ตอนที่ 422 ไม่เป็นปัญหา
สตูดิโอลู่เฉินเซียงเจียงฟิล์มแอนด์ทีวีแม้เพิ่งก่อตั้งขึ้นไม่นาน แต่ที่นี่มองดูเป็นระเบียบเรียบร้อย พนักงานที่รับสมัครเข้ามาไม่มีใครว่าง ต่างตั้งใจทำงานวางแผนการถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องแรกกันอย่างขะมักเขม้น
นกกระจิบแม้ตัวน้อยแต่ก็มีอวัยวะครบถ้วน สิ่งสำคัญที่สุดคือ บรรยากาศในสตูดิโอดีมาก ทำให้คนรู้สึกมีชีวิตชีวา เป็นที่พึงพอใจของลู่เฉินมาก
วั่นเสี่ยวเฉวียนไม่ใช่คนโลภในผลงาน เขายกความดีความชอบให้ผู้จัดการสตูดิโอเฉินเหวินเฉียง
พนักงานในสตูดิโอลู่เฉินเซียงเจียงฟิล์มแอนด์ทีวียังมีน้อย แน่นอนว่าลู่เฉินเป็นเจ้านายใหญ่ วั่นเสี่ยวเฉวียนรับหน้าที่ผู้อำนวยการศิลป์ ส่วนที่เกี่ยวข้องกับงานทั่วไปล้วนเป็นหน้าที่ของชายวัยกลางคนรูปร่างผอมแห้งคนนี้
เฉินเหวินเฉียงไม่มีหน้าตาที่โดดเด่น โหนกแก้มสูง คางเล็กแคบ ปากแหลม ผิวของเขาคล้ำ รูปร่างเล็ก ส่วนสูงไม่เกิน 160 เซนติเมตร สวมชุดสูทที่ยับยู่ยี่ดูน่าขัน
แต่สายตาของเขากลับวาววับ ประกายตาทำให้คนที่มองรู้สึกว่าเขาเก่งกล้ายากจะต่อกรด้วย เขาไม่ใช่คนว่าง่ายเลยสักนิด
ระหว่างเดินทางมาที่สตูดิโอ วั่นเสี่ยวเฉวียนได้เล่าถึงผู้จัดการใหม่คนนี้ให้ลู่เฉินฟังเป็นพิเศษ
เฉินเหวินเฉียงเป็นเชื้อสายของคนที่ย้ายเข้ามาอยู่ในเซียงเจียงรุ่นแรก เติบโตมาในหมู่บ้านชาวประมงเล็กๆ แห่งหนึ่ง จบการศึกษาชั้นมัธยมก็เริ่มทำงานเลย เริ่มตั้งแต่ล้างจานกวาดถนน ต่อมามีโอกาสได้เข้ามาทำงานในวงการภาพยนตร์
เขาเริ่มจากทำงานชั้นล่างคอยเป็นเด็กช่วยงาน แล้วขยับมาเป็นผู้ช่วยและผู้จัดการส่วนตัว แม้กระทั่งงานผู้กำกับรายการให้กับสถานีโทรทัศน์ก็เคยทำมาแล้ว มีประสบการณ์การทำงานสูง มีบทบาททำงานได้ครอบคลุมหลายอย่าง เพียงแต่ยังไม่เคยได้มีหน้ามีตาจริงๆ สักที
การงานมีอุปสรรค ชีวิตของเขาไม่ค่อยราบรื่นนัก ภรรยาของเฉินเหวินเฉียงจากโลกนี้ไปเร็ว เหลือเพียงลูกสาวคนเดียวเป็นที่พึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ยอมทำงานหนักสู้ชีวิต
วั่นเสี่ยวเฉวียนได้ตัวเฉินเหวินเฉียงมาจากเพื่อนคนหนึ่งที่แนะนำให้ สตูดิโอลู่เฉินที่ยังไม่มีเส้นสายไม่มีรากฐานในเซียงเจียง ได้งูเจ้าถิ่นอย่างคนคนนี้มาร่วมทัพย่อมหลีกเลี่ยงความยุ่งยากต่างๆ ที่ไม่จำเป็นได้ ไม่ต้องเดินทางอ้อมคดเคี้ยว ยิ่งหลอมรวมเข้ากับวงการของเซียงเจียงได้ง่ายขึ้น
แน่นอนว่าราคาค่าแรงของคนที่ไปเสาะหามานั้นไม่ถูก นอกจากจะต้องจ้างด้วยเงินเดือนสูง วั่นเสี่ยวเฉวียนยังรับปากว่าเมื่อสตูดิโอถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องแรกจะมอบบทตัวละครบทหนึ่งให้กับลูกสาวของเฉินเหวินเฉียงด้วย
เฉินซืออี๋ลูกสาวของเฉินเหวินเฉียงตอนนี้กำลังศึกษาอบรมอยู่ในคลาสเรียนการแสดง เพราะอยากจะเข้าสู่วงการบันเทิง
และลูกสาวของเฉินเหวินเฉียงคนนี้ก็เป็นเหมือนแก้วตาดวงใจของเขา
“ลุงเฉียง ลำบากคุณแล้ว”
หลังจากวั่นเสี่ยวเฉวียนแนะนำแล้ว ลู่เฉินยื่นมือออกไปให้เฉินเหวินเฉียงก่อน “ผมมาอย่างฉุกละหุก ไม่ค่อยรู้เรื่องของที่นี่เลย หวังว่าคุณลุงจะช่วยชี้แนะนะครับ!”
ไม่คุ้นเคยก็คือไม่คุ้นเคย ลู่เฉินไม่ถือชื่อเสียงและฐานะเจ้านายของตัวเอง ไม่แม้แต่จะอวดฉลาด
ท่าทีที่เปิดเผยจริงใจของเขาทำให้เฉินเหวินเฉียงแปลกใจไม่น้อย รีบก้มโค้งยื่นมือไปจับกับลู่เฉิน “บอส คุณเกรงใจเกินไปแล้วครับ ได้ทำงานให้คุณถือเป็นเกียรติของผมอย่างยิ่งครับ”
เทียบกับหลีเจิน ภาษาจีนกลางของเฉินเหวินเฉียงด้อยกว่าหลายขุม ไม่เพียงแต่จะพูดด้วยเสียงที่แปร่ง ยังเจือปนสำเนียงกวางตุ้งท้องถิ่นอย่างหนักหน่วงอีกด้วย ถ้าไม่ตั้งใจฟังคงฟังไม่รู้เรื่อง
ลู่เฉินยิ้มแย้ม “ลุงเฉียงเกรงใจเกินไปแล้วครับ ขอให้การร่วมงานของเรามีความสุขนะครับ”
ทั้งสองประโยคนี้ ลู่เฉินกล่าวด้วยภาษากวางตุ้ง และเป็นสำเนียงกวางตุ้งที่ชัดเจนอีกด้วย
เฉินเหวินเฉียงทึ่ง ท่าทางตกตะลึงของเขาบอกแทนคำพูด แม้แต่วั่นเสี่ยวเฉวียนและหลีเจินก็ยังทึ่งตาม
วั่นเสี่ยวเฉวียนรู้จักลู่เฉินมาช่วงเวลาหนึ่งแล้ว เฉินเหวินเฉียงกับหลีเจินเคยอ่านข้อมูลของเขา รู้ว่าเขาเป็นคนมณฑลเจ้อตง ปีที่แล้วเพิ่งจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัย สาขาที่เรียนยังเป็นสาขาคอมพิวเตอร์
หลังจากจบการศึกษาลู่เฉินเข้าไปอยู่ที่ปักกิ่งเพื่อทำงาน ไม่เคยมาที่เซียงเจียงเลยสักครั้ง วันนี้เป็นครั้งแรก
สำเนียงภาษากวางตุ้งอันคล่องแคล่วของเขาเป็นไปได้อย่างไรกัน?
ลู่เฉินรู้ว่าทุกคนกำลังคิดอะไรอยู่ แต่เขาบอกไม่ได้ว่าภาษากวางตุ้งของตัวเองมาจากความทรงจำของสวีป๋อในโลกแห่งความฝัน จึงอธิบายว่า “ภาษากวางตุ้งของผมเรียนมาจากเพื่อนนักเรียนคนหนึ่งที่มาจากเมืองเฉาซั่น ใช้ได้ไหมครับ”
เฉินเหวินเฉียงยกนิ้วโป้งให้ พร้อมกับชมเปาะ “บอส ภาษากวางตุ้งของคุณเป็นแบบนี้ ไร้ที่ติ!”
เขาไม่สนใจหรอกว่าลู่เฉินเรียนภาษากวางตุ้งมาจากไหน สิ่งสำคัญคือการสื่อสารของเขากับลู่เฉินจะไม่เป็นปัญหา ตอนแรกเขายังกังวลในเรื่องนี้อยู่ กลัวว่าการสื่อสารที่ไม่ดีจะสร้างปัญหา
เฉินเหวินเฉียงรู้จักลู่เฉินลึกซึ้งกว่าหลีเจิน จากการค้นคว้าหาข้อมูลทุกด้าน ลู่เฉินสร้างชื่อเสียงโด่งดังในวงการบันเทิงของจีนแผ่นดินใหญ่ มีอนาคตอันสดใส ตอนนี้ขาดแต่เพียงประสบการณ์เท่านั้น
ลู่เฉินเลือกที่จะมาเปิดธุรกิจของตัวเองที่เซียงเจียง เฉินเหวินเฉียงรู้สึกว่าเป็นโอกาสที่ดีของตัวเขาครั้งหนึ่ง แค่ยึดเหนี่ยวความสัมพันธ์ครั้งนี้ไว้ได้ ต่อให้การถ่ายทำภาพยนตร์ล้มเหลว เขาก็ยังพาลูกสาวเข้าไปทำงานในจีนแผ่นดินใหญ่ได้สบายๆ
เทียบกับวงการบันเทิงในเซียงเจียง จีนแผ่นดินใหญ่ถึงจะมีพื้นที่กว้างขวางมากกว่า
ดังนั้นเฉินเหวินเฉียงกระโดดเข้ามาสู่สตูดิโอลู่เฉิน ด้วยความตั้งใจว่าจะทำผลงานให้ดี
“ผมเคยเจอศิลปินจากแผ่นดินใหญ่หลายคน ภาษากวางตุ้งของคุณดีที่สุด เป็นคนเซียงเจียงได้เลยไม่มีปัญหา!”
ลู่เฉินยิ้มเล็กน้อย
ท่าทางของเฉินเหวินเฉียงที่มีต่อเขานั้นจริงใจและนอบน้อม แต่ภายในถ้อยคำกลับเผยถึงความรู้สึกเหนือชั้นกว่าที่คนเซียงเจียงมีต่อคนจากแผ่นดินใหญ่
เฉินเหวินเฉียงยังเป็นเช่นนี้ แล้วพวกดารานักแสดงหรือคนที่มีตำแหน่งสูงกว่าในวงการบันเทิงของเซียงเจียงเหล่านั้นเล่า?
แม้จะเป็นโอกาสที่เหมาะสม แต่ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่เขาจะขยายธุรกิจที่นี่
จุดนี้ลู่เฉินได้เตรียมใจมาตั้งแต่ต้น เรื่องดีๆ ทั้งโลกไม่ได้เป็นของเขาคนเดียวสักหน่อย ถ้าเซียงเจียงเป็นสนามรบแห่งใหม่ เขาก็จะลงสนามท้าทายอย่างไม่เกรงกลัว
ชีวิตที่เต็มไปด้วยความท้าทาย ถึงจะมีสีสัน มีความหมาย!
วั่นเสี่ยวเฉวียนเอ่ย “พวกเราเข้าไปคุยกันในห้องประชุมเล็กกันเถอะครับ เกี่ยวกับหนังเรื่องใหม่”
คนที่อยากเร่งถ่ายหนังเร็วๆ ไม่ใช่ลู่เฉิน กลับเป็นผู้กำกับคนเก่งที่ไม่ได้นั่งเก้าอี้ผู้กำกับมานานหลายปี เขาได้บทภาพยนตร์มาจากลู่เฉินตั้งแต่อยู่ที่ปักกิ่ง ตอนนี้เขาอ่านมันจนทะลุปรุโปร่งแล้ว
“หากพูดถึงเรื่องการถ่ายหนังเพียงด้านเดียว ไม่ได้ยากมาก…”
ในห้องประชุมเล็กของสตูดิโอ วั่นเสี่ยวเฉวียนอธิบายประกอบจอฉายภาพ
บนจอปรากฏสตอรีบอร์ดที่เขาวาดเองกับมือ แต่ละขีดแต่ละเส้นบ่งบอกถึงความทุ่มเทและความพยายามของผู้กำกับ
“ฉากทั้งหมดเราถ่ายทำได้ที่โรงถ่ายภาพยนตร์ไลออนร็อก นอกจากนี้ยังมีฉากที่ใช้เทคนิคพิเศษ ที่เซียงเจียงมีหลายบริษัทที่รับทำเทคนิคพิเศษ รวมทั้งเสียงประกอบ ดนตรีประกอบ ก็ไม่ต้องกลับไปหาคนทำงานพวกนี้ที่แผ่นดินใหญ่”
“ปัญหาหลักที่มีตอนนี้อยู่ที่ทีม หรือก็คืออยู่ที่ผู้ร่วมงาน!”
…………………………………………………………