บทที่ 203 ตำหนักนักฆ่าแห่งหุบเขาไร้กังวล
เมื่อเขาก้าวขึ้นสะพานไป อาจเพราะร่างใหญ่ของเขา โซ่เหล็กเหวี่ยงไปซ้ายทีขวาที แต่ไม่นานก็เงียบเสียงลง
เขาจึงยิ้มร่าแล้วเดินไปต่อ สะพานแกว่งไหว ๆ และเมื่อเขากำลังจะใช้พลังเพื่อพุ่งตัวไป สะพานเหล็กก็พลันสั่นไหวไกวแรงขึ้นทันที
มือแห้งสีดำนับสิบโผล่ขึ้นมาจากใต้สะพาน คว้าหมับเข้าที่ข้อเท้า เล็บแหลมจิกเข้าร่างจนเลือดหลั่งไหลออกมาเป็นสาย
ชายหนุ่มกลัวจนหน้าซีดเผือด ร้องเสียงขลาดกลัวไปหาคนที่อยู่อีกด้าน “ช่วยด้วย! ช่วยข้าด้วย! ใครก็ได้…..”
เขาเป็นศิษย์สำนักไร้สิ้นสุด เมื่อคนในสำนักเห็นดังนั้นก็มีคนหนึ่งกระโจนเข้าไป หมายจะแยกกรงเล็บช่วยเหลือคน แต่ยังไม่ทันลงมือ เพียงสัมผัสร่างชายโชคร้ายเท่านั้น ใบหน้าเขาเองก็เปลี่ยนเป็นสีคล้ำ ร่างชะงักค้างอยู่ตรงนั้น
มู่ฉือขมวดคิ้วราวกับอยากลงมือบางอย่าง ทว่าน้ำเสียงรื่นหูของเด็กสาวพลันดังที่ข้างหู “อย่าขยับ ร่างพวกเขาถูกกลิ่นอายความตายกลืนไปแล้ว ท่านช่วยพวกเขาไม่ได้แล้ว”
เป็นเสียงชิงอวี่
มู่ฉือใจเต้น หันไปมองนางทันที “ชิงอวี่ เจ้าต้องรู้วิธีช่วยพวกเขาแน่ ช่วยข้าช่วยเหลือพวกเขาได้หรือไม่?”
ชิงอวี่ยังไม่ทันได้เปิดปาก ที่เอวพลันถูกหยิก นางเงยหน้ามองนัยน์ตาคู่ที่จ้องเตือนนางดุดัน คล้ายจะบอกให้นางอย่ายุ่งเรื่องคนอื่น
ชิงอวี่ยิ้มให้อีกฝ่ายวางใจ บอกใบ้ว่านางไม่คิดลงมือเอง จากนั้นกวาดสายตามองคนแล้วก็พบคนที่มองหา นางส่งยิ้มให้เขาแล้วกวักมือเรียก “ซิงถง เจ้ามานี่”
เด็กชายที่นั่งเบียดอยู่กับซู่หลีม่อถูกเรียกก็ลุกขึ้นวิ่งมาหานางอย่างเชื่อฟังทันที ก่อนจะเปิดปากเรียกนางเสียงยินดี “พี่สาวชิงอวี่”
ซู่หลีม่ออึ้งไปเล็กน้อย เขาตาฝาดหรือไม่?
เจ้าเด็กซิงถงที่กลัวคน ไม่กล้าเข้าใกล้ใครยกเว้นเขา ไม่กล้าคุยกับคนอื่นเว้นเขาเช่นกัน ทำไมถึงไปทำตัวน่ารักกับคนอื่นเสียแล้วเล่า? แล้วดูท่าว่าอีกฝ่ายจะชอบนางมากกว่าเขาเสียด้วย
ภายในอกพลันมีความรู้สึกขมขื่นพล่านขึ้นมา เจ้าเด็กไร้หัวใจนั่น
ซิงถงเดินมาหน้าเด็กสาวอย่างเชื่อฟัง ยามเงยหน้ามองชายหนุ่มที่ส่งสายตาไม่เป็นมิตรมาให้ก็ให้รู้สึกกลัว รีบก้าวห่างออกมาอีกด้าน เอ่ยถามด้วยเสียงเบาอย่างระมัดระวัง “พี่สาวชิงอวี่ เรียกข้ามามีอะไรหรือ?”
ชิงอวี่ยิ้มแล้วขยี้หัวเด็กน้อย “ซิงถง เรื่องนี้เจ้าถนัด ให้พวกปีศาจนั่นหลับใหลไปสักหนึ่งเค่อสิ แค่นั้นน่าจะไม่คณามือเจ้ากระมัง?”
เด็กน้อยพยักหน้า จากนั้นเงยใบหน้างามประณีตของตนขึ้น เขาไม่กลัวคนอื่นจะเห็นรอยที่หน้าเขาอีกต่อไปก็เพราะนาง นางให้ความอบอุ่น เปิดใจเขา ทำให้เขารู้สึกมั่นใจในตนเองขึ้นมาก
“พี่สาวชิงอวี่วางใจเถอะ”
น้ำเสียงเขาเด็ดขาด จากนั้นก้าวออกไปด้านหน้า ยื่นแขนเล็ก ๆ ออกมาแล้ว ที่ฝ่ามือน้อยพลันมีพลังประหลาดก่อตัวขึ้น มันพากันพวยพุ่งไปยังหุบเหวไร้ก้นเบื้องล่างสะพานแขวนเหล็ก
ครู่หนึ่งผ่านไป ราวกับว่าทุกอย่างกลับคืนสู่ความสงบ ไม่ได้ยินเสียงใดอีก คนทั้งสองบนสะพานหมดสติไปด้วยความเหนื่อยอ่อน แต่ก็ดูไม่บาดเจ็บอะไร เพียงแค่ตกใจเท่านั้น
คนจากสำนักไร้สิ้นสุดรีบรุดเข้าไปพาคนออกจากสะพานแขวนทันที
“ทุกคนรีบข้ามไปเถอะ สะพานแขวนจะมั่นคงได้เพียงหนึ่งเค่อเป็นอย่างมาก พวกเรามากันมาก อย่าเสียเวลาอีกเลย” ชิงอวี่เปิดปากกล่าว
แต่คนทั้งหลายท่าจะยังตะลึงกับคนสองคนเมื่อก่อนหน้า จึงไม่มีใครกล้าเดินสุ่มสี่สุ่มห้า เมื่อได้ยินเสียงชิงอวี่เอ่ยเร่งจึงรีบออกเดิน หากบินได้ก็คงบินข้ามไปแล้ว
“ซิงถงคุมพลังเก่งขึ้นมาก ตอนนี้เก่งมากแล้วนี่นา” ชิงอวี่ยิ้มชมเด็กน้อย
เด็กน้อยกัดริมฝีปาก รู้สึกเขินอายอยู่เล็กน้อย แต่ไม่เอ่ยคำใด แต่มองดวงหน้าเล็กแล้วก็เห็นได้ชัดว่าเขามีความสุขมากเพียงไหน
อย่างไรเขาก็ยังเป็นเด็กน้อย ได้ยินคำชมเพียงคำหนึ่งก็ดีใจมากแล้ว
ครั้งนี้ทุกคนก็ผ่านไปได้อย่างปลอดภัย จากปกติที่ข้ามไปสิบบาดเจ็บเก้า ตอนนี้กลับปลอดภัยทั้งหมด เรื่องราวผ่านไปได้อย่างราบรื่น แผนของหุบเขาไร้กังวลที่หวังขู่อีกสองสำนักล่มไม่เป็นท่า
สำหรับคนที่มาเข้าร่วมงานสานสัมพันธ์แล้ว บางคนก็มาเพื่อมาชมหน้าผาแห่งความตายเพื่อมาดูด้วยตาตนเองว่ามันน่ากลัวจริงหรือไม่ แต่บางคนก็เลือกทางลัดเพื่อให้เดินทางมาถึงเร็วขึ้น
ซึ่งคนกลุ่มหลังจะใช้ทางต่างกัน เดินทางมาหุบเขาไร้กังวลผ่านทางประตูพิเศษ ในกลุ่มนั้นมีเยี่ยนหนิงลั่ว เหลียนฉ่าวเจี๋ย ซวนหยวนเช่อ และคนอื่น ๆ รวมอยู่ด้วย และเพราะพวกเขามาทางพิเศษ ดังนั้นจึงเข้าไปด้านในเร็วกว่ากลุ่มที่มาถึงหุบเขาไร้กังวลก่อนเสียอีก
ตอนนั้นพวกเขาหาที่นั่งกันเรียบร้อยแล้ว กำลังรอคนอื่น ๆ อยู่ที่ห้องโถงใหญ่ของหุบเขา
“ดูนักฆ่าจากหุบเขาไร้กังวลสิ ทุกคนสวมหน้ากากไม่ว่าจะบุรุษหรือสตรี กระทั่งข้ารับใช้ที่รินชายังปกปิดใบหน้า หน้าตาน่าเกลียดมากนักหรือไร?” เหลียนฉ่าวเจี๋ยว่า เอนศีรษะถามขำขันกับซวนหยวนเช่อ
ซวนหยวนเช่อยกถ้วยชาขึ้นจิบ “นั่นก็เพราะแม้แต่ข้ารับใช้ก็เป็นนักฆ่าฝีมือดี เพียงแต่ต้องทำตามบรรทัดฐานของอาชีพพวกเขาเท่านั้น ที่ยามทำภารกิจไม่อาจให้ใครมองแล้วจำได้ ดังนั้นจึงต้องปิดหน้า”
เหลียนฉ่าวเจี๋ยพยักหน้า เหลือบมองหญิงสาวท่าทางเย็นชาเย่อหยิ่งฝั่งตรงข้าม นางนั่งนิ่งอยู่เช่นนั้น และอาจเพราะมีนิสัยเย็นชาจึงไม่มีใครคุยกับนางเลย ปกตินางจะมีหญิงสาวอีกสองคนคอยอยู่ด้วย ทว่าครั้งนี้พวกนางกลับไม่อยู่
เหลียนฉ่าวเจี๋ยยกยิ้ม ใช้แขนกระทุ้งคนข้าง ๆ “นิสัยเย็นชาเช่นนั้น เจ้าคิดว่าบุรุษประเภทไหนถึงจะชนะใจนางได้?”
“อย่างเจ้าก็เหมาะนะ” ซวนหยวนเช่อเอ่ยเสียงเรียบ
เหลียนฉ่าวเจี๋ยได้ยินแล้วสะดุ้ง เอ่ยเสียงกลั้วหัวเราะ “ล้อข้าเล่นงั้นหรือ? หรือเพราะเจ้ายังไม่อาจปล่อยนางไปพร้อมรอยยิ้มได้ ได้ยินข้าพูดอย่างนั้นเลยอารมณ์ไม่ดี…..”
ซวนหยวนเช่อได้ยินก็พลันหัวเราะเบา ใบหน้าหล่อเหลาแต้มรอยยิ้มมีความหมาย “ข้าเห็นเจ้าชอบเอ่ยถึงนางเวลาคุยกับข้า ข้าก็เลยคิดว่าเจ้าเกิดความสนใจโฉมสะคราญแห่งสำนักละอองหมอกขึ้นมาน่ะสิ?”
เหลียนฉ่าวเจี๋ยเกือบสำลักน้ำลาย จ้องอีกฝ่ายเขม็ง “บ้าน่า! ข้าไม่อยากเอาหน้าร้อนไปแนบกับก้นเย็น ๆ หรอกนะ ทำดีไปจะถูกนางทำเย็นชาใส่เข้าน่ะสิ”
“อ้อ แสดงว่าไม่มั่นใจสินะ เกรงว่าหากไม่อาจเอาชนะใจนางได้ก็จะเสียหน้า” ซวนหยวนเช่อว่า ทำหน้าเหมือนเพิ่งตรัสรู้
เหลียนฉ่าวเจี๋ยรู้ว่าเถียงไปก็ไม่ชนะ ดังนั้นจึงส่งเสียงเหอะหยันออกมาแล้วปิดปากเงียบ ไม่พูดอะไรอีก
“คนจากสำนักละอองหมอกและสำนักไร้สิ้นสุดมาถึงหรือยัง?”
—————————————–
เฟิงฉีกับอี้หานกำลังมุ่งหน้าไปยังห้องโถงหุบเขาไร้กังวล ยามได้ยินเสียงก็ชะงักไปในพลัน ตกใจเล็กน้อยเมื่อเห็นบุรุษหนึ่งเดินออกมาจากเรือนไม้ไผ่
อี้หานเป็นชายใบหน้าดูดีแบบดุดัน มีรูปร่างสูงใหญ่ เป็นนักฆ่าแห่งตำหนักนักฆ่าที่ขึ้นชื่อเรื่องความแกร่ง ว่ากันว่าหมัดของเขาสังหารอสูรดุร้ายได้ มีพลังทำลายล้างสูงมาก
“อาจ้าน เจ้าอยู่ในหุบเขาด้วยหรือนี่?” เฟิงฉีกะพริบตาถามประหลาดใจ ได้ยินคำถามตนเองแล้วเขาพลันพยักหน้า “มีคนมาแจ้งว่าพวกเขามาถึงแล้ว พวกเราเลยกำลังจะไปพอดี”
จากนั้นก็ทำท่าเหมือนนึกเรื่องขึ้นได้ “อ้อใช่ เจ้าบอกให้ข้าหาเด็กสาวที่มีหน้าตาโดดเด่นวิชาแพทย์สูงส่งสินะ ข้าจับตามองไว้หลายคนทีเดียว…..”
“ไม่ต้องแล้ว ข้าพบนางแล้ว” ซีจ้านเฉินเอ่ยขัด จากนั้นก็เดินนำหน้าไป
เฟิงฉีกับอี้หานมองหน้ากัน หมอนั่น….. จะไปที่ห้องโถงหรือ?
วันนี้พระอาทิตย์ขึ้นทิศตะวันตกหรือไร? ทำไมเขากลับมาครั้งนี้จึงดูประหลาดไปกว่าทุกครั้ง?
“อาจ้านนำดอกบัวหัตถ์พระโพธิสัตว์กลับมาได้ใช่หรือไม่?” เฟิงฉีถาม
อี้หานพยักหน้า “ใช่แล้ว ตอนนี้เราเลี้ยงมันไว้ในบ่อบัวหลังเรือนไม้ไผ่ สภาพมันสมบูรณ์มาก”
“คนจากอีกฝั่งมาถามอยู่ แต่อาจ้านบอกว่าเขาไม่เคยเห็นดอกบัวหัตถ์พระโพธิสัตว์ มันหมายความว่าอย่างไรกัน?” เฟิงฉีเลิกคิ้วฉงน “หรือเขาจะเสียดาย ไม่อยากมอบดอกบัวหัตถ์พระโพธิสัตว์ให้พวกเขาแล้วหรือ?”
อี้หานส่ายหน้าเป็นเชิงว่าเขาเองก็ไม่รู้เช่นกัน
———————————————–
หลังจากผ่านอันตรายไปได้สองครั้งติด พวกเขาก็ไม่พบเรื่องลำบากอะไรอีก เดินทางมาถึงห้องโถงใหญ่ของหุบเขาไร้กังวลโดยสวัสดิภาพ
และเพราะหุบเขาไร้กังวลตั้งอยู่ท่ามกลางขุนเขา วัสดุที่ใช้สร้างเรือนทั้งหลายจึงทำมาจากไม้ไผ่และหินเป็นหลัก ให้ความรู้สึกแปลกใหม่ ทำเอาคนตาเป็นประกาย
“แขกทั้งหลายเดินทางมาไกลคงจะเหนื่อยนัก เชิญเข้ามานั่งพักผ่อนเถอะ!” เหยียนเจวี๋ยผายมือพร้อมรอยยิ้มเชื้อเชิญ “ท่านเจ้าหุบเขากำลังจะมาในอีกไม่ช้า”
ชิงอวี่หาที่นั่งตรงมุมห้องได้แล้วก็นั่งลง เป็นที่นั่งที่สงบดีนัก
ข้าง ๆ นางยังมีที่ว่าง โหลวจวินเหยาจึงเดินไปจับจอง ส่วนมู่ไหลก็นั่งอีกข้าง ชิงเป่ยที่ไม่ได้เห็นหน้าพี่สาวตนมาหลายวันกลับถูกบีบออกมาเช่นนั้น ที่เขาต้องไปนั่งโต๊ะถัดไปนั้นไม่ต้องกล่าวก็รู้ว่าเขาเศร้าสร้อยเพียงไหน
ชิงอวี่ส่ายหน้าจนใจพลางยิ้มปลอบเด็กหนุ่ม ส่งสัญญาณว่าหากมีโอกาสค่อยคุยกันคราวหลัง
นางเพิ่งจะนั่งลงได้ไม่นานก็พลันรู้สึกว่ามีสายตาของใครมองมา นางจึงเงยหน้าขึ้น พบหน้าคนที่ไม่ได้เห็นมานานอย่างเยี่ยนหนิงลั่วเข้า
แต่ก่อนนางไปภาควิชาพิเศษบ่อยครั้ง แต่หลังจากที่นางเผลอได้ยินอีกฝ่ายสารภาพความในใจกับชิงเยี่ยหลีแล้วถูกปฏฺเสธ นางก็ไม่เห็นอีกฝ่ายมาที่ภาควิชาอีก
ชิงอวี่ครุ่นคิด เสี่ยวเยี่ยไม่รู้จักถนอมอ่อนโยนกับสตรี เยี่ยนหนิงลั่วถูกเขาปฏิเสธก็คงจะยอมแพ้ไปแล้ว
แต่เมื่อเห็นสายตาอ่านไม่ออกที่อีกฝ่ายมองมา นางกลับไม่เห็นความสงบสุขในนั้นสักกระผีก มีแต่ความมืดน่าหวาดกลัวพลุ่งพล่านอยู่ในนั้น
ชิงอวี่ยกยิ้ม ก่อนหลบสายตาไป
“ท่านเจ้าหุบเขามาถึงแล้ว!”
เสียงประกาศดังขึ้นที่หน้าประตูแล้ว ร่างสูงก็ค่อย ๆ เดินเข้ามาท่ามกลางสายตาที่จับจองของผู้คน
ชายวัยกลางคนอายุราวสี่สิบ สวมชุดคลุมสีเขียวอ่อนตัวยาว ชายคนนี้ไม่หนุ่มแล้ว บนใบหน้าเห็นเค้าลางไหวพริบเฉียบคมและเสน่ห์เหลือล้นแผ่ออกมา ยามไม่ยิ้มก็เผยกลิ่นอายน่าเกรงขามออกมาบ้าง
ย่างก้าวเขาทั้งมั่นคงและแข็งแกร่ง เขาเดินขึ้นไปยังชั้นยกสูง ก่อนจะค่อย ๆ คลี่ยิ้ม “วันนี้เป็นวันงานสานสัมพันธ์สามสำนักใหญ่อีกครั้งหนึ่ง ในปีนี้จัดขึ้นที่หุบเขาไร้กังวล นับเป็นเกียรติต่อพวกเรานัก ข้าหวังว่างานในครั้งนี้จะช่วยกระชับไมตรีระหว่างสามสำนักใหญ่ให้มั่นคงยืนนานต่อไป!”