เช้าตรู่ เสียงนาฬิกาปลุกดัง ตื่นนอน ใส่เสื้อผ้า ล้างหน้าแปรงฟัน…
เช้าวันอาทิตย์ ขณะที่คนมากมายกำลังนอนหลับอยู่ในความฝัน ลู่เฉินก็ตื่นเช้าเหมือนเดิม ต้อนรับแสงอรุณกับหมอกบางยามเช้าเริ่มต้นวันใหม่ที่วุ่นวายอีกครั้ง
เขาออกกำลังกายสองชั่วโมงจนเหงื่อท่วมตัว อยู่ข้างทะเลสาบที่ขุดขึ้น หลังจากทานอาหารเช้าที่มากเป็นพิเศษเพื่อเพิ่มสารอาหารและดื่มน้ำเรียบร้อยแล้ว เขาก็รีบไปธนาคารที่เปิดทำการอยู่ใกล้ๆ บ้าน
ลู่เฉินนำเงินสามแสนหยวนที่อยู่ในบัญชีของตัวเอง โอนเข้าหมายเลขบัญชีที่คุ้นเคยมากที่สุด
เขาเพิ่งจะเดินออกมาจากประตูใหญ่ของธนาคาร เสียงโทรศัพท์ที่ยัดอยู่ในกระเป๋ากางเกงก็ดังขึ้น
ลู่เฉินรีบรับสายทันที “แม่ ผมกำลังจะโทรหาแม่พอดีเลยครับ!”
เสียงที่คุ้นเคยดังมาตามสาย “เสี่ยวเฉิน ลูกโอนเงินมาใช่ไหม ลูกไปเอาเงินเยอะแยะมาจากไหน”
เสียงนั้นแฝงไปด้วยความไม่สบายใจที่ควบคุมไม่อยู่กับความเป็นห่วงและกังวลที่ออกมาจากใจ
ลู่เฉินยิ้มและพูดว่า “ใช่ครับแม่ เป็นเงินที่ผมหามาได้”
คนที่โทรมาหาลู่เฉินก็คือฟางอวิ๋นแม่ของเขา
ฟางอวิ๋นเป็นพนักงานบัญชีธรรมดาคนหนึ่งในสำนักงานกิจการภาษีท้องถิ่นของเมืองปินไห่มณฑลเจ้อเจียง ตะวันออก หลังจากพ่อของลู่เฉินตายไป เธอก็แบกรับภาระหนักของบ้านด้วยความเข้มแข็ง
ลู่เฉินมาหางานทำในเมืองหลวงของปักกิ่ง และจะโอนเงินเข้าบัญชีฟางอวิ๋นทุกเดือน เพื่อให้ฟางอวิ๋นจัดการใช้หนี้ ถึงแม้จะไม่มาก แต่อย่างน้อยก็ไม่ทำให้คนต้องผิดหวัง
เจ้าหนี้ส่วนใหญ่ล้วนเป็นเพื่อนสนิท เพื่อนนักเรียนและลูกค้าของลู่ชิ่งเซิงเมื่อครั้งยังมีชีวิตอยู่ หลายคนให้กู้ยืมเพราะเห็นแก่ความสนิทสนม เชื่อใจและมิตรภาพ จึงยอมนำเงินที่ตัวเองสะสมทั้งชีวิตออกมา ถ้าหากไม่มีความหวังว่าจะได้คืน อย่างนั้นตระกูลลู่ก็ต้องแบกรับความผิดของการเสียสัจจะตลอดไป
ลู่ชิ่งเซิงตายไป เขาทิ้งหนี้ก้อนโตที่ไม่คืนไม่ได้ให้กับคนในครอบครัว
ลู่เฉินเคยโกรธ เสียใจ สิ้นหวัง ผิดหวังมาก่อน แต่ในที่สุดเขาก็ผ่านมาได้ และมองเห็นแสงสว่าง
ตอนนี้แสงแดดอบอุ่นส่องผ่านใบไม้ของต้นอู๋ถง สาดแสงไปบนใบหน้าและร่างกายของเขา
ฟางอวิ๋นพูดอย่างร้อนใจ “ลูกคนนี้ พูดความจริงมานะ!”
ลูกอยู่ห่างไกลแม่ก็เป็นห่วง ลู่เฉินออกมาจากมหาวิทยาลัยไปทำงานที่ปักกิ่งเกือบจะหนึ่งปีแล้ว ช่วงที่ผ่านมาเขาต้องประหยัดเงินจึงไม่ได้กลับบ้าน มีหรือที่ฟางอวิ๋นจะไม่คิดถึง
ตอนนี้จู่ๆ ลู่เฉินก็โอนเงินก้อนโตจำนวนสามแสนหยวนกลับมา เธอดูข้อความในโทรศัพท์ การตอบสนองอย่างแรกไม่ใช่ความดีใจ แต่เป็นความกลัวและลนลาน กลัวว่าลู่เฉินจะทำเรื่องที่ไม่ดี
ไม่อย่างนั้นเขาจะไปเอาเงินสามแสนมาจากไหน
ลู่เฉินจึงพูดว่า “แม่ครับ แม่ไปอ่านข้อความในเฟยซิ่นของแม่แล้วแม่จะเข้าใจ”
เมื่อวานเขากะไว้แล้วว่าจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้ เพราะฉะนั้นเขาจึงใช้โทรศัพท์ถ่ายรูปสัญญาที่เซ็นกับชิงอวี่มีเดียและเฉินเจี้ยนหาว เมื่อครู่ตอนที่โอนเงินเสร็จก็ส่งไปให้ฟางอวิ๋นแล้ว
ใช้เวลาเพียงห้านาที ในที่สุดฟางอวิ๋นก็มั่นใจว่าลูกชายของตัวเองไม่ได้ทำเรื่องผิดกฎหมาย
ลู่เฉินหาเงินได้มากมายโดยอาศัยการร้องเพลงเขียนเพลง แล้วก็ยังมีหุ้นส่วนห้าเปอร์เซ็นต์ของบาร์อีกด้วย!
เธอดีใจและภูมิใจมาก เอ่ยอย่างทอดถอนใจว่า “ลูกจะกลับบ้านเมื่อไร”
ลู่เฉินครุ่นคิด ตอบว่า “ต้นเดือนมิถุนายน ผมยังต้องกลับไปร่วมงานรับปริญญาของมหาวิทยาลัย ใช่ไหมครับแม่…”
“แม่ไปบอกพี่ที ว่าเธอไม่ต้องทำงานแล้ว ให้เธออยู่บ้านเตรียมตัวสอบปริญญาโทเดือนธันวาคมนี้เถอะ!”
ลู่ซีพี่สาวของลู่เฉินมีผลการเรียนที่โดดเด่นมาก ยังเรียนปริญญาตรีไม่จบก็ถูกส่งให้เรียนต่อแล้ว แต่เนื่องจากเกิดการเปลี่ยนแปลงของฐานะทางบ้าน เธอจึงต้องยอมทิ้งการเรียนต่อปริญญาโทแล้วไปทำงานหาเงิน
ลู่เฉินรู้ว่าความฝันตั้งแต่วัยเด็กของลู่ซีคือการได้เรียนจบปริญญาเอก และเธอก็มีความสามารถเช่นนี้ ดังนั้นตอน นี้ก็ยังไม่สาย
“บอกเธอว่าไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องหนี้ของบ้านอีกแล้ว มากสุดภายในสามปีผมจะคืนให้หมดครับ!”
ลู่เฉินพูดอย่างกล้าหาญมีพลัง เพราะเขาก็มั่นใจแบบนี้จริงๆ!
ฟางอวิ๋นกลับไม่ได้คิดในแง่ดีขนาดนั้น
“แม่จะลองดูนะ ลูกก็รู้จักนิสัยพี่สาวของลูก ดื้อเหมือนพ่อ!”
ลู่เฉินรีบพูด “ให้พี่มาอยู่ในเมืองสิครับ!”
ลู่เฉินเตรียมตัวจะพัฒนาตัวเองในเมืองหลวงเป็นเวลานาน ถ้าหากข้างกายมีคนในครอบครัวมาอยู่ด้วย อย่างนั้นก็จะดีมาก
พอจบการสนทนากับแม่แล้ว ลู่เฉินก็กลับไปที่ห้องพักรูหนู
หลี่เฟยอวี่ตื่นแล้ว ถือโทรศัพท์ยืนอยู่หน้าห้อง พอเห็นลู่เฉินกลับมาแล้วจึงรู้สึกสบายใจในทันที
“กำลังจะโทรหานายพอดี พวกเสี่ยวเหม่ยกำลังรออยู่ที่อาคารกว่างหยวน!”
“ฉันขอเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนแล้วค่อยไป!”
ลู่เฉินรีบเข้าไปที่ห้องของตัวเองเปลี่ยนเสื้อผ้าที่สะอาดหนึ่งชุด เป็นเสื้อเชิ้ตกางเกงยีนส์กับรองเท้าแตะเดินเล่นหนึ่งคู่ก็เรียบร้อยแล้ว จากนั้นจึงรีบไปที่อาคารกว่างหยวนพร้อมกับหลี่เฟยอวี่
อาคารกว่างหยวนอยู่ห่างจากห้องเช่าของลู่เฉินทั้งสองคนไม่ถึงห้านาที ที่ตรงหน้าประตูอาคาร ในที่สุดลู่เฉินก็ได้เห็นพี่เสี่ยวเหม่ยในตำนานคนนั้น
ความจริงเขาเคยเห็นรูปภาพของเสี่ยวเหม่ยแล้ว แต่เพิ่งเคยเห็นตัวจริงเป็นครั้งแรก
เสี่ยวเหม่ยยังสาวและสวย รูปร่างเล็กอรชรอ้อนแอ้นสไตล์น่ารัก แต่แต่งหน้าจัดไปหน่อย
แต่เพื่อนสาวที่มากับเธอกลับมีมาดของผู้หญิงทำงานมืออาชีพมากกว่า สวมชุดกระโปรงสั้นสีขาวผมยาวประบ่า ถือกระเป๋าใบเล็กกะทัดรัดมือถือโทรศัพท์บ่งบอกถึงท่าทางของคนฉลาด
“ขอโทษครับๆ!”
หลี่เฟยอวี่รีบพูดขอโทษติดๆ กัน “ให้สาวสวยสองคนต้องรอนาน ขอโทษจริงๆ นะครับ!”
เสี่ยวเหม่ยเหลือกตาขาวใส่ทำเสียง ‘เชอะ’ หนึ่งที และมีสีหน้าที่บอกว่า ‘ฉันไม่พอใจมาก’
แต่เพื่อนสาวของเธอกลับเข้าใจความรู้สึกของคนอื่นมากกว่า จึงยิ้มพูดไกล่เกลี่ยสถานการณ์
“ไม่เป็นไรค่ะ พวกเราก็เพิ่งมาถึง คุณคือหนุ่มหล่อที่ต้องการเช่าห้องใช่ไหมคะ”
สายตาของเธอมองไปที่ลู่เฉิน เผยแววตาสงสัยออกมาจากนัยน์ตาของเธอ
“ใช่ครับๆ!”
หลี่เฟยอวี่รีบพยักหน้า และพูดแนะนำ “นี่คือลู่เฉินเพื่อนที่ดีที่สุดของผมครับ ต้าเฉิน ฉันจะแนะนำให้นายรู้จักก่อน นี่คือเฉินเสี่ยวเหม่ย นี่คือจางอิงเพื่อนของเธอ”
ลู่เฉินยิ้มพูดว่า “ผมได้ยินชื่อเสียงของพี่เสี่ยวเหม่ยมานานแล้วครับ วันนี้ได้เจอตัวจริงเสียที!”
คนหล่อก็คือคนหล่อ โดยเฉพาะคนหล่อที่มีรูปร่างสูงใหญ่ พูดจาตลกขบขันอย่างลู่เฉิน โดยทั่วไปแล้วจะเป็นที่ชื่นชอบของคนอื่นมาก โดยเฉพาะเวลาที่เขายิ้มจะเต็มไปด้วยกลิ่นอายของแสงอาทิตย์สดใส ทำให้คนรู้สึกชอบโดยไม่รู้ตัว
และแล้วพี่เสี่ยวเหม่ยก็รู้สึกจริงๆ เม้มปากยิ้มและพูดว่า “ฉันรู้จักคุณ หลี่เฟยอวี่เล่าให้ฟังหลายครั้งแล้วค่ะ”
ลู่เฉินเอ่ย “พี่หลี่เป็นก็เป็นอบอุ่นใจดีแบบนี้ พวกเราไปดูห้องกันก่อนดีไหมครับ”
ห้องอยู่ในเขตจิ่นเฉิงหย่วนห่างจากอาคารกว่างหยวนออกไปสองสามร้อยเมตร
เขตจิ่นเฉิงหย่วนมีพื้นที่ไม่ใหญ่มาก มีตึกเดี่ยวไม่สูงมากเก้าหลัง แต่สิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ในเขตนี้ครบครัน พื้นที่สีเขียวก็มีอย่างน้อยห้าสิบเปอร์เซ็นต์ การบริหารค่าส่วนกลางก็เข้มงวด แขกที่มาเยี่ยมจะต้องลงทะเบียนเข้าออกทุกคน
สภาพแวดล้อมโดยรอบก็ดี ติดกับย่านธุรกิจ เดินไปสถานีรถไฟใต้ดินที่ใกล้ที่สุดได้ภายในไม่กี่นาที
ห้องของจางอิงคือห้อง 1502 หลังที่ 7 เป็นห้องสตูดิโอมาตรฐานหนึ่งห้องนอน หนึ่งห้องรับแขกบวกห้องครัวและห้องน้ำ ภายในห้องมีพื้นที่สามสิบห้าตารางเมตรโดยประมาณ อุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านครบครัน ดูแล้วใหม่ทั้ง หมด และข้างในก็รักษาความสะอาดดีมาก
อย่างน้อยลู่เฉินก็หาข้อบกพร่องไม่เจอ
ห้องสตูดิโอนี้จางอิงมาเช่าไว้เมื่อสองปีก่อน เธอเซ็นสัญญาเช่านานห้าปี จ่ายเงินตกแต่งไปไม่น้อยและมีเครื่องใช้ไฟฟ้าและเฟอร์นิเจอร์ครบชุด
เพื่อนสาวของพี่เสี่ยวเหม่ยคนนี้เป็นตัวแทนขายเครื่องสำอางในเมือง ตอนนี้การแข่งขันในเมืองดุเดือดเกินไป ดัง นั้นเธอจึงเตรียมตัวกลับไปเปิดร้านที่บ้านเกิด แต่อพาร์ทเม้นท์ที่เช่าอยู่ได้กลายเป็นปัญหาของเธอ
ค่าเสียหายจากการผิดสัญญาสูงมาก การเปลี่ยนผู้เช่าจึงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด แต่นายหน้าเดี๋ยวนี้ก็ไม่น่าไว้ใจ เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหายุ่งยาก จางอิงจึงโพสต์การปล่อยเช่าลงในกลุ่มเพื่อนที่กำลังหาห้องเช่า ไปๆ มาๆ ก็ได้มาเจอลู่เฉิน
ส่วนราคาเช่า จางอิงก็พูดตรงๆ
“ในเมื่อคุณเป็นเพื่อนของพี่หลี่ อย่างนั้นฉันขอพูดตรงๆ ห้าพันหยวนต่อเดือนจ่ายล่วงหน้าสามเดือนมัดจำหนึ่งเดือน อุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าให้คุณใช้ฟรีได้เลย ค่าน้ำค่าไฟค่าส่วนกลางก็จัดการเอง!”
การอาศัยในเมืองหลวงนั้นไม่ง่าย ราคาห้องในเมืองหลวงสูงมากที่สุดในประเทศ อย่ามองว่าห้องสตูดิโอนี้มีพื้นที่น้อย หากมีเงินไม่ถึงสองล้านก็ซื้อไม่ได้ รวมถึงเครื่องใช้ไฟฟ้าและการตกแต่งทั้งหมดกับค่าเช่าห้าพันถือว่าเป็นราคาปกติ
ลู่เฉินคิดแล้วพูดว่า “สี่พัน ผมจะเซ็นสัญญากับคุณสามปี จ่ายค่าเช่าก่อนครึ่งปีเป็นอย่างไรครับ”
เขาอยากจะเซ็นสัญญาเช่าที่เหลือทั้งหมดกับจางอิง ดังนั้นจึงต้องคุยราคาให้ดี
จางอิงยอมเซ็นทั้งหมดอยู่แล้ว แต่เธอก็เป็นผู้หญิงฉลาดในการทำธุรกิจ ใช่ว่าลู่เฉินพูดราคาไหนก็ราคานั้น
ทั้งสองฝ่ายต่อรองราคากันไปมา สุดท้ายราคาเช่าจึงตกลงกันได้ที่สี่พันห้าร้อยหยวน เครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใหม่มีสภาพกว่าเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ที่อยู่ในห้องรับแขก จางอิงก็ไม่คิดจะเอากลับ จึงขายลดราคาให้ลู่เฉิน
สำหรับการเจรจาซื้อขายนี้ ไม่ว่าจะเป็นลู่เฉินหรือจางอิงต่างก็พอใจมาก หลังจากทั้งสองคนตกลงกันแล้วก็ไปพิมพ์สัญญาเช่าที่ร้านถ่ายเอกสาร เซ็นชื่อและจ่ายเงิน ณ ตอนนั้น
ใช้เวลาไม่นานเท่าไร ลู่เฉินก็ได้ห้องเช่าใหม่ และใช้เงินหมดกระเป๋าในเวลาเดียวกัน
…………………………………………………………………………