ชะงักไป “ชิงอวี่ก็อยู่ที่นี่หรือ?”
เขาจำได้ว่าชิงอวี่บอกเขาไว้หลายวันก่อนว่านางจะเดินทางเข้าสถานที่ต้องห้ามสำนักละอองหมอกเพื่อเสาะหาเบาะแสเรื่องท่านแม่ ตั้งแต่นั้นนางก็ยังไม่กลับมาเลย
เขาจึงเริ่มเป็นห่วงว่านางอาจไปเจออันตรายใดเข้า คิดจะเข้าไปตามหานาง ไป๋จือเยี่ยนที่หายตัวไปนานก็พลันปรากฏตัวขึ้นแล้วพาเข้ามาที่นี่
เพราะชิงอวี่ ตอนนี้อีกฝ่ายจึงไม่ใช่คนแปลกหน้าอีกต่อไปแล้ว แต่ตัวเขาเองก็ไม่ได้มีปฏิสัมพันธ์กับอีกฝ่ายมากมายนัก
ดังนั้นจึงคาดเดาว่าที่อีกฝ่ายพาเขามาที่นี่คงเกี่ยวพันกับการหายตัวไปของชิงอวี่เป็นแน่
แม้เขาจะบอกอยู่เสมอว่าวันหนึ่งจะเดินทางมาที่นี่ด้วยตนเองให้ได้ แต่ก็ไม่คิดเลยว่าจะมาอย่างกะทันหันเช่นนี้ ที่นี่เป็นสถานที่ในตำนาน ที่ที่มีจอมยุทธ์วิชาล้ำลึกอาศัยอยู่
เป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่อเลยจริง ๆ
ไป๋จือเยี่ยนประหลาดใจกับท่าทีของเด็กหนุ่ม แต่ก็ยังพยักหน้าคลี่ยิ้มตอบ “แม่นางน้อยถูกพาตัวมายังแดนเมฆาสวรรค์จริง ๆ แต่ไม่ได้อยู่ในแคว้นมารเช่นพวกเรา”
“แล้วนางไปอยู่ที่ไหน?” ชิงเป่ยได้ยินว่านางถูกคนอื่นพาตัวมา นางย่อมตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก ดังนั้นเขาจึงห่วงความปลอดภัยนาง
ไป๋จือเยี่ยนส่ายหน้าหัวร่อ “วางใจเถอะ! มีโหลวจวินอยู่ นางไม่เกิดเรื่องหรอก เราอยู่ในถิ่นเรา ใครกล้าลงมือกับคนของเราต้องได้รับความยินยอมจากแคว้นมารเสียก่อน”
ชิงเป่ยจับประเด็นสำคัญในคำพูดของไป๋จือเยี่ยนได้
“ชิงอวี่ไปเป็นคนของพวกท่านตั้งแต่ตอนไหน?” ชิงเป่ยขมวดคิ้ว ไม่ชอบคำพูดนั้นขึ้นมาตามสัญชาตญาณ
อาจเพราะเขาเคยชินกับที่ยกย่องเชิดชูชิงอวี่เป็นที่หนึ่งมาโดยตลอด ตอนนี้กลับถูกใครอีกคนมาชิงเอานางไป
ไป๋จือเยี่ยนมีชีวิตอยู่มามากกว่าสองร้อยปี มีหรือจะไม่รู้สึกถึงท่าทีที่เปลี่ยนไปของเจ้าหนู เขาจึงมองหน้าชิงเป่ยพลางหัวเราะ “ตอนนี้แม่นางน้อยกับโหลวจวินเหยาตัวติดกันเป็นตังเม! เจ้ากลัวถูกนางทิ้งหรือ? ไม่ดีหรือที่มีคนที่เป็นห่วงเป็นใยเจ้าเพิ่มมาอีกหนึ่งคน?”
“ข้าไม่ต้องการ” ชิงเป่ยเอ่ยเสียงขรึม หลบสายตาไปด้านข้างด้วยรู้สึกไม่สบายใจเท่าไรนัก
อีกฝ่ายจึงว่าต่อ “ข้าพาเขามาแล้ว ฉะนั้นก็ลงมือได้เลยกระมัง”
“ขอบใจ” เป็นเสียงคนอีกคนหนึ่ง ทั้งทุ้มต่ำน่าฟัง เต็มไปด้วยกลิ่นอายที่ทำให้ไม่อาจมองข้ามไปได้