ตอนที่ 807 ญาติพี่น้อง
ติ๊งต่อง~
ในห้องสวีทสุดหรูชั้นบนสุดของโรงแรมชิงหนิง มีเสียงกริ่งประตูดังขึ้นเบาๆ
ลู่เฉินที่เพิ่งเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่เดินไปเปิดประตู และได้พบกับลู่ซีที่ยืนถือกระเป๋ากุชชีอยู่หน้าประตู
เมื่อเห็นลู่เฉิน พี่สาวก็ถามว่า “พวกนายเสร็จกันหรือยังน่ะ ถ้าพร้อมแล้วพวกเราก็ไปกันเถอะ”
ลู่เฉินรีบตอบกลับอย่างรวดเร็ว “เกือบจะเสร็จแล้วครับ”
เฉินเฟยเอ๋อร์ออกมาจากห้องนอน ก้าวเดินเบาๆ ไปทางลู่เฉินแล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลว่า “ฉันพร้อมแล้วค่ะ”
วันนี้เธอสวมชุดเดรสยาวสำหรับฤดูใบไม้ผลิของผู้หญิงแบบเรียบๆ ท่าทางนุ่มนวลสง่างามทำให้รูปร่างที่ดูเพรียวบางสูงส่งมากยิ่งขึ้น ถึงแม้จะแต่งหน้าเพียงเล็กน้อย แต่ใบหน้าของเธอกลับเปล่งปลั่งอย่างคนสุขภาพดี ประกอบกับดวงตาทรงเสน่ห์ที่เต็มไปด้วยความสดใสมีชีวิตชีวา ทำให้วันนี้เธอดูสวยงามมากเป็นพิเศษ
แม้แต่ลู่ซีที่คุ้นเคยกับเธอดีอยู่แล้วยังตาวาว อดไม่ได้ที่จะถามว่า “นี่เธอ…ทำไมถึงเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้กัน สวยขึ้นเยอะมากเลย กินยาวิเศษอะไรเข้าไปน่ะ”
ใบหน้างดงามของเฉินเฟยเอ๋อร์แดงก่ำขึ้นทันที เธอไม่รู้ว่าจะตอบคำถามของพี่สาวอย่างไรดี
จะให้เธอพูดว่าเป็นเพราะว่าความสัมพันธ์ร้อนแรงกับลู่เฉินเมื่อคืนนี้ เพราะได้น้ำดีจึงทำให้เธองดงามได้ขนาดนี้ก็ไม่ได้ใช่ไหมล่ะ
แบบนั้นจะไม่น่าอายไปหน่อยหรือ!
ลู่เฉินกระแอมไอออกมาสองทีอย่างกระอักกระอ่วน พูดว่า “พี่ครับ พวกเราไปกันเถอะ”
ลู่ซีตกตะลึงก่อนจะเข้าใจในที่สุด ใบหน้าขึ้นสีแดงก่ำ เธอมองค้อนลู่เฉินหนึ่งที แล้วเอ่ยว่า “ไปกันเถอะ ไปกัน…”
ถ้าเกิดเป็นผู้หญิงที่มีประสบการณ์คนอื่นจะไม่มีทางถามคำถามแบบนี้แน่นอน ปัญหาก็คือลู่ซีนั้นไม่เคยมีความรักมาก่อน จึงทำให้เธอคิดช้ามากในเรื่องแบบนี้
ทั้งสามคนออกจากโรงแรมพร้อมกัน และขึ้นรถตู้เพื่อไปบ้านคุณตาคุณยายของลู่เฉิน
คุณตาของลู่เฉินหรือก็คือพ่อของฟางอวิ๋น เขาเคยเป็นรองผู้อำนวยการสำนักงานภาษีท้องถิ่นของอำเภอหนิงซาน แต่เขาเกษียณอายุตั้งนานแล้ว ตอนนี้อาศัยอยู่ที่ชุมชนจิ่งหมิงในอำเภอหนิงซานกับคุณยายของลู่เฉินสองคน
จะว่าไปแล้วนี่ก็เป็นเวลานานมากที่ลู่เฉินไม่ได้กลับมาที่นี่เลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่เกิดเรื่องในครอบครัวลู่ การติดต่อระหว่างเขากับคุณตาคุณยายก็มีแค่เพียงการโทรศัพท์คุยกันเท่านั้น
คุณตาคุณยายนั้นใจดีกับฟางอวิ๋นผู้เป็นแม่ของลู่เฉินมาก พวกเขาให้เงินส่วนตัวจำนวนไม่น้อยเลยเพื่อช่วยเหลือฟางอวิ๋น แต่เป็นเพราะครอบครัวลู่นั้นมีหนี้มากเกินไป เงินเหล่านั้นจึงเป็นเหมือนการใช้น้ำแก้วเดียวเพื่อดับฟืนที่กำลังลุกไหม้ทั้งคันรถ ไม่เพียงพอที่จะช่วยแก้ปัญหาได้
นอกจากนี้ยังขัดแย้งกันกับลุงและป้าของลู่เฉินเพราะเรื่องนี้อีกด้วย
การกลับมาหนิงซานเพื่อถ่ายทำ ‘กระบี่เย้ยยุทธจักร’ ในครั้งนี้ ลู่เฉินอย่างไรเสียก็ควรมาเยี่ยมผู้อาวุโสทั้งสองก่อน ก่อนที่จะมาที่นี่เขาได้ซื้อของขวัญมากมายจากปักกิ่งและนำมันมาด้วยในวันนี้
ก่อนหน้าที่ลู่เฉินจะมา ลู่ซีได้พาเฉินเฟยเอ๋อร์มาแล้วครั้งหนึ่ง ครั้งนี้จึงนับว่าเป็นครั้งที่สองของพวกเธอแล้ว
สิ่งที่ลู่เฉินไม่เคยคาดคิดมาก่อนก็คือ เมื่อเขาเคาะประตูบ้านของคุณตา คนที่เปิดประตูให้เขากลับเป็นลุงฟางซิ่นโฮ่ว!
เขาอดไม่ได้ที่จะถามด้วยความประหลาดใจว่า “คุณลุง ทำไมคุณลุงถึงมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะครับ”
ฟางซิ่นโฮ่วยิ้มและพูดว่า “พอรู้ว่าวันนี้นายจะมา พวกเราก็เลยมาที่นี่กันหมดเลย…”
ในตอนนี้เอง ลู่เฉินถึงเพิ่งสังเกตเห็นว่า ในห้องนั่งเล่นของคุณตานั้นเต็มไปด้วยคนมากมาย ทั้งใบหน้าที่คุ้นเคยและไม่คุ้นเคยล้วนเต็มไปด้วยรอยยิ้ม เรียกได้ว่าอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตากันเลยละ
“มีลุง พี่ใหญ่ พี่สาว…”
เพียงแค่มองลู่เฉินก็รู้สึกเวียนหัวแล้ว เมื่อมองลอดผ่านช่องว่างของกลุ่มคนเข้าไปเขาถึงได้สังเกตเห็นคุณตากับคุณยายที่นั่งอยู่บนโซฟากันสองคน
เมื่อลู่เฉิน เฉินเฟยเอ๋อร์ และลู่ซีเข้ามาในห้องทั้งสามคน บรรยากาศภายในห้องนั่งเล่นก็คึกคักขึ้นมาทันที ทุกคนต่างพูดทักทายพวกเขาด้วยความกระตือรือร้นกันไม่หยุด ส่งเสียงดังจนทำให้หูชาไปหมด แถมยังมีคนที่มาจากห้องอื่นด้วย
มีวัยรุ่นสองสามคนซ่อนตัวอยู่ที่มุมห้อง ในมือถือโทรศัพท์มือถือเพื่อแอบถ่ายรูป คาดว่าน่าจะนำไปโอ้อวดในกลุ่มเพื่อนฝูง
ได้เห็นญาติพี่น้องเยอะแยะมากมายขนาดนี้ ใบหน้าของลู่เฉินก็ได้แต่ยิ้มค้างไปแล้ว ผู้คนในที่นี้ส่วนใหญ่ก็เคยพบหน้ากันมาก่อนบ้าง แต่ส่วนใหญ่ก็ไม่ได้เจอกันนานหลายปีแล้ว มีหลายคนที่รู้สึกไม่คุ้นเคย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับลูกพี่ลูกน้องเหล่านั้น
ทุกคนล้วนต้อนรับเขาอย่างอบอุ่นเป็นกันเอง จนลู่เฉินไม่สามารถวางมาดได้อีก โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อหน้าผู้ที่อาวุโสกว่า เขาจำเป็นต้องพูดคุยทักทายจนเกือบจะเหมือนงานแฟนมีตติ้งแล้ว
แต่ฟางซิ่นโฮ่วไม่สามารถทนมองได้อีกต่อไป เขาหยุดพวกเด็กๆ สองสามคนเพื่อให้ลู่เฉินสามารถพาเฉินเฟยเอ๋อร์ไปหาเจ้าของบ้านที่แท้จริงได้
“คุณตาครับ คุณยายครับ…”
ลู่เฉินกล่าวทักทายอย่างสุภาพ “ผมกับเฟยเอ๋อร์มาเยี่ยมแล้วนะครับ ช่วงนี้สบายดีหรือเปล่าครับ”
คุณตาของลู่เฉินอายุเจ็ดสิบปีแล้ว ถึงเส้นผมกลายเป็นสีขาวและผอมมาก แต่กำลังใจของเขายังดีและแข็งแรงมาก คุณตายิ้มและพูดว่า “พวกเราสบายดี จริงๆ แล้วหลานไม่จำเป็นต้องมาเยี่ยมหรอก อาทิตย์ก่อนลู่ซีกับเฟยเอ๋อร์ก็มาแล้ว ทำเอาทุกคนตื่นเต้นกันไปหมด…”
คุณตามองเหล่าลูกหลานด้วยความไม่พอใจเล็กน้อย “หลานงานยุ่งกันขนาดนั้น เอาไว้มีเวลาว่างค่อยมาใหม่อีกทีก็ยังไม่สาย ครั้งนี้หลานมาถึงหนิงซานเพื่อถ่ายหนัง ช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยวของหนิงซาน มันเป็นสิ่งที่ดีและมีความหมายมาก…”
“ตาแก่นี่!”
คุณตาสมแล้วที่เคยเป็นข้าราชการมาก่อน ทันทีที่อ้าปากก็มีท่าทางที่จะพูดอย่างยืดเยื้อ น่าเสียดายที่ยังไม่ทันได้พูดให้สมใจก็โดนคุณยายที่นั่งอยู่ด้านข้างขัดจังหวะด้วยความไม่พอใจเข้าเสียก่อน “เสี่ยวเฉินมาถึงที่นี่เพื่อจะพบพวกเรา คุณจะไปพูดจาทางการกับหลานแบบนั้นทำไม!”
คุณยายยิ้มให้ลู่เฉินแล้วพูดว่า “เสี่ยวเฉิน หลานกับเฟยเอ๋อร์รีบนั่งลงเร็วเข้า เล่าให้ยายฟังหน่อยสิว่าช่วงนี้เป็นอย่างไรกันบ้าง…”
คุณตามีสีหน้ากระอักกระอ่วน
ลู่เฉิมยิ้มและเอ่ยว่า “ไม่เป็นไรครับคุณยาย ใช่แล้ว ผมเอาบางอย่างมาให้คุณยายกับคุณตาด้วยนะ”
สิ่งที่เขานำมาให้ผู้อาวุโสทั้งสองส่วนใหญ่จะเป็นผลิตภัณฑ์บำรุงและดูแลสุขภาพ ถึงแม้ว่าจะไม่ได้มีราคามากนัก แต่ก็เป็นน้ำใจที่มอบให้อย่างจริงใจ ทำให้คุณยายมีความสุขเป็นอย่างมาก
น่าเสียดายที่วันนี้ฟางอวิ๋นไม่ได้มาด้วย ไม่เช่นนั้นก็จะเป็นการรวมตัวที่พร้อมหน้ากันมากกว่านี้
สำหรับญาติคนอื่นๆ ที่ไม่ได้รับเชิญนั้น ต้องเสียใจด้วยจริงๆ ลู่เฉินไม่ได้คาดคิดมาก่อนเลยว่าพวกเขาจะอยู่ที่นี่ด้วย จึงไม่ได้เตรียมของขวัญเอาไว้ล่วงหน้า… เขาไม่ได้ขาดแคลนเงินหรอกนะ
แต่ถึงอย่างไรญาติพี่น้องที่รีบมาหาในวันนี้ทันทีที่รู้ข่าว ก็ไม่ได้ต้องการของขวัญจากลู่เฉินอยู่แล้ว ส่วนใหญ่จะมีแผนการอื่นมากกว่า
ลู่เฉินและเฉินเฟยเอ๋อร์เพิ่งจะได้นั่งลง คุณป้าคนหนึ่งก็ดึงลูกสาวอายุสิบเจ็ดสิบแปดปีของเธอเข้ามาหา และพูดออกมาอย่างอดทนรอต่อไปไม่ไหวแล้วว่า “เสี่ยวเฉิน นี่คือเสี่ยวอวี้ลูกพี่ลูกน้องของหลาน ปีนี้เธออยู่มัธยมปลายปีที่สามแล้ว กำลังเตรียมตัวที่จะเข้าวิทยาลัยภาพยนตร์ ไม่รู้ว่าหลานพอจะมีลู่ทางในการฝากเข้าวิทยาลัยภาพยนตร์ปักกิ่งบ้างหรือเปล่า”
ลู่เฉิน “เอ่อ…”
เป็นเฉินเฟยเอ๋อร์ที่ตอบกลับได้เร็วกว่า เธอพูดทันทีด้วยรอยยิ้มว่า “คุณป้าคะ หนูรู้จักอาจารย์สองสามคนจากวิทยาลัยภาพยนตร์ปักกิ่ง ถ้าเกิดเสี่ยวอวี้อยากจะสมัครสอบหนูก็พอจะแนะนำให้ได้ แต่ว่า…”
“การสอบเข้าวิทยาลัยภาพยนตร์ปักกิ่งนั้นยากมากเกินไป ถึงจะเป็นหนูที่เข้าไปสอบก็อาจจะสอบไม่ผ่าน”
เฉินเฟยเอ๋อร์ต้องถ่อมตัวอย่างแน่นอนอยู่แล้ว ด้วยความนิยมในตอนนี้ของเธอ หากอยากจะเข้าไปในวิทยาลัยภาพยนตร์ปักกิ่งเพื่อรับประกาศนียบัตรก็สามารถทำได้อย่างง่ายดาย ฝ่ายหลังจะต้องยินดีต้อนรับเป็นอย่างมาก
แต่สำหรับคนธรรมดาทั่วไปนั้น ความยากในการสอบเข้าวิทยาลัยภาพยนตร์ปักกิ่งไม่ได้ต่ำไปกว่ามหาวิทยาลัยชั้นนำในปักกิ่งเลย และยังมีความต้องการที่สูงกว่าในบางด้านด้วย อย่างเช่นรูปลักษณ์ภายนอก
ลูกพี่ลูกน้องของลู่เฉินคนนี้มีรูปร่างหน้าตาที่ใช้ได้ ถือว่าเป็นคนสวยคนหนึ่ง แต่ถ้าอยากจะเข้าวิทยาลัยภาพยนตร์ปักกิ่งที่เต็มไปด้วยสาวงามนั้น ก็ยังเป็นเรื่องที่ยากมากจริงๆ เว้นแต่เธอจะมีพรสวรรค์ด้านศิลปะการแสดงที่โดดเด่นมากเป็นพิเศษ
เฉินเฟยเอ๋อร์พูดอย่างสุภาพและไพเราะ สาวน้อยยังคงรู้สึกไม่ยินยอม ถึงแม้จะไม่ได้พูดอะไรแต่ท่าทางของเธอกลับแสดงออกมาให้เห็น คาดว่าปกติน่าจะถูกตามใจเสียจนเสียนิสัย
ลู่เฉินยิ้มอย่างขมขื่น ขณะเดียวกันก็รู้สึกจนใจ…นี่มันเพิ่งจะเริ่มต้นเองนะ!
…………………………………………………………………………