ตอนที่ 664 ขี้เล่นจริงๆ
“ตื่นได้แล้ว”
ลู่เฉินเคาะประตูที่ปิดสนิทอยู่ พูดเสียงดังว่า “พระอาทิตย์จะส่องถึงก้นแล้ว!”
อีกด้านหนึ่งของประตูบานหนา เขาได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักดังมาจากด้านใน
ส่ายหัวอย่างเหนื่อยหน่ายใจ แล้วลู่เฉินก็กลับมาที่ห้องนั่งเล่น
ผ่านไปครึ่งชั่วโมงเต็ม ในที่สุดเฉินเฟยเอ๋อร์กับมู่เสี่ยวชูก็ปรากฏตัวขึ้น ฝ่ายหลังหน้าแดงเรื่อ ไม่รู้ว่าอายหรือรู้สึกลำบากใจไม่กล้ามองหน้าลู่เฉินตรงๆ
เมื่อคืนเพื่อข่าวฉาวของทั้งสองคน มู่เสี่ยวชูมาแล้วก็พักที่นี่
เดิมทีจะให้มู่เสี่ยวชูพักที่ห้องนอนแขก ตอนสุดท้ายกลายเป็นลู่เฉินที่ถูกไล่ไปนอนในห้องนอนแขกแทน เฉินเฟยเอ๋อร์ลากมู่เสี่ยวชูไปนอนด้วย ยังถ่ายรูปเซลฟี่ ‘ภาพบนเตียง’ อันหวานแหววโพสต์ลงในบล็อกอีกด้วย
ลู่เฉินแน่นอนว่าต้องเห็นรูปภาพนี้ ถูกการล้อเล่นของเฉินเฟยเอ๋อร์ทำเอาทั้งอยากหัวเราะและร้องไห้ไปพร้อมกัน
แต่สิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้คือวิธีของเธอได้ผลดีมาก ความสนใจของทุกคนถูกโยกย้ายไปหมด ข่าวฉาวของลู่เฉินกับมู่เสี่ยวชูถูกตีตกไป ทำให้ปาปารัสซี่จางถูกด่าเสียไม่มีชิ้นดี
เมื่อคืนลู่เฉินเลื่อนดูบล็อกจนถึงตีหนึ่ง ยังมีกลุ่มแฟนคลับที่ช่วยกันคอมเมนต์เหอะๆ กันเต็มหน้ากระดานอยู่เลย
“ว้าว หอมจังเลย!”
บนโต๊ะอาหารได้ตั้งอาหารเช้าอันหอมยั่วน้ำลายเอาไว้แล้ว โจ๊กไข่เยี่ยวม้าที่เพิ่งถูกตักออกมาจากหม้อแรงดัน โรตีต้นหอมที่ทอดได้กำลังดี ยังมีขนมปังปิ้งและนมสด ทั้งอาหารจีนและอาหารฝรั่งพร้อมสรรพ
เฉินเฟยเอ๋อร์ดึงมู่เสี่ยวชูให้นั่งลง ชมว่า “ฝีมือของนายดีขึ้นอีกแล้ว ขอชมเลย!”
ทั้งสองพักอยู่ด้วยกันไม่ใช่เวลาสั้นๆ แล้ว แม้ปกติจะทำงานข้างนอกเป็นส่วนมาก แต่เมื่อได้อยู่พร้อมหน้า ก็ยังคงชอบทำอาหารเอง
เฉินเฟยเอ๋อร์เรียนทำอาหารจากแม่บ้านที่เชิญมาทำความสะอาด จากนั้นเธอก็ทำอาหารเที่ยงและอาหารเย็น มื้อเช้ามอบให้เป็นหน้าที่ของลู่เฉินที่ไปออกกำลังกายทุกวัน
เช่นเดียวกัน ลู่เฉินเองก็พยายามซื้อวัตถุดิบมาทำอาหารเอง ไม่ซื้ออาหารเช้าที่ทำสำเร็จ แง่หนึ่งเป็นเรื่องของความสะอาดและสุขอนามัย อีกแง่คือความสุขและการใช้ชีวิตในครอบครัว
“เรียกอยู่ตั้งนานพวกคุณไม่ยอมตื่นสักที…”
ลู่เฉินส่ายหน้า “โรตีต้นหอมเย็นหมดแล้ว ผมเอาไปใส่ไมโครเวฟหน่อย”
มู่เสี่ยวชูรีบบอกว่า “พี่ลู่เฉิน หนูทำเองค่ะ”
แล้วเธอก็ถูกเฉินเฟยเอ๋อร์ดึงไว้ “ให้เขาไปทำไม่ต้องยุ่ง ใครใช้ให้เขาไม่ระวังตัวเองล่ะ ทำให้เธอต้องมีข่าวเสียหายเลย ทำอาหารเช้าให้พวกเรากินก็สมควรแล้ว!”
ลู่เฉินยิ้มแหยยกจานเข้าไปให้ห้องครัวเพื่ออุ่นร้อน แต่ในใจกลับมีความสุข
เฉินเฟยเอ๋อร์เป็นแฟนสาวที่เขารักที่สุด ส่วนมู่เสี่ยวชูเป็นเพื่อนสนิทที่เป็นเหมือนน้องสาว เขาย่อมไม่อยากให้เรื่องแบบนี้มาสร้างความร้าวฉานให้คนทั้งสองจนส่งผลถึงความสัมพันธ์
แม้ระหว่างที่คบหากันอยู่ บางครั้งเฉินเฟยเอ๋อร์ก็ชอบเอาแต่ใจหึงหวง แต่เมื่อเผชิญหน้ากับการทดสอบ เธอก็ยังใจกว้างมาก
เชื่อใจซึ่งกันและกัน ทะนุถนอมซึ่งกันและกัน ความรักครั้งนี้ถึงจะยืนยาวต่อไปได้
รับประทานอาหารเช้าอันโอชารสเสร็จแล้ว ลู่เฉินขับรถพาเฉินเฟยเอ๋อร์กับมู่เสี่ยวชูไปที่เฟยสือเรคคอร์ดเพื่อส่งคนหลัง พร้อมกับไปพบหลินจื้อเจี๋ย
“เธอนี่ขี้เล่นนะ!”
เมื่อได้พบหน้า รองผู้จัดการใหญ่แห่งเฟยสือเรคคอร์ดพูดหยอกเย้าเฉินเฟยเอ๋อร์ “เมื่อคืนฉันยังคิดว่า ถ้าเธอที่เป็นพี่สาวจะแกล้งเสี่ยวชู แล้วฉันจะทำยังไง”
หลินจื้อเจี๋ยกับเฉินเฟยเอ๋อร์เป็นเพื่อนสนิทกันมาหลายปี ความสัมพันธ์เหนียวแน่น การพูดล้อเล่นกันจึงไม่เกิดปัญหา
แม้จะเป็นการหยอกเย้า ก็ยังเป็นความคิดของเขาจริงๆ
วงเอ็มเอสเอ็นที่เพิ่งก่อตั้งไม่ถึงสองปี ตอนนี้ได้กลายเป็นวงเกิร์ลกรุ๊ปที่โด่งดังที่สุดในประเทศไปแล้ว อัลบั้มขายดีระเบิด รับงานแสดงจนเมื่อยมือไปหมด งานโฆษณาพรีเซ็นเตอร์ก็หลั่งไหลเข้ามา เรียกได้ว่าเป็นต้นไม้เงินทองของเฟยสือเรคคอร์ดทีเดียว
มู่เสี่ยวชูเป็นศูนย์กลางของสมาชิกในวงเอ็มเอสเอ็น เธอได้รับความนิยมสูงสุด
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับลู่เฉิน ถูกหลายคนมองว่าเป็นเหตุผลที่ทำให้วงเอ็มเอสเอ็นโด่งดัง
วงเอ็มเอสเอ็นมีผลงานที่ขายดีอยู่หลายเพลง ทั้งหมดมาจากมือของลู่เฉิน
จุดนี้หลินจื้อเจี๋ยรู้ดีที่สุด วงเอ็มเอสเอ็นพูดได้ว่าเป็นวงที่เขาสร้างขึ้นมากับมือ ความสำเร็จของวงเอ็มเอสเอ็นทำให้ตำแหน่งของเขาในเฟยสือเรคคอร์ดมั่นคงไม่สั่นคลอน เกี่ยวโยงถึงผลประโยชน์ทั้งหมด
ดังนั้นเมื่อคืนที่ข่าวฉาวของลู่เฉินกับมู่เสี่ยวชูถูกเผยแพร่ออกมา หลินจื้อเจี๋ยเครียดที่สุด ด้านหนึ่งเพราะกลัวว่าภาพลักษณ์ของมู่เสี่ยวชูจะถูกทำลาย อีกด้านกลัวว่าทั้งสามคนจะเกิดปัญหาบาดหมางกัน
โชคดีที่สถานการณ์อันเลวร้ายไม่ได้เกิดขึ้น เฉินเฟยเอ๋อร์ใช้วิธีอันแยบยลคลี่คลายอันตรายจากข่าวฉาวครั้งนี้
มองเห็นความสนิทสนมของเธอกับมู่เสี่ยวชู ยิ่งทำให้หลินจื้อเจี๋ยสงบใจได้
เฉินเฟยเอ๋อร์บ่นว่า “ฉันรักเธอยังจะไม่ทันน่ะสิ มีหรือจะรังแกเธอได้ นายก็คิดมากเกินไป”
“ใช่ๆๆ!”
หลินจื้อเจี๋ยหัวเราะตอบ “แบบนี้ฉันก็วางใจ ใช่แล้ว ซิงเกิลใหม่ของวงเสี่ยวชู…”
สายตาของเขาเบี่ยงเบนไปที่ลู่เฉิน เป็นสายตาที่ตั้งความหวังไว้อย่างเต็มเปี่ยม
เข้าวงการไม่ถึงสองปี วงเอ็มเอสเอ็นได้ออกอัลบั้ม ‘มากกว่าเพื่อนแต่ไม่ใช่คนรัก’ และ ‘ทะเลแห่งความรัก’ยอดขายของทั้งสองอัลบั้มสูงกว่าเจ็ดล้านหยวน เรียกได้ว่าทำผลงานได้โดดเด่น
แต่เฟยสือเรคคอร์ดก็เตรียมพร้อมรับภัย ไม่ให้วงเอ็มเอสเอ็นเอาแต่กินเงินเก่าจากทั้งสองอัลบั้มเพียงอย่างเดียว จึงได้เตรียมทำอัลบั้มชุดที่สาม ยังมีคอนเสิร์ตอีก เป็นต้น
แต่เมื่อคิดว่าออกอัลบั้มถี่เกินไป จะมีปัญหาเรื่องแฟนคลับต้องเสียเงินมากเกินกำลัง ดังนั้นก่อนหน้าที่จะทำอัลบั้มจึงจะออกซิงเกิลก่อนสักสองเพลง เพื่อดึงคะแนนนิยมให้ติดต่อไปถึงคราวหลัง
ทั้งสองซิงเกิลต้องเลือกลู่เฉินมาเป็นผู้ทำเพลงให้วงเอ็มเอสเอ็นเป็นอันดับแรกอยู่แล้ว
ด้านความคิดสร้างสรรค์ของลู่เฉินนั้นไม่ต้องสงสัย เขาได้รับการยอมรับจากทั้งวงการว่าเป็น ‘นักแต่งเพลงมือทอง’แต่เพราะช่วงนี้เขายุ่งอยู่กับงานถ่ายหนังถ่ายละคร จึงไม่มีเวลาเขียนเพลงให้ใคร นอกเสียจากจะเป็น ‘ลูกค้าที่สนิทกัน’
ลู่เฉินได้นำยูเอสบีที่เตรียมมายื่นให้หลินจื้อเจี๋ย “สองเพลงอยู่ในนี้แล้ว”
“ดีมากเลย!”
หลินจื้อเจี๋ยดีใจ รีบรับมา ก่อนที่เขาจะยื่นให้มู่เสี่ยวชูต่อ “เธอเอาไปให้อาจารย์หลายๆ คน เรียกเจียเจียกับเสี่ยวเถียนมาเรียนรู้พร้อมกันก่อน”
ปกติแล้ว นักแต่งเพลงคนอื่นนำเนื้อเพลงและทำนองมาให้วงเอ็มเอสเอ็น หลินจื้อเจี๋ยจะต้องคัดเลือกก่อนเป็นด่านแรก
แต่ลู่เฉินเป็นข้อยกเว้น ผลงานของเขาไม่ต้องตรวจสอบ ได้มาถึงมือก็คือได้กำไร!
มู่เสี่ยวชูกำยูเอสบีเอาไว้พลางพยักหน้า ยิ้มหวานให้ลู่เฉิน “ขอบคุณค่ะพี่ลู่เฉิน”
จากนั้นเธอหันไปพูดกับเฉินเฟยเอ๋อร์ว่า “พี่เฟยเอ๋อร์ งั้นหนูไปก่อนนะคะ”
เฉินเฟยเอ๋อร์ยิ้ม “ไปเถอะ เอาไว้เราค่อยโทรคุยกัน”
มู่เสี่ยวชูกับผลงานเพลงส่งถึงที่แล้ว ลู่เฉินกับเฉินเฟยเอ๋อร์ก็ได้เวลาขอตัวกลับ ยังต้องไปถ่ายละครที่โรงถ่ายอีก
หลินจื้อเจี๋ยมาส่งทั้งสองถึงหน้าประตู
ก่อนจะจากไป เขานึกขึ้นได้เรื่องหนึ่ง จึงถามว่า “ลู่เฉิน เทศกาลดนตรีเทียนฝู่นายไปไหม”
……………………………………