สืออีเหนียงรีบหันไปหยิบผ้าสะอาดสองสามผืนในลิ้นชักไม้ที่อยู่ด้านข้างมาเช็ดโต๊ะ เก็บถ้วยชาพลางพูดกับสวีลิ่งอี๋ที่ถูกน้ำชาหยดใส่ “ท่านโหวไปนอนในห้องเถิดเจ้าค่ะ ที่นอนเปียกหมดแล้ว!”
“ช่างเถิด” สวีลิ่งอี๋พูดพึมพำว่า “ให้สาวใช้เอาที่นอนมาปูใหม่” แล้วพูดต่อไปว่า “เจ้าก็รีบไปพักผ่อน ข้าจะเรียกสาวใช้น้อยเข้ามาทำความสะอาด” กลางดึกเช่นนี้ คนที่เป็นเวรกลางคืนในห้องของนางมักจะนอนอยู่ที่ห้องโถง หากไปเรียกมาตอนนี้ เกรงว่าจะทำให้จิ่นเกอรู้เข้า เมื่อถึงเวลานั้นหากเขาเห็นว่าบิดามารดาแยกที่นอนก็ไม่รู้ว่าจะคิดอย่างไร แม้ว่าสภาพครรภ์นางจะดี แต่อย่างไรเสียก็กำลังตั้งครรภ์อยู่และพึ่งจะผ่านไปได้เพียงสามเดือน หากให้นางไปหอบเอาฟูกออกมาเอง หากเกิดอะไรขึ้นจะทำอย่างไร
“ท่านโหวทำตามที่ข้าบอกเถิด” สืออีเหนียงอดตำหนิไม่ได้ “นี่ก็ดึกมากแล้ว หากเป็นเช่นนี้ต่อไปฟ้าก็จะสางแล้ว!”
เนื่องจากกำลังตั้งครรภ์ สีหน้าของสืออีเหนียงจึงดูเหลืองและซีดเซียว
สวีลิ่งอี๋ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะยืนขึ้น “ก็ได้ หากเจ้าได้กลิ่นบนตัวข้าแล้วรู้สึกไม่สบายก็ให้บอกข้า”
“เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ!” สืออีเหนียงหยิบใบชามาแล้วใช้ผ้าไหมหังโจวห่อไว้ เอาไปวางไว้ข้างหมอน
สวีลิ่งอี๋โล่งใจ ดื่มชาสองสามถ้วยแล้วขึ้นไปพักผ่อนบนเตียง
คนที่ดื่มสุรามากมักจะกระหายน้ำง่าย
สืออีเหนียงทำให้กาน้ำชาเย็นลง จากนั้นก็นำกาน้ำชากับถ้วยชามาวางไว้ที่โต๊ะเล็กๆ ข้างหัวเตียง
อากาศตอนกลางคืนในกลางฤดูร้อนยังคงร้อนเป็นอย่างมาก เดินไปเดินมาจนทั้งตัวมีเหงื่อไหลซึม
นางนั่งพัดอยู่ที่ปลายเตียง
ในห้องเงียบสงัด พลอยทำให้รู้สึกเงียบเหงาเล็กน้อย
สวีลิ่งอี๋อดขมวดคิ้วไม่ได้
สืออีเหนียงโกรธเพราะเขาจัดการเรื่องของจิ่นเกอได้ไม่ดี ที่เขาไม่อธิบายเพราะเรื่องราวยังไม่มีบทสรุป คำพูดพันหมื่นคำไม่สู้ลงมือกระทำเพียงครั้งเดียว แต่ตอนนี้จิ่นเกอกลับมาอย่างปลอดภัยแล้ว เหตุใดนางจึงยังมีท่าทางเย็นชาเช่นนี้อยู่…สืออีเหนียงก็ไม่ใช่คนใจแคบแบบนั้น หรือว่ายังมีเรื่องอันใดที่เข้าใจผิดอยู่
สวีลิ่งอี๋เป็นคนชอบลงมือทำ ดังนั้นเมื่อคิดได้ก็จะลงมือทันที เอ่ยถามสืออีเหนียงอย่างแผ่วเบาว่า “จิ่นเกอนอนแล้วหรือ” เริ่มลงมือทำลายกำแพง
เรื่องไม่สบายใจก็ส่วนของเรื่องไม่สบายใจ ในเมื่อสวีลิ่งอี๋เริ่มที่จะพูดกับนางก่อน สืออีเหนียงก็ไม่ถึงขั้นต้องเล่นตัว
นางตอบเพียง “เจ้าค่ะ” พิงเสาเตียงพลางพัดไปด้วย “เดิมทีอยากจะรอให้ท่านกลับมาก่อน แต่ข้าเห็นว่าเปลือกตาของเขาจะปิดอยู่แล้วก็เลยเกลี้ยกล่อมให้เขาไปนอนก่อน”
การที่นางยอมคุยกับเขานับเป็นการเริ่มต้นที่ดี
“แยกย้ายกันตั้งแต่หลังทานอาหารเย็นตอนยามโหย่วแล้ว” สวีลิ่งอี๋ถอนหายใจด้วยความโล่งอก พูดอย่างอ่อนโยนว่า “ข้าเห็นว่ากงตงหนิงกลับมาก็มีเวลาเพียงสามถึงห้าวัน จึงไปที่จวนอาลักษณ์ลู่ แล้วนึกขึ้นได้ว่ายงอ๋องมีนิสัยใจร้อน กลัวว่าเขาจะอุกอาจเข้าไปขอร้องฮ่องเต้จนทำให้เกิดปัญหา หลังจากออกจากจวนอาลักษณ์ลู่ก็เลยไปที่จวนยงอ๋องก็เลยกลับมาช้า”
สำหรับกงตงหนิงแล้ว กิจการเหมืองเงินก็เป็นเพียงโชคลาภที่ได้มาโดยบังเอิญ สิ่งที่สำคัญกว่านั้นคือการที่ได้ติดต่อกับยงอ๋อง สำหรับจิ่นเกอแล้วก็เป็นเพียงก้อนหินระหว่างเส้นทางชีวิตก็เท่านั้น นอกจากจะสามารถทดสอบว่าเขาใช่ทองหรือไม่ ยังสามารถให้เขาใช้เป็นบันไดปีนขึ้นไปได้ กำไรหรือขาดทุนของกิจการเหมืองเงินนั้นไม่ได้สำคัญแล้ว มีเพียงยงอ๋องเท่านั้นที่อาศัยเหมืองเงินเหล่านี้เพื่อทำให้ตัวเองออกจากสถานการณ์ที่ยากลำบากจะไม่ให้ประหม่าได้อย่างไร
กังวลจนสับสนวุ่นวาย!
แต่การที่ท่านอ๋องพัวพันกับข้าราชบริพารนั้นกลับเป็นข้อห้ามอันใหญ่หลวง
ไม่แปลกใจเลยที่สวีลิ่งอี๋กลัวว่ายงอ๋องจะไปหาฮ่องเต้ด้วยเรื่องของผู้บัญชาการทหารกุ้ยโจว
สืออีเหนียงครุ่นคิด สายตาอดมองไปทางสวีลิ่งอี๋ไม่ได้ “เช่นนั้นเฉินเก๋อเหล่ากับอาลักษณ์ลู่ว่าอย่างไร…” ก่อนที่นางจะพูดจบ สีหน้าก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย “ท่านโหว” นางรู้สึกว่าตัวเองตาลาย ขยับไปนั่งอยู่ข้างสวีลิ่งอี๋ ใช้นิ้วเขี่ยผมที่ขมับของเขา
ภายใต้แสงไฟ เส้นผมสีเงินเปล่งประกายเจิดจ้า แฝงอยู่ในเส้นผมสีดำขลับ ทำให้คนที่เห็นรู้สึกตกอกตกใจ
นางเขี่ยผมปิดลงเหมือนเดิม
ส่วนที่อยู่ใกล้โคนผมล้วนเป็นสีขาวเงิน
“เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้” สืออีเหนียงน้ำเสียงแหบพร่า
ก่อนที่นางจะสลบไป นางยังช่วยเขาสระผมอยู่เลย…
นี่ไม่ใช่ปรากฏการณ์ทางสรีระที่ปกติ
สกุลสวีไม่มีใครมีผมหงอกเร็วเช่นนี้ แม้แต่คุณชายสามที่อายุเกินห้าสิบปีแล้ว แต่ผมของเขายังคงเป็นสีดำขลับ
เมื่อความคิดผ่านเข้ามาในหัว สืออีเหนียงก็ชะงักไปครู่หนึ่ง
หรือว่า…
สวีลิ่งอี๋ยิ้มพลางจับมือนาง อธิบายสั้นๆ ว่า “ข้าอายุมากแล้วย่อมมีผมขาวเป็นธรรมดา มีอะไรน่าแปลกใจกัน” จากนั้นก็พูดถึงสถานการณ์ที่ไปหาเฉินเก๋อเหล่ากับอาลักษณ์ลู่ “…ได้ผลประโยชน์ไม่น้อยเลย เฉินเก๋อเหล่ากับอาลักษณ์ลู่ไม่เพียงแต่รู้สึกว่าควรจะเลือกหนึ่งในแม่ทัพกุ้ยโจวขึ้นมาเป็นผู้บัญชาการทหารกุ้ยโจว ซ้ำยังรู้สึกว่าทางที่ดีที่สุดก็ควรจะให้แม่ทัพกุ้ยโจวขึ้นเป็นผู้บัญชาการทหารซื่อชวนด้วย ประการที่หนึ่งคือในภายภาคหน้าซีเป่ยจะได้รับการรักษาความสงบจากกงตงหนิง หากผู้บัญชาการทหารซื่อชวนกับผู้บัญชาการทหารกุ้ยโจวเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาเก่าของเขา ในภายภาคหน้าก็จะสามารถเคลื่อนย้ายกองกำลังได้ดั่งแขนซ้ายและแขนขวา ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อสงครามในซีเป่ย ประการที่สองครั้งนี้แม่ทัพกุ้ยโจวได้ทำผลงานใหญ่ ด้วยเหตุและผลควรจะได้รับการยกย่องอย่างยิ่งใหญ่ถึงจะเหมาะสม แต่ข้าคิดว่าฮ่องเต้ไม่เห็นด้วยอย่างแน่นอน…ทั้งผู้บัญชาการทหารซื่อชวนและผู้บัญชาการทหารกุ้ยโจวล้วนเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของกงตงหนิง ทั้งยังเป็นแม่ทัพที่มีความสามารถของกงตงหนิง เช่นนั้นในภายภาคหน้าแผ่นดินซีเป่ยจะไม่กลายเป็นใต้หล้าของกงตงหนิงหรอกหรือ ในเมื่อกงตงหนิงส่งจิ่นเกอกลับเยี่ยนจิงย่อมต้องมีแผนการอื่นอย่างแน่นอน ทางที่ดีควรส่งจดหมายถึงกงตงหนิงในวันพรุ่งนี้ เฉินเก๋อเหล่ากับอาลักษณ์ลู่ต่างก็เชี่ยวชาญในด้านการคาดเดาความคิดของฮ่องเต้ ไม่มีทางที่จะไม่รู้ว่าฮ่องเต้กำลังคิดอะไร สมบัติล้ำค่าของซื่อชวนเหล่านั้น ไม่ว่าจะมองในแง่ของที่ตั้งทางภูมิศาสตร์หรือเศรษฐกิจของราษฎรก็ล้วนแข็งแกร่งกว่ากุ้ยโจวเป็นอย่างมาก และตอนนี้ใต้เท้าทั้งสองกลับนำตำแหน่งผู้บัญชาการทหารซื่อชวนกับผู้บัญชาการทหารกุ้ยโจวมาเปรียบเทียบกัน หากข้าเดาไม่ผิด เกรงว่าเฉินเก๋อเหล่ากับอาลักษณ์ลู่ต่างก็สนใจตำแหน่งผู้บัญชาการทหารกุ้ยโจว เนื่องจากกงตงหนิงสร้างผลงานด้านสงครามอย่างยิ่งใหญ่ในเวลานี้ จึงไม่ง่ายที่จะต่อกรกับเขา ดังนั้นจึงใช้วิธีนี้บอกกงตงหนิงเป็นนัยๆ ให้กงตงหนิงสนับสนุนคนของพวกเขาเป็นผู้บัญชาการทหารกุ้ยโจว”
เมื่อพูดถึงตรงนี้เขาก็ยิ้มออกมา
“พวกเขากลับคิดไม่ถึงว่าพวกเราก็กำลังสนใจผู้บัญชาการทหารกุ้ยโจวเช่นกัน แต่เช่นนี้ก็จะทำให้กระทำการได้ง่ายแล้ว พวกเราเพียงแค่ทิ้งตำแหน่งผู้บัญชาการทหารกุ้ยโจว ไม่เพียงเพื่อแสดงความจริงใจเพื่อจะผูกมิตรต่อใต้เท้าทั้งสอง ซ้ำยังสามารถได้รับการสนับสนุนจากใต้เท้าทั้งสองอีกด้วย ส่วนตำแหน่งผู้บัญชาการทหารซื่อชวนนั้นจะเป็นคนของเฉินเก๋อเหล่าหรือเป็นคนของอาลักษณ์ลู่ต่างก็ไม่เกี่ยวอะไรกับพวกเราแล้ว แต่ไม่ว่าใครจะได้ตำแหน่งนี้ คาดว่าจะต้องจดจำความดีของใต้เท้ากงอย่างแน่นอน ซึ่งก็ไม่ได้แตกต่างอะไรกับการที่คนใต้บังคับบัญชาการของใต้เท้ากงได้ตำแหน่งนี้ไป ซ้ำยังเป็นการทำให้ตัวเองไม่โดดเด่นมากเกินไป จะได้ไม่มีใครคอยระแวง…”
เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับอนาคตของจิ่นเกอ แต่สืออีเหนียงกลับไม่มีกระจิตกระใจซักไซ้เรื่องนี้อย่างละเอียด นางมองสวีลิ่งอี๋ รู้สึกเพียงว่าสายตาฝ้าฟาง
รอยยิ้มของเขาดูสงบ น้ำเสียงปกติ เหมือนกับวันปกติที่ผ่านมา เขาแบกรับความทุกข์ยากมาหลายปีอย่างเงียบๆ ไม่เคยเปิดเผยให้นางเห็น แต่กลับให้นางเห็นเพียงแค่ด้านสงบนิ่งเพื่อทำให้นางสบายใจ เหมือนตอนที่ฮ่องเต้องค์ก่อนยังอยู่ เขาวางแผนรับมือสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดมาเสมอ แต่กลับไม่เคยเปิดเผยให้นางเห็นแม้แต่น้อย
นางยิ่งรู้สึกเจ็บปวดใจกว่าเดิม
สถานการณ์เช่นนั้นล้วนผ่านไปได้ด้วยดี แต่ตอนนี้เส้นผมของเขากลับกลายเป็นสีขาวแล้ว!
เมื่อนึกขึ้นได้ว่าหลายวันมานี้นางท่าทีเย็นชาต่อสวีลิ่งอี๋ น้ำตาของนางก็ร่วงลงมาพร้อมกับคำพูดว่า “เส้นผมของท่านเปลี่ยนเป็นสีขาวตั้งแต่เมื่อไรข้ายังไม่รู้เลย!” น้ำเสียงสะอึกสะอื้น
“เวลามีค่ายิ่งกว่าทอง แม้แต่ทองก็ซื้อเวลากลับมาไม่ได้” สวีลิ่งอี๋ลุกขึ้นนั่ง ยิ้มอย่างไม่ใส่ใจ “หรือว่าเจ้าต้องการจะควบคุมแม้กระทั่งกาลเวลา” พูดพลางหยิบผ้าเช็ดหน้ามาจากใต้หมอนแล้วเช็ดน้ำตาให้นาง “ไม่เห็นต้องร้องไห้เลย” ยิ่งเขาทำท่าทางสบายๆ เช่นนี้ นางก็ยิ่งรู้สึกไม่สบายใจ ดึงผ้าเช็ดหน้าในมือของเขามาซับน้ำตา
สวีลิ่งอี๋ยิ้มพลางกอดนางไว้ในอ้อมแขน พูดหยอกล้อว่า “เขาว่ากันว่าลักษณะของคนเกิดจากจิตใจหนุนส่ง ข้าว่าตั้งครรภ์ครั้งนี้ต้องเป็นบุตรสาวแน่นอน! มิฉะนั้นเจ้าคงไม่ร้องไห้งอแงเหมือนเด็กสาวแบบนี้!”
สืออีเหนียงรู้ว่าเขาอยากจะเย้าแหย่ให้นางมีความสุข แต่นางกลับหัวเราะไม่ออก
สวีลิ่งอี๋ทำได้เพียงพูดว่า “ไม่ต้องร้องแล้ว ระวังจะทำให้จิ่นเกอสงสัย ตอนนี้หูตาเขาไวยิ่งนัก เจ้าจะประมาทไม่ได้”
สืออีเหนียงได้ยินดังนั้นก็พยายามหยุดร้องทันที
สวีลิ่งอี๋หยิบพัดขนนกที่นางวางไว้ด้านข้างมาพัดให้นาง
อารมณ์ของสืออีเหนียงยังคงยากที่จะสงบลง
ความมืดมีส่วนช่วยให้นอนหลับง่าย
สวีลิ่งอี๋คิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเป่าตะเกียงให้ดับลง
“รีบนอนเถิด!” เขาแสร้งทำเป็นหาว “พรุ่งนี้ตอนเช้าตรู่ข้ายังต้องเข้าวัง กรมพิธีการมอบระเบียบการพิธีมอบเชลยมาให้ ฮ่องเต้ให้ข้าช่วยตรวจดู…”
สืออีเหนียงนอนไม่หลับ
นางนอนนิ่งๆ อยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเรียกเบาๆ ว่า “ท่านโหว” คนที่อยู่ด้านข้างขานรับด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“ตอนที่จิ่นเกอหายไป ท่านคงทั้งรู้สึกผิด ทั้งโทษตัวเองใช่หรือไม่ เพราะว่าการที่ให้เขาไปกุ้ยโจวก็เป็นการตัดสินใจของท่านและท่านก็เป็นคนเสนอให้กงตงหนิงไปผิงซี...บวกกับที่ข้าตั้งครรภ์ ซ้ำยังทะเลาะกับท่านเช่นนั้น…เลยทำให้ท่านเป็นกังวล ผมของท่านเริ่มขาวในเวลานั้นใช่หรือไม่”
สวีลิ่งอี๋ไม่ได้พูดอะไร สืออีเหนียงกลับรู้สึกถึงลมหายใจของเขา
ในชั่วขณะนั้นนางได้คำตอบแล้ว
“ข้าเข้าใจสัจธรรมดี!” น้ำเสียงของสืออีเหนียงนุ่มนวลดั่งกับสายลม ในคืนที่เงียบสงบเช่นนี้ยิ่งทำให้น้ำเสียงนุ่มนวลแต่ฟังชัดเจน “แต่บางเรื่องข้าก็ไม่สามารถใจเย็นลงได้ ทั้งๆ ที่รู้ว่าการทำเช่นนี้ไม่เพียงแต่จะไม่มีประโยชน์ ซ้ำยังเป็นโทษอีกด้วย แต่ก็ยังอยากจะทำ มิเช่นนั้นในใจก็จะรู้สึกไม่สบายเป็นอย่างมาก เมื่อนึกขึ้นได้ในภายหลังก็ยังคงรู้สึกเสียใจ…” นางพูดพลางพลิกตัวไปกอดแขนของเขา แล้วเอาหัวซบลงบนไหล่ของเขา “ข้าขอโทษเจ้าค่ะ!” น้ำเสียงของนางสงบลง พูดต่อไปว่า “แต่ว่าหากให้ย้อนเวลากลับไป ข้าก็ยังคงทำเหมือนเดิม!”
เขาก็เป็นเช่นนั้นเหมือนกัน
สิ่งที่คิดได้ก็ล้วนวางแผนไว้หมดแล้ว บอกได้ว่าทำอย่างเต็มที่ที่สุดแล้ว ทำได้เพียงรอลิขิตสวรรค์ แต่ในใจกลับไม่มีช่วงเวลาที่สงบลงได้เลย โดยเฉพาะตอนที่สืออีเหนียงจะไปตามหาจิ่นเกอทั้งๆ ที่กำลังตั้งครรภ์อยู่…เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกกลัวขึ้นมา
หลังจากที่ใช้วิธีทำให้สืออีเหนียงสลบไป เขาก็ควรจะมอบสืออีเหนียงให้บรรดาสาวใช้และป้ารับใช้เป็นผู้ดูแล ตัวเองก็จะได้ติดตามสถานการณ์สงครามซีเป่ยอย่างใจจดใจจ่อ และใช้กำลังของตัวเองช่วยจิ่นเกอได้ทุกเมื่อ…แต่ขอเพียงแค่เขามีเวลาก็จะมาอยู่ที่เรือนหลัก นอนไม่หลับตลอดทั้งคืน…ตอนที่ท่านพ่อจากไปในตอนนั้น แม้ว่าเขาก็เป็นเช่นนี้แต่จิตใจกลับสงบนิ่ง เขามักจะรู้สึกว่าตัวเองได้ทำในสิ่งที่ควรทำไปแล้ว ต่อให้ต้องตายไป แต่ตำแหน่งหย่งผิงโหวก็อยู่ในมือของเขาแล้ว ได้ไปพบท่านพ่อกับพี่สองก็นับว่าไม่มีอะไรต้องรู้สึกละอายใจ แต่กลับไม่เหมือนครั้งนี้ ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็รู้สึกไม่ถูกต้อง ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็รู้สึกยากที่จะสงบใจลงได้ เมื่อมองดูภรรยาที่กำลังตะโกนเรียกจิ่นเกอในความฝัน เขาก็รู้สึกราวกับถูกย่างในกระทะร้อนทั้งเป็น…ต่างฝ่ายต่างก็เป็นกังวล!
เมื่อได้รับข่าวว่าจิ่นเกอปลอดภัย เขาจึงได้ค้นพบว่าที่ขมับของตัวเองเริ่มมีผมขาวโผล่ขึ้นมาแล้ว!
สวีลิ่งอี๋จับมือสืออีเหนียง “เช่นนั้นพวกเราก็ไม่ต้องเสียใจเพราะเรื่องที่เกิดขึ้นไปแล้ว ต่อไปเพียงแค่ใช้ชีวิตให้ดีก็พอ!”
ไม่ฉลาดเลยที่จะจมปลักอยู่กับอดีต
สืออีเหนียงพยักหน้า จากนั้นก็ส่ายหน้า “ไม่สิ ท่านโหวควรจะเปลี่ยน ท่านไม่ควรเป็นเหมือนเมื่อก่อน หากมีเรื่องอันใดที่ไม่มั่นใจว่าจะสำเร็จก็มักจะปิดบังข้า หากข้ารู้ว่าท่านได้จัดการให้คนสกุลหวังไปฉ่าวหยวนของชาวมองโกลเลียไว้ตั้งนานแล้ว ข้าก็จะไม่เป็นกังวลเช่นนี้…” นางพูดพลางยิ้มกว้าง สีหน้าร่าเริงเป็นอย่างมาก
สวีลิ่งอี๋เห็นดังนั้นก็ยิ้มตามไปด้วย “หากคนสกุลหวังหาจิ่นเกอไม่พบเล่า”
สืออีเหนียงพูดไม่ออก เข้าใจในทันที
นิสัยที่ลงมือทำแต่ไม่ยอมพูดของสวีลิ่งอี๋เกรงว่าจะแก้ไม่ได้แล้ว!
นิสัยที่ร้อนใจเมื่อเป็นเรื่องจิ่นเกอของนาง เกรงว่าก็แก้ไม่ได้เช่นกัน!
สืออีเหนียงหัวเราะ
ความโศกเศร้าในใจได้ถูกกวาดออกไปจนหมด
“นอนกันเถิด!” สวีลิ่งอี๋บีบมือนางเบาๆ “พรุ่งนี้ยังมีสิ่งที่ต้องทำอีกมาก!”
สืออีเหนียงตอบเพียง “เจ้าค่ะ” แล้วหลับตาลง
ไม่นานสวีลิ่งอี๋ก็นอนหายใจเสียงดัง
ทันใดนั้นสืออีเหนียงก็นึกถึงคืนวันแต่งงาน
ในตอนนั้นสวีลิ่งอี๋แกล้งหลับ ก็ทำเสียงหายใจเช่นนี้เหมือนกัน ในตอนนั้นนางคิดว่าหากสวีลิ่งอี๋ให้เวลานางได้ปรับตัวสักหน่อยก็คงดี
แต่ความคิดนี้ผ่านเข้ามาในหัวเพียงแค่ครู่เดียว
เขายังคงต้องการนาง…ตอนนั้นอาจมีความขุ่นเคืองอยู่บ้างเล็กน้อย ต่อมานึกขึ้นได้ว่าหากเขาไม่ทำเช่นนี้ แล้วนางจะเริ่มต้นอย่างดีในสกุลสวีได้อย่างไร เขาคิดเพื่อคนอื่น บางครั้งก็ดูแข็งกระด้างไปบ้าง เวลาอยู่ข้างนอกเขาคงไม่เป็นเช่นนี้กระมัง มิเช่นนั้นก็คงไม่มีใครบอกว่าเขาเป็นคนพูดน้อย แล้วก็คงไม่สามารถยืนอยู่เหนือผู้คนได้…บางทีนี่อาจเป็นนิสัยที่แท้จริงของสวีลิ่งอี๋ ก็เหมือนกับตัวเอง ยิ่งเป็นคนใกล้ตัว ก็จะยิ่งเข้มงวด และยิ่งโกรธได้ง่าย อันที่จริงนี่ไม่ใช่พฤติกรรมที่ดี อยากจะเปลี่ยนแต่กลับยากที่จะเปลี่ยน!
สืออีเหนียงอดหันไปมองสวีลิ่งอี๋ไม่ได้
ในมุ้งที่ไม่ได้จุดตะเกียง ทำได้เพียงพึงพาแสงไฟของโคมไฟที่ตั้งอยู่มุมห้องเท่านั้น
ด้านข้างของสวีลิ่งอี๋ จมูกโด่งเป็นสัน หน้าผากกว้าง เค้าโครงใบหน้าชัดเจนหล่อเหลาเป็นอย่างมาก
สืออีเหนียงขยับมุมปากเล็กน้อย เผยให้เห็นรอยยิ้มที่ดูอิ่มเอมใจ
“สวีลิ่งอี๋!” สืออีเหนียงเอ่ยเรียกอยู่ข้างหูเขา
อาจเป็นเพราะถูกรบกวน สวีลิ่งอี๋พลิกตัว หันหน้าเข้าหานางแล้วหลับไปอีกครั้ง
หลายวันมานี้ ทั้งราชสำนัก ทั้งซีเป่ย ทั้งในจวน ทำเอาเขายุ่งจนหัวหมุน คงจะเหนื่อยเป็นอย่างมากกระมัง
ตั้งแต่เล็กจนโต นางอยู่คนเดียวมาตลอด ไม่เคยกล้าที่จะมอบตัวเองให้ใคร ครั้งนี้นางอยากจะมอบตัวเองให้กับผู้ชายที่ผมกลายเป็นสีขาวเพราะนาง!
นางซุกตัวอยู่ในอ้อมแขนของเขา…
ต่อไปยังต้องเจอกับเรื่องราวอีกมากมาย! แต่อย่างที่สวีลิ่งอี๋พูด ไม่ต้องกลัว เขาอยู่ตรงนี้!