ตอนที่ 190 แม่น้ำฉินไหวแห่งเมืองจินหลิง
ดินแดนเจียงหนานอันงดงาม จินหลิงเมืองแห่งราชา!
จินหลิงเป็นเมืองหลักของมณฑลซูเสิ่ง ตั้งอยู่ทางตะวันออกของประเทศจีน ทางผ่านของแม่น้ำแยงซีที่ไหลลงทางใต้ อยู่ติดแม่น้ำและใกล้ทะเล ประชากรมีมากกว่าสิบล้าน
เมืองนี้มีประวัติศาสตร์อารยธรรมยาวนานมากกว่า 6,000 ปี มีประวัติศาสตร์เป็นเมืองเกือบ 2,600 ปี และเป็นเมืองหลวงเกือบ 500 ปี นับเป็นเมืองโบราณใหญ่ติดอันดับหนึ่งในสี่ของประเทศจีน ขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองหกสมัย เมืองหลวงยุคโบราณ และเมืองโบราณสิบรัชกาล
ที่นี่เป็นสถานที่สำคัญของอารยธรรมชาติจีนเช่นกัน ในประวัติศาสตร์เคยได้รับความคุ้มครองปกป้องจากชนชาติจีนดั้งเดิม เป็นเมืองทางใต้ที่เป็นศูนย์กลางด้านการเมือง การปกครอง เศรษฐกิจ และวัฒนธรรม เป็นแหล่งประวัติศาตร์วัฒนธรรมที่อุดมสมบูรณ์!
นั่งรถไฟความเร็วสูงเที่ยว จี107 ออกจากปักกิ่ง หลี่เฟยอวี่กับลู่เฉินใช้เวลาเพียงสามชั่วโมงก็มาถึงเมืองเก่าแก่ที่เปลี่ยนเป็นเมืองทันสมัยแห่งนี้
ลู่เฉินมาจินหลิงเป็นครั้งแรก เพื่อมาถ่ายงานโฆษณาชิ้นแรกของตัวเอง
ครึ่งเดือนก่อน บริษัทโฆษณาอิ๋นหม่าแห่งปักกิ่งกับลู่เฉินได้ทำสัญญากัน เชิญลู่เฉินให้เป็นพรีเซนเตอร์ชุดกีฬายี่ห้อเซินฉี สัญญามีอายุหนึ่งปี มูลค่าสัญญาคือหนึ่งล้านหยวน
สัญญาฉบับนี้เป็นที่พอใจทั้งสองฝ่าย
เดิมทีบริษัทโฆษณาอิ๋นหม่ายื่นข้อเสนอค่าพรีเซนเตอร์เพียงแปดแสน แต่ผ่านการต่อรองของลู่ซี สุดท้ายสามารถเพิ่มค่าตัวขึ้นอีกสองแสน เนื้อหาในสัญญารวมถึงการเผยแพร่โปสเตอร์ ภาพโฆษณาเป็นต้น
เซินฉีเป็นสินค้าแบรนด์ใหม่ที่เพิ่งเปิดตลาด เน้นกลุ่มลูกค้าหลักเป็นวัยรุ่นที่ออกกำลังกาย ตอนนี้กำลังอยู่ในช่วงขาขึ้นถึงได้เลือกลู่เฉิน เหตุผลหลักคือลู่เฉินยังเป็นวัยรุ่น และท่าทางสุขภาพดี
โดยเฉพาะช่วงนี้กระแสของสถานีโทรทัศน์ปักกิ่งและเพลงฉันรักคุณประเทศจีนที่เขาร้องกำลังโด่งดัง ทั้งในและนอกวงการต่างได้รับคำชื่นชมอย่างสูง สุดท้ายทำให้ทั้งสองฝ่ายได้เซ็นสัญญากัน
สำหรับงานพรีเซนเตอร์ชิ้นแรกของตัวเอง ลู่เฉินให้ความสำคัญมาก เพิ่งผ่านเทศกาลวันชาติเขาก็รีบเดินทางไปเมืองจินหลิง
ภาพโฆษณาของเซินฉีชุดนี้เลือกถ่ายทำที่เมืองจินหลิงไม่ใช่ปักกิ่งเพราะ ประการแรกเซินฉีเป็นแบรนด์ดั้งเดิมของเมืองจินหลิง ลู่เฉินต้องถ่ายภาพโปสเตอร์โดยมีพื้นหลังเป็นสาขาใหญ่ของบริษัทเซินฉี
ประการที่สองโรงถ่ายทำภาพยนตร์แห่งจินหลิงใหญ่โตติดอันดับหนึ่งในสามของประเทศ พื้นที่กว้างขวางออกแบบทันสมัย มีกลิ่นอายแบบเมืองริมน้ำ ถนนคนเดิน วังเก่าสมัยราชวงศ์หมิงและชิง วังโบราณราชวงศ์ฉิน ภาพริมแม่น้ำในเทศกาลชิงหมิงอันเลื่องชื่อ วัดวาอารามที่เป็นสถาปัตยกรรมขนาดใหญ่เป็นต้น
อีกทั้งเมืองจินหลิงยังมีสวนป่าโบราณอีกนับไม่ถ้วน และยังเป็นศูนย์รวมของตลาดการค้าใหญ่ ดังนั้นบริษัทถ่ายทำภาพยนตร์ใหญ่ของเมืองหลวงและผู้จัดทำละครโทรทัศน์มักกำหนดให้เมืองจินหลิงเป็นสถานที่สำคัญที่ใช้ถ่ายทำ ทุกปีนักแสดงชื่อดังจำนวนนับไม่ถ้วนเดินทางเข้าออกเมืองจินหลิง
บริษัทถ่ายทำละครภาพยนตร์ในเมืองจินหลิงเองก็มีหลายแห่ง บริษัทโฆษณาอิ๋นหม่าได้เปิดสาขาย่อยที่เมืองจินหลิงอีกแห่ง เวลาถ่ายทำโฆษณาอะไรก็สะดวก และประหยัดต้นทุนไปมาก
เช่นครั้งนี้ที่ลู่เฉินต้องถ่ายทำโฆษณาของเซินฉีที่ต้องติดภาพวิวทิวทัศน์ของเมือง ถ้าถ่ายในเมืองหลวง แค่ปัญหาการตรวจสอบก็ทำให้คนปวดหัวมากแล้ว การควบคุมกฎระเบียบของเมืองหลวงนั้นเข้มงวดมาก
ที่เมืองจินหลิงนั้นไม่มีปัญหาเหล่านี้ การถ่ายทำละครภาพยนตร์ยิ่งไม่ต้องพูดถึง ต่อให้เป็นเรื่องทิวทัศน์ของเมือง ทางการยังสนับสนุนอนุมัติให้กิจการโทรทัศน์และภาพยนตร์ผ่านเข้ามาอย่างง่ายดาย
ด้วยเหตุนี้ถ้าทุกอย่างราบรื่น ลู่เฉินก็จะถ่ายทำโฆษณาและโปสเตอร์เสร็จเรียบร้อยภายในหนึ่งถึงสองวัน
รับเงินหนึ่งล้านหยวนเข้ากระเป๋าอย่างสบายๆ
รถไฟความเร็วสูงจอดตรงสถานี ลู่เฉินและหลี่เฟยอวี่ลงจากรถ
เดินผ่านเครื่องกั้นประตูทางออก หลี่เฟยอวี่ตาไวมองเห็นชายหนุ่มคนหนึ่งยืนถือป้ายต้อนรับแขกอยู่
ตัวอักษรใหญ่เขียนว่า ‘ลู่เฉิน’ สะดุดตา
ก่อนออกมาจากเมืองหลวง ทางออฟฟิศของลู่เฉินกับบริษัทโฆษณาอิ๋นหม่าตกลงกันเรียบร้อยแล้ว ลู่เฉินมาถึงฝ่ายตรงข้ามจะต้องจัดคนมาต้อนรับและดูแลเรื่องอาหารกับที่พัก
ชายหนุ่มคนนี้สวมเสื้อเชิ้ตสีฟ้า ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเป็นพนักงานที่ทางบริษัทโฆษณาอิ๋นหม่าส่งมาต้อนรับ
ลู่เฉินผ่านเครื่องตรวจบัตรออกมา เดินเข้าไปหาฝ่ายนั้น ยิ้มให้ทักทายว่า “สวัสดีครับ ผมคือลู่เฉิน”
ฝ่ายตรงข้ามตะลึงไปครู่หนึ่ง แล้วสะดุ้งตัวขึ้นรีบวางป้ายชื่อลงและจับมือกับลู่เฉิน
“สวัสดีครับ สวัสดี คุณลู่เฉิน สวัสดี…”
ลู่เฉินเดินทางมาครั้งนี้เขาสวมแว่นตากันแดด หนุ่มใส่เสื้อเชิ้ตจึงยังจำไม่ได้ในทันที
แม้ไม่มีการสร้างกระแสโฆษณา ตอนนี้ลู่เฉินเองก็มีชื่อเสียงขึ้นบ้างแล้ว เมื่อออกไปข้างนอกมักถูกแฟนคลับจำได้ การใส่แว่นกันแดดก็เพื่อป้องกันความวุ่นวายที่จะตามมา
ลู่เฉินยิ้ม “ให้คุณรอนานแล้ว พวกเราไปกันเถอะ”
ไม่คิดว่าลู่เฉินจะเกรงอกเกรงใจขนาดนี้ ชายสวมเสื้อเชิ้ตหน้าแดง ตอบกลับตะกุกตะกักว่า “ไม่ครับ ไม่นานเลย บริษัทจัดรถมาให้ รออยู่ข้างนอกแล้ว ผม…เป็นพนักงานของอิ๋นหม่า ชื่อลวี่เจ๋อ เรียกสั้นๆ ว่าเสี่ยวลวี่ก็ได้ครับ”
ลู่เฉินพยักหน้า เขาแนะนำหลี่เฟยอวี่ “คนนี้คือพี่หลี่เฟยอวี่ เป็นผู้ช่วยของผม”
“สวัสดีครับ สวัสดี!”
ลวี่เจ๋อน่าจะเป็นคนที่เพิ่งเข้ามาอยู่ในสังคมไม่นาน ยังไม่มีประสบการณ์การทำงานมากนัก และไม่ค่อยเก่งด้านมนุษยสัมพันธ์
หรือพูดอีกอย่างว่า บริษัทโฆษณาอิ๋นหม่าจัดหาคนมาคอยดูแลลู่เฉิน สงสัยจะไม่ค่อยให้ความสำคัญสักเท่าไหร่
แต่ลู่เฉินไม่เก็บมาใส่ใจ หรือพูดอีกอย่างว่าเขาไม่ได้คิดว่าตัวเองเป็นดาราใหญ่โต
การอวดเบ่งไปทั่วนั้น เขาจะไม่ทำเด็ดขาด
รถที่มารับลู่เฉินเป็นเพียงรถยนต์บิวอิคก์ธรรมดา คนขับเป็นชายวัยกลางคนพูดน้อย เมื่อทุกคนขึ้นรถแล้ว เขาขับทะยานมาถึงโรงแรมแห่งหนึ่งใกล้กับโรงถ่ายทำภาพยนตร์ในเขตเจียงหนิงแห่งเมืองจินหลิง
โรงแรมเป็นไปตามที่ตกลงไว้ในสัญญากับบริษัทอิ๋นหม่า จัดว่าเป็นโรงแรมในระดับห้าดาว
ตอนนี้เป็นวันหยุดยาวเทศกาลวันชาติจีน หากไม่ได้จองไว้ก่อน จะหาห้องพักสักห้องจากโรงแรมที่อยู่ใกล้สถานที่ท่องเที่ยวอันเป็นโรงถ่ายทำภาพยนตร์เมืองโบราณให้ได้นั้นยากมาก บริษัทอิ๋นหม่าสามารถจัดการให้ลู่เฉินได้พักในโรงแรมระดับห้าดาวได้แสดงว่ามีอำนาจไม่เบา
ปัญหาอย่างเดียวที่มีคือ ห้องที่จองไว้เป็นห้องแสตนดาร์ดธรรมดา ไม่ใช่ห้องชุดสูท
นักแสดงเวลาออกไปทำงานข้างนอก ต้องเจรจาเงื่อนไขกับอีกฝ่ายให้ชัดเจนก่อน เช่นการเดินทาง มาตรฐานของโรงแรมที่เข้าพักเป็นต้น ยิ่งนักแสดงมีชื่อเสียงยิ่งต้องมีรายละเอียดมาตรฐานสูง
เพราะหากไม่ได้ตามที่ตัวเองต้องการตามมาตรฐานที่ตกลงกันไว้ มักมีนักแสดงศิลปินหงุดหงิดอารมณ์เสีย ถึงกับยกเลิกงานไปเลย สุดท้ายกลายข่าวซุบซิบเป็นที่ครหาในวงการ
ศิลปินหลายคน หน้าตาสำคัญกว่าชีวิต ต่อให้ตัวเองไม่ได้ดีเด่นนักแต่ยังเรียกร้องมาตรฐานสูงเกินไป
สำหรับลวี่เจ๋อ เขารู้สึกสำนึกผิด “คุณลู่ครับ ตอนนี้โรงแรมเต็มหมดเลย ยอดจองห้องชุดสูทของโรงแรมถูกจองเต็มตั้งแต่สองเดือนก่อน ถ้าคุณว่าไม่เหมาะสม อย่างนั้น…”
“ไม่เป็นไร…”
ลู่เฉินยิ้มบาง ตัดบทการอธิบายของเขา “ห้องแสตนดาร์ดดีแล้ว ขอบคุณมาก”
ลวี่เจ๋อเบาใจลง “สมควรครับ สมควรครับ!”
เขากลัวที่สุดว่าลู่เฉินจะหงุดหงิดใส่อารมณ์ ถึงตอนนั้นบริษัทของเขาจะต้องโยนความรับผิดชอบให้เขาทั้งหมดเพื่อระงับความโกรธของลู่เฉิน ทำให้เขาพลอยซวยไปด้วย
หลายวันก่อนลวี่เจ๋อได้มาต้อนรับศิลปินที่มาถ่ายโฆษณาอีกคน เพราะรถที่ใช้รับส่งเป็นเพียงรถยี่ห้อบิวอิคก์ไม่ใช่รถเบนซ์ ศิลปินคนนั้นถึงกลับจะล้มเลิกงานแล้วจากไป ทำให้เขายุ่งวุ่นวายไปหมด
แม้ตอนหลังทางบริษัทรีบส่งรถเบนซ์มารับ กลับใช้เหตุผลของการรับรองที่ไม่ดีรายงานลวี่เจ๋อให้ถูกตำหนิไปครั้งหนึ่ง ทำให้เขายังต้องมาทำงานในวันหยุดชาติจีนนี้…เพื่อไถ่โทษ
ลวี่เจ๋อถูกใส่ความขนาดไหนไม่ต้องพูดถึง เขาไม่อยากทำงานแล้ว
แต่งานสมัยนี้หายากมาก วิธีการปฏิบัติของอิ๋นหม่าถือว่าธรรมดาทั่วไป เขาจึงได้แต่อดทน
โชคดีที่ ครั้งนี้คนที่ลวี่เจ๋อพบไม่ใช่คนไร้เหตุผล
การมารับลู่เฉิน ทางบริษัทได้เตรียมรถเบนซ์ไว้แล้ว แต่เพราะดาราอีกคนต้องเปลี่ยนแผนการเดินทาง สุดท้ายรถเบนซ์ถูกนำไปใช้ก่อน จึงใช้รถบิวอิคก์มาทดแทน
ตลอดทางที่ผ่านมา ในใจของลวี่เจ๋อรู้สึกไม่สงบสุข
ความใจกว้างและความเข้าอกเข้าใจของลู่เฉินทำให้เขาประทับใจ
ผู้ช่วยของบริษัทอิ๋นหม่ากระตือรือร้นถามขึ้นว่า “คุณลู่ ถ้าคุณยังไม่เหนื่อย เดี๋ยวผมจะพาทั้งสองท่านไปเที่ยวชมวัดฟูจื่อทางโน้น และชิมอาหารพื้นเมือง จากนั้นไปเดินเล่นริมแม่น้ำฉินไหว คุณเห็นว่ายังไง?”
ลู่เฉินพยักหน้า “เป็นแขกต้องตามใจเจ้าบ้าน เอาตามที่คุณว่าก็แล้วกัน”
แม่น้ำฉินไหวเขาได้ยินชื่อเสียงมานาน ในเมื่อมาถึงที่แล้วก็ต้องออกไปชื่นชมทิวทัศน์แม่น้ำตามตำนานสักหน่อย
หลังจากเก็บข้าวของเสร็จ ลู่เฉินกับหลี่เฟยอวี่ติดตามลวี่เจ๋อไปที่วัดฟูจื่อ
รับประทานอาหารที่ร้านอาหารท้องถิ่นชื่อดังจ้วงหยวนโหลวแล้ว ทั้งสามไปชื่นชมวิวแม่น้ำฉินไหวยามค่ำคืนด้วยกัน
พักหลังมานี้ ลู่เฉินเอาแต่ตรากตรำทำงานหนัก วันนี้เป็นโอกาสอันหายากที่ได้ออกมาผ่อนคลาย
ดังนั้นเขาจึงวางงานความรับผิดชอบทั้งหมดเอาไว้ชั่วคราว
ทิวทัศน์ของแม่น้ำฉินไหวตลอดจนถึงวัดฟูจื่อเป็นช่วงที่ศิวิไลซ์ที่สุด ถนนคนเดินมีผู้คนสวนกันไปมามากมาย ร้านอาหารร้านน้ำชาสองฟากฝั่งแม่น้ำ ชิ้นงานฝีมือที่มีคนตะโกนขายกันระงม แผงร้านของกินเล่นท้องถิ่นจำนวนนับไม่ถ้วน ป้ายหน้าร้านติดไฟสีแดงสดใสส่องสว่าง หยอกล้อไปกับทิวทัศน์ของแม่น้ำอย่างลงตัว
ตรอกอูอี สะพานจูเชวี่ย นกนางแอ่นหน้าบ้านของหวังเซี่ย ร่องรอยแห่งอดีตกาลเปลี่ยนเป็นสถานที่ท่องเที่ยวอันศิวิไลซ์ เพียงแต่นักท่องเที่ยวจำนวนนับไม่ถ้วนที่เดินอยู่ในถนนใหญ่ตามซอยของวัดฟูจื่อ หรือนั่งเรือท่องเที่ยวไหลล่องไปตามแม่น้ำ
ยอดของต้นหลิวโค้งลงมาแตะผิวน้ำ ผู้สูงอายุหลายคนนั่งล้อมโต๊ะ ดื่มชาเล่นหมากรุกกันอย่างสนุกสนาน
บรรยากาศยามค่ำคืนของแม่น้ำฉินไหว แสงจันทร์อบอุ่นแสงดาวทอประกาย เสียงน้ำไหลกับแสงโคมบนพื้นน้ำ เสียงพิณและขลุ่ยอันไพเราะแว่วมาจากเรือท่องเที่ยวแกะสลัก ทำให้รู้สึกเหมือนหลุดเข้าไปอยู่ในห้วงเวลาโบราณกาล
ลู่เฉินเดินทอดน่องไปตามทางเดินของฝั่งแม่น้ำ สูดกลิ่นดอกไม้เถาวัลย์ที่เลื้อยพันอยู่ตามชั้นไม้ ฟังเสียงแม่น้ำฉินไหวที่ไหลลื่น อดรู้สึกอภิรมย์ใจขึ้นมาไม่ได้
ยืนบนสะพานเหวินเต๋อแล้วทอดสายตามอง เห็นเพียงแต่โคมไฟเล็กใหญ่จากบนเรือสะท้อนมา ผู้คนบนเรือถือกล้องถ่ายรูปและโทรศัพท์มือถือถ่ายรูป
บางคนหันกล้องมาเล็งที่ลู่เฉินผู้ยืนอยู่บนสะพาน บันทึกภาพของเขาด้วยรอยยิ้มยินดี
เหตุการณ์เช่นนี้ทำให้ลู่เฉินนึกถึงบทกลอนของกวีที่มีชื่อเสียงคนหนึ่ง…เธอยืนอยู่บนสะพานชมทิวทัศน์ คนที่ชมทิวทัศน์มองเธอจากบนอาคาร แสงจันทร์สาดส่องหน้าต่างห้องเธอ เธอตกแต่งฝันให้คนอื่น
แม้ยังไม่หนำใจ เขาก็ยังรู้สึกเผลอไผลไปกับมัน
…………………………………………………………………………………………