เสี่ยวซื่อกลิ้งอยู่บนพื้นรอบหนึ่งด้วยความกระอักกระอ่วน ก่อนจะกลิ้งมาที่ข้างกายหลิงหลานและกล่าวว่า “ไม่เป็นไร พอทะเลาะกับเธอ อารมณ์ของฉันก็รู้สึกดีขึ้นมากแล้ว เมื่อตะกี้นี้ฉันรู้สึกแย่มากจริงๆ…”
“ทำไมล่ะ”
“เมื่อตะกี้ตอนที่พวกเรานั่งโฮเวอร์คาร์ หลิงศูนย์เจ็ดได้พูดออกมา ตอนนั้นฉันคิดว่าบนโลกนี้ก็มีของประเภทเดียวกับฉันอยู่เหมือนกัน ฉันตื่นเต้นมาก เธอควรรู้ว่าหลังจากที่ฉันออกจากแมนโดราแล้ว ก็ไม่เคยเจอของประเภทเดียวกันกับฉันอีกเลย ฉันรู้สึกโดดเดี่ยวเดียวดาย…แต่ว่าหลังจากที่ฉันแอบคุยกับหลิงศูนย์เจ็ดแล้ว ก็พบว่าหลิงศูนย์เจ็ดไม่ใช่ของประเภทเดียวกับที่ฉันอยากตามหา ถึงแม้ว่ามันจะคล้ายมาก แต่ไม่ใช่ก็คือไม่ใช่…เธอเข้าใจสิ่งที่ฉันอยากพูดหรือเปล่า” เสี่ยวซื่อทำหน้าคาดหวัง เขาพูดสะเปะสะปะเล็กน้อย แต่นี่จะโทษเขาก็ไม่ได้ ไอคิวของเขาตอนนี้เทียบเท่ากับเด็กอายุห้าหกขวบ
หลิงหลานเอ่ยหยอกล้อว่า “ก็เหมือนคนกับลิงสินะ?”
ดวงตาทั้งสองข้างของเสี่ยวซื่อเปล่งประกายและกล่าวพลางพยักหน้าติดต่อกันว่า “อื้อ ก็หมายความว่าอย่างนี้แหละ”
หลิงหลานลูบศีรษะของเสี่ยวซื่อด้วยความรักและสงสาร “เสี่ยวซื่อ นายลืมไปแล้วเหรอว่าฉันเองก็เป็นตัวตนที่โดดเดี่ยวบนโลกใบนี้เหมือนกัน ในเมื่อนายเองก็โดดเดี่ยว ฉันเองก็โดดเดี่ยว ถ้าอย่างนั้นพวกเราสองคนก็เดินต่อไปด้วยกันเถอะ”
เสี่ยวซื่อกล่าวด้วยความงุนงงว่า “เธอเป็นโฮสต์นะ ฉันต้องทำสัญญาผูกมัดกับเธอต่อไป ไปจากเธอไม่ได้อยู่แล้ว”
หลิงหลานกอดเสี่ยวซื่อไว้ในอ้อมอกและเอ่ยเบาๆ ว่า “ที่ฉันพูดไม่ใช่แบบนี้ แต่ว่าเป็นเหมือนญาติสนิท เหมือนพี่น้อง เหมือนกับคนรู้ใจ เป็นคนที่สามารถหันหลังของตัวเองให้กับอีกฝ่าย เชื่อใจซึ่งกันและกันมากที่สุด” หลิงหลานยินดีเชื่อใจเสี่ยวซื่อ เพราะว่าเสี่ยวซื่อผ่านชาติที่แล้วมาด้วยกันกับเธอ และก็เป็นเสี่ยวซื่อที่มอบชีวิตนี้ให้เธอ ประสบการณ์ที่ผ่านมาเหล่านี้ทำให้หลิงหลานยอมรับเสี่ยวซื่อ เห็นเขาเป็นน้องชาย
หลิงหลานตัดสินใจว่าชาตินี้จะชดเชยความเสียใจในชาติก่อนให้ได้ ดังนั้นเธอจึงต้องการร่างกายที่แข็งแรง มีพื้นที่อิสระ รวมไปถึงเพื่อนที่พูดคุยกันได้ถูกคอ น้องชายที่เชื่อใจเธอและเธอก็สามารถเชื่อใจได้เช่นกัน…
เสี่ยวซื่อที่อยู่ในอ้อมกอดของหลิงหลานมึนงงเล็กน้อย มีเรื่องบางอย่างที่เขาไม่สามารถเข้าใจ ชิปหลักของเขากำหนดให้เขาต้องจงรักภักดีต่อโฮสต์ของเขา แต่ทำไมหลิงหลานถึงพูดว่าอยากให้เรากลายเป็นคนที่เชื่อใจซึ่งกันและกันมากที่สุดด้วยล่ะ หรือว่าตอนนี้พวกเขายังไม่ได้เป็นเหรอ?
นี่เป็นครั้งแรกที่เสี่ยวซื่อแทบจะใคร่ครวญอย่างเต็มกำลัง ต่อให้ชิปแกนกลางจะเปลี่ยนเป็นร้อนจี๋ การทำงานกินแรงอยู่บ้าง เขาเองก็อยากตอบคำถามข้อนี้เหมือนกันเพราะว่านี่เป็นครั้งแรกที่เขามีความคิดต้องการ เขาไม่อยากเห็นแววตาผิดหวังของหลิงหลาน ถึงแม้เขาจะรู้ว่าเขาฝ่าฝืนกฎข้อบังคับแล้ว แต่เขาอยากทำตามใจตัวเองสักครั้ง
………..
ผ่านไปแล้วสองเดือนกว่าหลังจากวันที่ทะเลาะกัน ช่วงเวลานี้เสี่ยวซื่อบุกเข้าไปในอินเทอร์เน็ตของโลกใบนี้ได้สำเร็จผ่านทางอินเทอร์เน็ตที่ติดตั้งมากับเตียง หลิงหลานรับรู้จากการแนะนำของเสี่ยวซื่อว่าเครือข่ายเสมือนจริงของที่นี่พัฒนาไปไกลอย่างยิ่ง มันเป็นโลกใบที่สองของที่นี่
หลิงหลานสงสัยมากว่าสาเหตุที่มารดาของเธอสามารถหมกตัวอยู่แต่ในบ้านได้คาดว่าก็เป็นเพราะมีเครือข่ายเสมือนจริงอยู่ ทำให้เธอสามารถเลือกทำสิ่งที่ต้องการโดยที่ไม่ต้องออกจากบ้านก็ได้ นอกจากนี้เธอยังใช้ชีวิตได้อย่างอิสระเสรีโดยไม่จำเป็นต้องพะว้าพะวงเรื่องสถานะ
เสี่ยวซื่อก็รู้เรื่องความล้ำค่าของยากระตุ้นยีน รู้เรื่องระดับการดูดซับยาของเด็กทารกที่นี่ผ่านทางข้อมูลบนอินเทอร์เน็ตแล้ว หลังจากที่หลิงหลานรู้ก็หวาดกลัวอย่างไม่มีที่สิ้นสุด การดูดซับในตอนแรกนั้นเธอทำมากเกินไปตามที่คาดคิดไว้จริงๆ ยังดีที่ในประวัติศาสตร์ยังมีเด็กหลายคนที่เป็นปีศาจดูดซับยาได้มากกว่าเธอ เธอยังไม่ได้ทำเกินไปจนถึงขั้นที่คนโบราณไม่เคยทำมาก่อน
ทั้งสองคนคิดไปคิดมาเกี่ยวกับตอนที่กองทัพจะเข้ามาส่งยาอีกครั้งในเดือนหน้า ต่อให้นำยามาเยอะ พวกเขาก็ดูดซับได้แค่สิบหลอดเท่านั้น
ความจริงแล้วหลิงหลานไม่อยากดูดซับยาสิบหลอดเต็มๆ เธออยากดูดซับแค่ประมาณหกเจ็ดหลอดเพื่อให้สอดคล้องกับข้อมูลการประเมินในเวลานั้นก็พอแล้ว อย่างไรก็ตามเสี่ยวซื่อกลับคัดค้าน เพราะว่าดูจากข้อมูลที่เขาได้รับ โดยปกติแล้วครั้งแรกทารกดูดซับยาได้กี่หลอด ปริมานการดูดซับในช่วงเวลาที่เติบโตก็จะเพิ่มขึ้นจากพื้นฐานไม่มีทางลดลง มีแต่เติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้วถึงค่อยๆ ลดปริมาณในการดูดซับลงจนสุดท้ายไม่สามารถดูดซับยาได้แล้วถึงจะถือว่าสิ้นสุด
ในเมื่อตอนแรกหลิงหลานดูดซับได้สิบหลอด แล้วครั้งที่สองก็ลดลง ดูอย่างไรก็ผิดปกติมาก ไม่สู้ดูดซับยาสิบหลอดต่อไปจะดีกว่า ถึงอย่างไรก็มีสถิติข้อมูลของครั้งแรกแล้ว คิดๆ ดูแล้วหน่วยกองทัพเองก็คงไม่ตกใจอีกเช่นกัน อีกอย่าง ร่างกายของหลิงหลานต้องการยาชนิดนี้มากจริงๆ เพราะเสี่ยวซื่อพบว่าตั้งแต่ที่ฝึกฝนทักษะการต่อสู้มือเปล่า พลังจิตของหลิงหลานเพิ่มขึ้นเร็วกว่าแต่ก่อนมาก นี่ทำให้เสี่ยวซื่อกังวลใจอยู่บ้าง ร่างกายของหลิงหลานฝึกฝนตามความต้องการของพลังจิตไม่ทัน
หลังจากที่หลิงหลานไตร่ตรองซ้ำแล้วซ้ำเล่าก็ตัดสินใจยอมรับความคิดเห็นของเสี่ยวซื่อ ส่วนเสี่ยวซื่อก็เริ่มวุ่นวายว่าจะหาเงินในอินเทอร์เน็ตอย่างไร เพื่อช่วยเหลือหลิงหลานให้ดียิ่งขึ้น เนื่องจากเขาเห็นว่ามีแหล่งสินค้าสำหรับซื้อยาในอินเทอร์เน็ต ถึงแม้ว่าสารปนเปื้อนของยาจะค่อนข้างมาก แต่นี่ไม่ใช่ปัญหา สำหรับเขาแล้วการกำจัดสารปนเปื้อนพวกนี้ก็ง่ายเหมือนกับการทานผักกาดขาว
เอ่อ ดูเหมือนเขาจะทานอาหารของมนุษย์ไม่ได้นะ…เอาล่ะ ถ้าอย่างนั้นก็เหมือนกับทานผักกาดขาวเสมือนจริงก็ไม่ปาน สรุปก็คือง่ายดายมากๆ
เสี่ยวซื่อยังแอบสร้างบัญชีในระบบศูนย์กลางสหภาพธนาคารแห่งสหพันธรัฐเพื่อปณิธานอันยิ่งใหญ่นี้ ใช้ฝีมือของเขามาจัดการระบบป้องกันของเด็กเล่นแบบนี้ย่อมง่ายดายเหมือนกับทานผักกาดขาวเสมือนจริง เขาย่อมกำหนดให้บัญชีอยู่ในระดับ SSS โดยไม่ได้ผ่านการเห็นชอบของใครเพื่อป้องกันความปลอดภัยของบัญชี แน่นอนว่าไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากให้บัญชีมีระดับสูงกว่านี้ เพียงแต่บัญชีระดับ SSSSS มีแค่บัญชีเดียวเท่านั้น นั่นก็คือประธานาธิบดีของสหพันธรัฐ เสี่ยวซื่อยังรู้ว่าเขาไม่สามารถทำเกินเลยมากไปนัก
เมื่อหลิงหลานรับรู้การกระทำทุกอย่างของเสี่ยวซื่อถึงได้เข้าใจว่า เสี่ยวซื่อของเธอร้ายกาจมากจริงๆ เขาก็คือเทพในเครือข่ายเสมือนจริง
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าเสี่ยวซื่อจะร้ายกาจอีกแค่ไหน ก็ยังไม่มีวิธีการว่าจะหาเงินได้อย่างไร เขาอับจนหนทางจึงได้แต่มาปรึกษากับหลิงหลาน น่าเสียดายที่หลิงหลานเองก็ทำไม่เป็น ลองคิดดูสิ ชาติก่อนเธอใช้เวลาอยู่บนเตียงผู้ป่วย ส่วนใหญ่ นอกจากเข้าอินเทอร์เน็ตเพื่อรับข้อมูลข่าวสารทำความเข้าใจเกี่ยวกับโลกแล้ว เธอก็มีแต่ฆ่าเวลาด้วยการอ่านพวกนิยายดูการ์ตูน ถ้ารู้แต่แรกว่าเป็นแบบนี้ละก็ ตอนนั้นเธอน่าจะศึกษาให้ดีว่าจะทำธุรกิจอย่างไร ยกตัวอย่างเช่น อ่านข้อมูลทางด้านนี้….
ปังๆๆ หลิงหลานถูกเสียงที่จู่ๆ ดังขึ้นอยู่ข้างกายทำให้ตกใจตื่น เธอเงยหน้ามองแล้วก็อึ้งไป เนื่องจากในห้องโถงของมิติแห่งจิตมีหนังสือโผล่ขึ้นมากองหนึ่ง….
หลิงหลานหยิบสุ่มๆ ขึ้นมาเล่มหนึ่ง เมื่อเห็นหน้าปก ‘เศรษฐศาสตร์เบื้องต้น’ และจ้องไปที่ชื่อหนังสือเล่มอื่นๆ สีหน้าของเธอก็ดำมืดทันที
เสี่ยวซื่อทำหน้าเหมือนเธอรีบชมฉันสิด้วยความภาคภูมิใจราวกับคิดว่าตัวเองทำเรื่องที่ชาญฉลาด
หลิงหลานกัดฟันกรอด “นายจะเอาหนังสือเกี่ยวกับเศรษฐศาสตร์ออกมาหมดนี่ทำไม แล้วหนังสือพวกนี้มาจากไหน”
เสี่ยวซื่อกล่าวด้วยความอิ่มอกอิ่มใจว่า “ไม่ใช่ว่าเมื่อตะกี้นี้เธออยากอ่านข้อมูลทางด้านนี้เหรอ โชคดีที่ฉันก็อปปี้หนังสือทั้งหมดที่อยู่บนอินเทอร์เน็ตตอนที่เธอยังอยู่ในร่างเดิมไว้ ไม่ว่าเธออยากได้อะไร ฉันก็มีหมด…”
หลิงหลานโกรธสุดขีด “นายคิดว่าฉันอ่านหนังสือพวกนี้จบแล้วก็จะกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านธุรกิจได้เหรอ ฉันคิดว่านายฝันกลางวันไปแล้ว หนังสือยังมีประโยชน์อะไรอีกเหรอ”
เสี่ยวซื่อเอ่ยซื่อๆ ว่า “ไม่มีประโยชน์เหรอ”
“แน่นอนว่าไม่มี มันเป็นแค่การวางแผนรบบนกระดาษ ความเป็นจริงจะง่ายดายขนาดนี้ที่ไหนล่ะ อย่างมากมันก็ให้คนฆ่าเวลาเท่านั้น” หลิงหลานกล่าวด้วยความจนใจ เธอรู้ดีมากว่าเธอไม่มีพรสวรรค์ทางด้านนี้เอาเสียเลย
เสี่ยวซื่อผิดหวังมาก เขากล่าวด้วยความหดหู่ว่า “เดิมทีก็ทำได้แค่ให้คนฆ่าเวลาเท่านั้นเหรอ ดูท่าฉันจะเสียแรงเปล่าแล้ว ฉันใช้เวลานานมาก กว่าจะรวบรวมหนังสือพวกนี้นะ…”
หลิงหลานเห็นสภาพแล้วก็ทนไม่ไหวอยู่บ้าง เธอเอ่ยปลอบใจเสี่ยวซื่อว่า “ไม่เป็นไรนะ ไม่แน่ว่าในนี้อาจจะมีของล้ำค่ามากๆ อยู่ก็ได้ คนที่อยากได้หนังสือพวกนี้อาจจะไม่มีโอกาสแล้วก็ได้…”
หลิงหลานพลันรู้สึกถึงแสงที่แล่นวาบขึ้นมาในสมองราวกับว่าคิดอะไรบางอย่างออก
เสี่ยวซื่อถอนหายใจเฮือกหนึ่ง “ยังจะมีใครไม่มีหนังสือที่เผยแพร่บนอินเทอร์เน็ตในโลกก่อนของเธออีกเหรอ เธออย่าปลอบใจฉันเลย…”
“โลกก่อน? หนึ่งหมื่นปีก่อน…” หลิงหลานพลันคว้าแสงที่จุดประกายขึ้นเมื่อสักครู่นี้ได้ เธอเอ่ยด้วยความตื่นเต้นว่า “เสี่ยวซื่อ ฉันคิดออกแล้วว่าจะหาเงินยังไง…”
………………………………………………..