สาวงามตัวร้าย : ท่านจอมมารได้โปรดโดนตกซะทีเถอะ! – บทที่ 144 ใบหน้าระทมทุกข์

สาวงามตัวร้าย : ท่านจอมมารได้โปรดโดนตกซะทีเถอะ!

เยี่ยนซีอู่ทำท่าจะร้องไห้อยู่รอมร่อ “ทำอย่างไรดี? ข้าประหม่าจนคิดอะไรไม่ออกแล้ว หากเข้าไปแล้วถูกคัดออกทันทีละก็.…..”

“หากผู้อาวุโสฉินรู้ว่าเจ้าไม่ผ่านกระทั่งรอบทดสอบพรสวรรค์ละก็ เขาได้โมโหยกใหญ่แน่” เยี่ยนซีโหรวเอ่ยเสียงเบายามเห็นเยี่ยนซีอู่คล้ายกับสติจะหลุดลอยไป

ครึ่งปีที่ผ่านมา ฉินฟางช่วยฝึกฝนพวกนางให้ฝึกฝนพลังบำเพ็ญให้สูงขึ้น กวดขันเยี่ยนซีอู่ที่มีพรสวรรค์ต่ำที่สุดเป็นพิเศษ ตอนนี้พลังนางเพิ่มขึ้นบ้างแล้ว หากนางไม่ผ่านเข้าไปจริง ๆ เช่นนั้นหยาดเหงื่อแรงกายของฉินฟางก็สูญเปล่า

เยี่ยนซีอู่นึกภาพใบหน้าเคร่งขรึมของอาวุโสฉินแล้วก็ขนลุกซู่

ไม่ได้ นางต้องผ่านไปให้ได้

เยี่ยนซีอู่รีบดึงสติตนเองกลับมา

หลังจากทุกคนได้รับป้ายหมายเลขไปแล้ว ศิษย์สายหลักสองคนก็เดินไปเบื้องหน้าน้ำตก ก่อนจะเขวี้ยงบางอย่างเข้าไปอย่างรวดเร็ว พริบตาต่อมาเรื่องมหัศจรรย์ก็บังเกิด

น้ำตกไหลแรงที่ร่วงหล่นคล้ายกับจะถูกแช่แข็ง กลายเป็นทิวทัศน์งดงามดั่งภาพเขียน ทั่วพื้นที่พลันเงียบสงบไร้เสียงน้ำตกกระทบสิ่งใด

เสียงคล้ายแส้หวดพลันดังขึ้น ตรงกลางน้ำตกค่อย ๆ แหวกออก เผยให้เห็นตัวอักษรตัวใหญ่โดดเด่นเป็นสง่า อ่านได้ว่า “สำนักละอองหมอก” บนประตูหนักหนาทำจากหินปูกสลักเป็นรูปหัวแยกเขี้ยวสองตัว สายตาจับจ้องมาเบื้องหน้า

ศิษย์ทั้งสองเดินตรงเข้าไป จับห่วงสัมฤทธิ์ที่ห้อยอยู่ล่างหัวไว้คนละข้าง กระแทกเสียงเบาราวกับเป็นรหัสลับ จากนั้นประตูหินขนาดใหญ่ก็เปิดออก ค่อย ๆ เผยภาพสำนักที่ราวกับเป็นแดนเซียนสู้สายตาทุกคน

ทุกคนอดเบิกตากว้างมองภาพเบื้องหน้าไม่ได้ คำร่ำลือที่ว่าสำนักละอองหมอกเป็นที่อยู่ของเซียนก็ไม่ได้เป็นคำลวงไปเสียทั้งหมด เพราะมันงดงามเกินบรรยายจริง ๆ!

หญิงสาวสองสามคนในชุดสำนักสีขาวเดินข้ามสะพานหินผ่านไปด้วยท่วงท่าสง่างาม รูปโฉมสวยสะพรั่ง ทำให้เด็กหนุ่มเลือดร้อนทั้งหลายจ้องไม่วางตา สตรีในสำนักละอองหมอกต่างจากสตรีภายนอกจริง ๆ ดูราวกับเป็นเซียน แต่ละคนทั้งหน้าตาและท่วงท่าน่าสะท้านใจ!

เมื่อคิดว่าต่อไปจะได้พำนักอยู่กับคนดั่งเซียนเช่นนี้ ในใจทุกคนก็อดโผบินไม่ได้

“หมายเลข 1-10 ตามข้าเข้ามา” ศิษย์คนหนึ่งเอ่ยขึ้น จากนั้นหันหลังเดินเข้าไปด้านใน

เยี่ยนซีอู่สูดลมหายใจเข้าลุก ให้กำลังใจตนเองอยู่ภายในใจ ในขณะที่กำลังจะก้าวเท้าเข้าไป นางก็หันไปส่งสายตาน่ารักน่าสงสารคล้ายลูกสุนัขให้ชิงอวี่ที่ยังสำรวมท่าทีอยู่

ชิงอวี่ยิ้มให้กำลังใจนางตอบกลับไป

เยี่ยนซีอู่มั่นใจขึ้นในพลัน รู้สึกมีกำลังขึ้นทันที นางเดินเชิดหน้ายืดอกอย่างมั่นใจเข้าไปด้านใน

แม้นางจะไม่รู้ว่าเพราะอะไร แต่ชิงอวี่เป็นคนที่ทำให้นางรู้สึกปลอดภัยมั่นคงได้อยู่เสมอ แค่ได้การยอมรับจากนางก็ทำให้นางมีกำลังใจไปสู้เพื่อฝ่าด่านแรกไปได้แล้ว

แต่ละรอบมีคนเดินเข้าไปสิบคนเท่านั้น ที่น่าแปลกคือยามมีคนเดินผ่านเข้าไป หัวอสูรบนประตูหินทั้งสองก็จะส่องแสงสีน้ำเงินวาบออกมา

“อะไรน่ะ?” เยี่ยนซีโหรวถามเสียงฉงนอยู่บ้าง

หมิงอีอีที่อยู่ด้านข้างเอ่ยปากอธิบาย “เป็นการตรวจสอบว่าคนที่เข้ามามีอายุ ตามกำหนดหรือพกยาและของต้องห้ามเข้ามาช่วยเพิ่มพลังบำเพ็ญหรือไม่ หากพบสิ่งผิดปกติ ตาอสูรจะเปลี่ยนเป็นสีแดง”

“งั้นหรือ” เยี่ยนซีโหรวพยักหน้า

ชิงอวี่เงยหน้ามองหัวอสูรทั้งสองด้วยความสนใจ อดรู้สึกทึ่งกับสิ่งมหัศจรรย์สิ่งลึกลับทั้งหลายในโลกแห่งนี้ไม่ได้ ในที่แห่งนี้กลับมีเครื่องมือที่ก้าวหน้ามากเช่นนี้แล้ว

“ชิงอวี่” ด้านหลังพลันมีเสียงเยียบเย็นของหญิงสาวดังขึ้น

ชิงอวี่พลันมีสีหน้าประหลาดใจ ก่อนจะหมุนตัวไปพร้อมรอยยิ้ม “ไหลไหล! ข้านึกว่าเจ้าจะไม่มาเสียแล้ว!”

มู่ไหลที่ก่อนหน้านี้สัญญาว่าจะมาเข้าสำนักละอองหมอกด้วยกันกับชิงอวี่นั้นเดินทางมาสายเนื่องจากมีธุระด่วนในจังหวะสุดท้ายพอดี

ไม่ได้เห็นนางมาครึ่งปี มู่ไหลมีท่วงท่ามั่นคงขึ้นเล็กน้อย ให้ความรู้สึกผ่าเผยขึ้นมากกว่าเก่า

ครึ่งปีที่ผ่านมานางจัดการเรื่องภายในตระกูลมู่เสียเรียบร้อย ส่วนมู่ชิงเทียนก็ล้มหมอนนอนเสื่ออยู่หลายเดือนก่อนอาการจะดีขึ้น ดังนั้นนางจึงเป็นคนที่ต้องรับแรงกดดันทุกอย่าง แม้นางจะเป็นหญิงสาวที่อายุ 18 ปี แต่ชื่อสตรีปีศาจก็ไม่ใช่ชื่อที่ได้มาโดยใช่เหตุ นางเด็ดขาดและเด็ดเดี่ยว กระทั่งญาติสนิทแต่คิดร้ายกับนาง นางก็กำจัดลงในหมด

ตอนนี้ตระกูลมู่เคารพยำเกรงประมุขน้อยผู้นี้มาก แม้จะเอาชนะมู่ชิงเทียนได้ แต่หญิงสาวก็แสดงให้เห็นแล้วว่านางน่าเกรงกลัวกว่าบิดานางมากเพียงไร แล้วใครจะกล้าเล่นลูกไม้กับนางได้อีก?

ไม่เพียงไม่มีใครกล้าเหิมเกริมกับตระกูลมู่อีกต่อไป แต่กลายเป็นว่าทุกคนกลับเป็นห่วงสุขภาพความเป็นอยู่ของมู่ชิงเทียนมากกว่าตัวมู่ไหลเองด้วยซ้ำ

หญิงสาวยังสวมชุดดำตลอดตัวเช่นครั้งก่อน ร่างสูงโดดเด่นเผยกลิ่นอายเยียบเย็นออกมา

เมื่อนางเดินมาใกล้ ชิงอวี่ก็เลิกคิ้วขึ้น “ไหลไหล เข้าทะลวงผ่านชั้นแล้ว?”

เมื่อหกเดือนก่อนนางยังเป็นนักปรุงยาขั้นเงินชั้น 8 อยู่ แต่ตอนนี้กลับอยู่ที่ชั้น 9 ขั้นสุดแล้ว

มู่ไหลพลันเผยยิ้มบาง “อืม ทะลวงเมื่อสองเดือนก่อน ตั้งแต่นั้นก็ค้างอยู่ตรงนั้น ไม่ก้าวหน้าขึ้นอีก”

“นั่นก็ดีมากแล้ว นักปรุงยาทะลวงผ่านจะทะลวงผ่านชั้นผ่านขั้นได้ไม่เหมือนกับการทะลวงผ่านด่านของการฝึกยุทธ์ ทุกระดับคล้ายกับหุบเหวที่นักปรุงยาต้องก้าวข้าม เจ้าทะลวงผ่าน 3 ชั้นได้ในเวลาหกเดือนได้ หากนักปรุงยาทั้งหลายรู้เข้าคงหาว่าเจ้าเป็นคนบ้าไปแน่นอน” ชิงอวี่เอ่ยยิ้ม ๆ

มู่ไหลก็คลี่ยิ้มรับ ไม่ปฏิเสธ นางมีความสามารถสูงกว่านักปรุงยาทั่วไปก็จริง แต่ว่ากันเรื่องความบ้าคลั่ง ใครจะไปเก่งเทียบชิงอวี่ได้

หมิงอีอีเห็นสองคนสนิทกันมากก็ประหลาดใจ ครู่หนึ่งจึงเอ่ยถามขึ้น “คุณหนูท่านนี้….. มาจากตระกูลนักปรุงยา หรือจะเป็นคุณหนูมู่?”

นางเคยติดตามพี่ชายและผู้อาวุโสทั้งหลายไปเยือนตระกูลนักปรุงยาเมื่อหลายปีก่อน จำประมุขน้อยของตระกูลมู่ได้ว่าเป็นคนที่เย่อหยิ่ง คุยด้วยไม่ง่าย นิสัยเย็นชา ไม่คิดเลยว่าจะได้เห็นท่าทางเป็นมิตรของนางในวันนี้

มู่ไหลได้ยินก็หันมองนาง ดูประหลาดใจไม่น้อย “แล้วเจ้าคือ?”

อย่างที่คิดเลย ประมุขน้อยไม่เพียงเย่อหยิ่ง ยังไม่คิดใส่ใจคนที่นางไม่ใส่ใจ คนที่นางจำได้ดีมีเพียงชิงอวี่เท่านั้น คนที่นางชื่นชมสุดใจ

ชิงอวี่ได้ยินก็ยิ้มแล้วแนะนำคนให้ “นางคือหมิงอีอีแห่งชนเผ่าบำเพ็ญวิญญาณ เจ้าน่าจะเคยได้ยินชื่อนาง”

มู่ไหลพยักหน้า ดูเหมือนจะจำได้ “เจ้าเป็นน้องสาวของหมิงจิ้ง เคยมารับยาจากตระกูลมู่เมื่อสามปีก่อน”

ชนเผ่าบำเพ็ญวิญญาณและตระกูลมู่มีความสัมพันธ์ค่อนข้างดี ทั้งสองฝ่ายมีไมตรีต่อกัน มู่ไหลและหมิงจิ้งก็ค่อนข้างสนิทกัน ดังนั้นจึงไม่แปลกที่เขาจะเล่าเรื่องน้องสาวสุดที่รักให้มู่ไหลฟัง

“ไม่คิดเลยว่าคุณหนูมู่จะจำข้าได้” หมิงอีอีเอ่ยยิ้ม ลักยิ้มจุ๋มจิ๋มปรากฏขึ้นที่แก้มสองข้าง น่ารักน่าชัง

“เรียกข้ามู่ไหลเถอะ เข้าสำนักมาแล้วก็ไม่มีประมุขน้อยอะไรแล้ว” มู่ไหลเอ่ยตามตรง

“ได้สิ”

ที่อีกด้านหนึ่ง คนที่เดินเข้าไปด้านในเพื่อรับการทดสอบถูกพาเดินไปยังห้องโถงกว้างใหญ่แห่งหนึ่งที่ภายในไร้ผู้คน

“ศิษย์พี่ เอ่อ….. พวกเราสมควรมารับการทดสอบพรสวรรค์ไม่ใช่หรือ? ไม่เห็นมีศิลาทดสอบพรสวรรค์ที่นี่เลย” ชายหนุ่มใบหน้าประณีตคนหนึ่งเอ่ยเสียงแผ่ว

ศิษย์สายหลักเลิกคิ้วมองตอบกลับไป “อ้อ เราใช้ศิลาทดสอบพรสวรรค์มาตลอด แต่ปีนี้เราจะเปลี่ยนวิธีการน่ะ”

เปลี่ยนวิธีหรือ?

แต่ละคนต่างมองหน้ากัน สายตาทุกข์ระทม หากไม่ใช้ศิลาทดสอบพรสวรรค์แล้วจะทดสอบอย่างไรกัน?

“เริ่มจากความเข้าใจธาตุขั้นพื้นฐานก่อน ภายในเวลาสองถ้วยชา คนที่สามารถถอดรหัสพลังธาตุที่อยู่ที่นี่ออกมาได้เป็นคนแรกจะผ่านเข้ารอบ”

พูดจบแล้ว หากเมื่อครู่เหล่าศิษย์ใหม่มึนงงเป็นทุนเดิม ตอนนี้ยิ่งยืนงงเป็นไก่ตาแตก

เกิดอะไรขึ้นกัน? ทดสอบพรสวรรค์เกี่ยวพันอะไรกับการเข้าใจเรื่องธาตุหรือ? นั่นมันเป็นเรื่องที่เด็กเพิ่งจะเริ่มหัดวิทยายุทธ์ต้องเรียนไม่ใช่หรือ? พวกเขากำลังถูกหยอกเล่นอยู่หรือไม่??

เมื่อเห็นใบหน้าทั้งหลายแปรเปลี่ยนไปมากมาย ศิษย์สำนักจึงเอ่ยอธิบาย “พื้นฐานของการเป็นนักรบคือการเข้าใจพลังธาตุของตนเอง ข้าเชื่อว่าพวกเจ้าทุกคนเคยผ่านมันมาแล้ว หากเจ้าทำภารกิจเรียบง่ายที่สุดผ่านไปได้ด้วยดีย่อมหมายความว่าภารกิจที่ยากกว่าย่อมไม่ยากเกินฝีมือ แต่แม้มันจะดูง่ายนัก ก็ไม่ใช่ว่าทุกคนจะทำได้ ในห้องโถงใหญ่แห่งนี้มีพลังธาตุอยู่สามชนิด หมายความว่าในหมู่พวกเจ้าจะผ่านเข้าไปได้เพียงสามคนเท่านั้น ใครระบุธาตุได้ก่อนก็ผ่านก่อน”

เหตุใดรอบแรกจึงยากเช่นนี้แล้ว?!

ไม่เห็นมีใครบอกว่าจากการทดสอบพรสวรรค์ในรอบแรก กลับพลิกมาเป็นการทดสอบระดับนี้! อีกฝ่ายทำเอาพวกเขาไม่ทันตั้งตัว ผ่านเพียงสามจากในสิบ โหดร้ายเกินไปแล้ว!

แต่ที่ทุกคนไม่รู้คือภายในห้องโถงใหญ่แห่งนี้มีที่นั่งถูกติดตั้งไว้อยู่ โดยมีผู้คุมสอบนั่งอยู่บนนั้น แต่ผู้รบการทดสอบไม่อาจมองเห็นได้

นี่คือสิ่งที่ซู่หลีม่อเสนอไว้เพื่อไม่ให้พวกเขาเสียสมาธิจนแสดงฝีมือที่มีไม่ได้ ดังนั้นไม่ต้องให้เด็ก ๆ เห็นผู้คุมสอบจะดีกว่า

ที่นั่งอยู่ด้านซ้ายซู่หลีม่อคือผู้อาวุโสจินที่กำลังจับตามองคนในห้องโถงด้วยใบหน้าขรึม ซู่หลีม่อเห็นแล้วก็หัวเราะเสียงเบา “ผู้อาวุโสจิน ท่านว่าเด็กที่ท่านเห็นแววจะมาหรือไม่?”

ผู้อาวุโสจินหันมามองหน้าเขาแล้วเอ่ยเสียงมั่นใจ “ย่อมมาแน่”

ซู่หลีม่อเลิกคิ้วดูขบขัน “มั่นใจเช่นนั้นเชียว?”

“สายตาข้าถูกต้องตลอด พริบตาที่ข้าหมายตาเด็กนั่นไว้ ข้าก็รู้แล้วว่าเขาต้องมาเข้าเป็นศิษย์สำนักเราแน่” ผู้อาวุโสจินตอบ

ซู่หลีม่อพยายามกลั้นหัวเราะ ตาเฒ่าผู้นี้พูดราวกับตาเห็น หรือเขาจะเห็นอนาคตได้จริง ๆ? แต่เขาก็หวังว่าเจ้าเด็กนั่นจะเลือกมาสำนักละอองหมอกเช่นกัน

นอกจากผู้อาวุโสจินและซู่หลีม่อที่นั่งประจำที่ผู้คุมสอบ ยังมีผู้อาวุโสเหยียน หนึ่งในสิบสองผู้อาวุโส และศิษย์คนแรกของภาควิชาบำเพ็ญวิญญาณ หมิงจิ้ง และยังมีสตรีใบหน้าโดดเด่น ท่าทางเย่อหยิ่งอีกคนหนึ่งที่นั่งอยู่ด้านขวาสุด บนหน้าผากนางมีรอยดอกไม้งามประดับอยู่ จะเป็นใครไปได้นอกจากเยี่ยนหนิงลั่ว?

ในฐานะที่นางเป็นศิษย์หญิงที่มีพลังบำเพ็ญแกร่งที่สุดของศิษย์สายหลัก อีกทั้งยังเป็นคนโปรดของท่าเจ้าสำนัก นางจึงได้รับหน้าที่ผู้คุมสอบด้วยเช่นกัน

นางไม่คิดคุยเรื่องเด็กหนุ่มกับซู่หลีม่อและผู้อาวุโสจินแม้สักนิด ใบหน้านางไร้อารมณ์โดยสิ้นเชิง

ที่นางมานั่งอยู่ตรงนี้เพราะชิงอวี่และคนอื่น ๆ จะมาที่นี่ต่างหาก

นางไม่คิดว่าเจ้าโง่เยี่ยนซีอู่จะเดินเข้ามาเป็นคนกลุ่มแรก มีไหวพริบต่ำเตี้ยเช่นนาง อย่างไรก็ไม่อาจผ่านรอบแรกไปได้แน่นอน มีแต่จะมาทำขายขี้หน้าตนเองเท่านั้น

นางนึกย้อนไปถึงจดหมายลับที่มารดานางส่งมาเมื่อคราวก่อน นัยน์ตานางพลันทะมึนลง แต่ก็แทบมองไม่เห็น

เดิมทีนางคิดอยากทำให้เยี่ยนชิงอวี่รู้จักประมาณตนแล้วกลับไปเสีย ออกจากสำนักไปเอง แต่ไม่คิดว่าเด็กนั่นจะรังแกมารดานางถึงเพียงนี้ นับเป็นการท้าทายนางโดยตรงเลยทีเดียว

เมื่อเป็นเช่นนั้น ชิงอวี่จะโทษนางว่าใจดำไม่ได้

———————————————————————-

สาวงามตัวร้าย : ท่านจอมมารได้โปรดโดนตกซะทีเถอะ!

สาวงามตัวร้าย : ท่านจอมมารได้โปรดโดนตกซะทีเถอะ!

Status: Ongoing
ชิงอวี่ วิญญาณที่ล่องลอยมานานหลายปี จนในที่สุดก็ได้มาเข้าร่างของเด็กหญิงชะตาอาภัพ พ่วงมาพร้อมกับน้องชายฝาแฝดผู้พิการขาเดินไม่ได้ ชิงอวี่ที่ชินกับการอยู่ตัวคนเดียวมาทั้งชีวิต ได้ตัดสินใจจะดูแลน้องชายคนนี้ให้ดีที่สุด จนสุดท้ายนางถึงกับขโมย “แก่นเพลิงเยือกแข็ง” มาจากชายที่ผู้คนใต้หล้าเรียกเขาว่า “จอมมาร” และถูกเขาตามหวงหนี้แทบพลิกแผ่นดิน ชิวอวี่จะชดใช้หนี้ในครั้งนี้อย่างไรโปรดติดตาม

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท