หลิงหลานมองอาจารย์สามคนที่อยู่ตรงหน้าด้วยความตกใจ ไม่นึกเลยว่าภารกิจครั้งนี้ของเธอจะทำให้อาจารย์สามคนของเธอปรากฎตัวขึ้นมาพร้อมกัน โดยเฉพาะการที่หมายเลขหนึ่งที่เย็นชามาตลอดปรากฏตัวขึ้นมาทำให้เธอรู้สึกประหลาดใจที่ได้รับการโปรดปราณโดยไม่คาดฝัน
“อาจารย์มีธุระอะไรเหรอคะ?” หลิงหลานเอ่ยถาม
หมายเลขเก้าเป็นคนที่ร้อนใจมากที่สุด เธอเอ่ยปากถามตรงๆ ว่า “หลิงหลาน เธอเลือกวิถีอะไร?”
“วิถี?” หลิงหลานอึ้งไปก่อนจะตระหนักได้ทันที แล้วรีบกล่าวว่า “ฉันไม่ได้เลือกวิถีอะไรเลยค่ะ”
“เป็นไปได้ยังไง?” หมายเลขเก้าทำหน้าเหลือเชื่อ การผ่านด่านก็หมายความว่าผู้ทดสอบหาวิถีของเขาเจอแล้ว ทำไมหลิงหลานถึงบอกว่าไม่ได้เลือกล่ะ? ไม่เพียงหมายเลขเก้าที่ไม่เชื่อ ขนาดหมายเลขห้าที่มีไอชั่วร้ายก็ไม่เชื่อเช่นกัน มีเพียงหมายเลขหนึ่งที่ดูเงียบขรึมลึกซึ้งเท่านั้นที่มองความคิดของเขาไม่ออก
“อันที่จริงก็พูดไม่ได้เหมือนกันว่าไม่ได้เลือกจริงๆ” หลิงหลานลูบศีรษะอย่างกระอักกระอ่วนพลางกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ฉันเลือกเดินไปบนวิถีของฉันเอง หลังจากนั้นมิติก็บอกว่าฉันผ่านแล้วฉันก็ออกมาค่ะ”
ดวงตาทั้งสองข้างของหมายเลขหนึ่งส่องแสงประกายพราวพร่างออกมาจางๆ หมายเลขห้ากับหมายเลขเก้าทำหน้าตกตะลึงและเปลี่ยนเป็นยินดีอย่างบ้าคลั่ง…พวกเขาช่างโชคดีที่สามารถสั่งสอนนักเรียนที่หาวิถีของตัวเองโดยเฉพาะเจอ คนแบบนี้ต่างเป็นบุคคลที่สร้างประวัติศาสตร์
หลิงหลานกล่าวด้วยความเสียใจว่า “น่าเสียดายที่ไม่รู้ว่าจะทำสำเร็จได้หรือไม่ วิถีนี้ต้องอาศัยตัวฉันคลำหาทางเอาเองค่ะ”
…
หลังจากที่หลิงหลานถูกวังวนสีดำดูดเข้าไปตั้งแต่ภาพแผ่นที่สอง ก็ไม่ได้ปรากฏฉากใหม่ขึ้นมา หากแต่เข้าไปในความว่างเปล่า มีเพียงสีเทากว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา ไม่มีของสิ่งใดอยู่เลย และหลิงหลานก็ลอยเคว้งคว้างอยู่ท่ามกลางความว่างเปล่านี้
ในขณะที่หลิงหลานกำลังงุนงงอยู่นั้น จู่ๆ โลกว่างเปล่าสีเทาไร้ขอบเขตก็บิดเบี้ยวขึ้นมา สุดท้ายก็เปลี่ยนรูปลักษณ์เป็นมังกรยักษ์สีเทาพุ่งเข้าใส่หลิงหลานที่อยู่กลางอากาศอย่างดุร้าย
ตอนนั้นหลิงหลานหวาดกลัวตกใจมาก แต่พอพบว่าร่างกายของตัวเองขยับเขยื้อนไม่ได้ ทำได้แค่เพียงจ้องมองมังกรยักษ์ตัวนี้กลืนเธอเข้าไปทั้งตัว
พริบตานั้นหลิงหลานเห็นภาพมากมาย เส้นทางที่อยู่ในโลกนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นตรงหน้าเธอ จากนั้นเธอก็ได้ผ่านการทรมานและการรู้แจ้งของเส้นทางทั้งหมดกับภาพเหล่านั้น เมื่อหลิงหลานได้สติกลับมาอีกครั้งถึงค่อยพบว่าเธอยังคงยืนอยู่ท่ามกลางความว่างเปล่าใน สภาพสมบูรณ์ไร้ความเสียหาย ราวกับว่าทุกสิ่งทุกอย่างเมื่อสักครู่นี้เป็นเพียงฝันกลางวันเท่านั้น
เสียงหนึ่งที่เบาหวิวสุดขีดดังขึ้นมาจากที่ห่างไกล “วิถีนับไม่ถ้วนนี้มีเพียงวิถีเดียวที่เป็นของคุณ คุณจะเลือกวิถีไหน?”
“วิถี? ก็คือเส้นทางพัฒนาการที่ตัวฉันต้องการเหรอ?” หลิงหลานเอ่ยถามอย่างครุ่นคิด
“คุณเห็นเส้นทางเมื่อสักครู่นี้หมดแล้วไม่ใช่หรือ?” เสียงแผ่วเบาตอบกลับ
“ความเกลียดชัง ความบ้าคลั่ง ความอดกลั้น ความยับยั้งชั่งใจ การผูกมัด ความรับผิดชอบ ถึงขนาดที่ยังมีความเมตตาดีงามและการเข่นฆ่า ทุกคนต่างละทิ้งความสามารถบางอย่างของตัวเอง นี่ก็คือค่าตอบแทนของการพัฒนาการเหรอ?” การเลือกแบบนี้ทำให้หลิงหลานไม่ชอบเอามากๆ มันจำเป็นต้องสละทิ้งเพื่อแข็งแกร่งยิ่งขึ้นด้วยเหรอ?
“การรับและการตอบแทนก็ยุติธรรมดีแล้ว จะสละทิ้งหรือไม่ก็อยู่ที่ตัวเอง” เสียงเบาหวิวฟังดูเย็นชาไร้จิตใจ ทว่ามันก็เอ่ยเรื่องจริงเช่นกัน สุดท้ายทุกอย่างต่างก็เป็นการเลือกของตัวเอง
“ยุติธรรมเหรอ?” หลิงหลานหลับตาลง ตระหนักถึงความโศกเศร้าและการรับรู้ที่ได้จากในภาพพวกนั้นอีกครั้ง สุดท้ายคนเหล่านั้นต่างก็กลายเป็นคนเหนือคน ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของมวลมนุษย์ แต่พวกเขาก็สูญเสียสิ่งสำคัญบางอย่างไปเช่นกัน ต่อให้เป็นคนที่เลือกวิถีแห่งมิตรภาพ เขาก็สูญเสียครอบครัวไปเหมือนกัน เมื่อโลกหล้าอยู่กันอย่างภราดรภาพ ทุกคนปฏิบัติต่อกันอย่างเสมอภาพกันแล้ว ครอบครัวของเขาจะนับว่าเป็นอะไรได้อีกล่ะ?
เธอไม่เชื่อว่าตอนแรกที่คนผู้นั้นเลือกการพัฒนาการสู่วิถีมิตรภาพคือการทำเพื่อตัวเองเพียงอย่างเดียว มีความเป็นไปได้สูงว่าอาจจะทำเพื่อครอบครัว แต่ผลกลับแตกต่างจากความต้องการที่อยากที่แข็งแกร่งขึ้นในตอนแรกโดยสิ้นเชิง เช่นนั้นการแข็งแกร่งขึ้นแบบนี้จะไปมีความหมายอะไรอีกล่ะ?
หลิงหลานอยากแข็งแกร่งขึ้นจริงๆ เพราะว่าเธอไม่อยากทำผิดต่อตัวเองอีก ถ้าหากเธอแข็งแกร่งมากพอ บำเหน็จความชอบของพ่อก็จะไม่ถูกคนนึกปรารถนาอยู่ตลอดเวลา สุดท้ายเธอก็ต้องอาศัยสถานะปลอมตัวเป็นผู้ชายเพื่อให้ได้มา
หลิงหลานอยากให้กำเนิดเด็กที่ยอดเยี่ยมสักคนมากๆ แต่สถานะของเธอในตอนนี้ทำให้เธอต้องแข็งแกร่งขึ้นในระดับหนึ่งถึงจะสามารถล้มผู้ชายที่เธอถูกใจเพื่อได้รับยีนอีกครึ่งหนึ่งของลูก
ยิ่งไปกว่านั้น เธออยากให้ลูกของเธอใช้ชีวิตต่อหน้าชาวโลกได้อย่างถูกต้องเปิดเผย เติบโตขึ้นมาแข็งแรงท่ามกลางความรักที่ไม่มีที่สิ้นสุดของเธอ…เธออยากใช้ชีวิตโดยที่ไม่เสียใจ ยิ้มมองดูโลกนี้…ทุกสิ่งทุกอย่างนี้ต่างจำเป็นต้องให้เธอแข็งแกร่งขึ้น ถึงขนาดที่ต้องยืนอยู่บนจุดสูงสุด
อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ได้หมายความว่าเธอจะยินดีสละของบางอย่างของตัวเอง เธอไม่อยากกลายเป็นคนบ้าหรือว่าคนชั่ว ไม่ยอมทนต่อโลกใบนี้ ดังนั้นวิถีปีศาจ วิถีมาร วิถีสังหารล้วนไม่เหมาะกับเธอ เธอไม่อยากกลายเป็นแม่พระ ผู้มีคุณธรรม ราชัน กลายเป็นผู้นำทำให้อยู่ท่ามกลางการชิงไหวชิงพริบกัน สูญเสียความไร้เดียงสาและความสุขที่ควรมีไป ดังนั้นวิถีปราชญ์วิถีราชัน วิถีคุณธรรมต่างก็ไม่ใช่วิถีที่เธอต้องการ ไร้ความเมตตาหรือมีความเมตตาอะไรต่างก็เป็นเรื่องเหลวไหลทั้งเพ วิถีแห่งจิตใจ วิถีปัญญาชน วิถีการรบ วิถีการพัฒนาการที่มีข้อจำกัดมากมายแบบนี้ย่อมไม่ใช่วิถีที่หลิงหลานอยากจะเดินไปเลย…
หลิงหลานวิเคราะห์วิถีทั้งหมดทีละอันและพบว่าเธอหาวิถีของตัวเองไม่เจอ เธอเอ่ยด้วยความไม่พอใจว่า “ไม่ใช่คุณบอกว่าในนี้มีวิถีที่เหมาะสมกับฉันเหรอ? ทำไมฉันดูแล้วมันไม่มีเลยล่ะ?”
เสียงแผ่วเบาดังขึ้นอีกครั้งว่า “วิถีบนโลกมีเป็นพันเป็นหมื่น คุณจะรู้ได้ยังไงว่าในนี้ไม่มีวิถีที่เหมาะสมกับคุณอยู่?”
หลิงหลานตอบกลับรวดเร็วยิ่งว่า “พูดอีกอย่างก็คือ วิถีที่ฉันเห็นพวกนี้เป็นแค่บางส่วนจากในนั้น? นี่มันแปลกพิลึกแล้ว ทำไมไม่ให้ฉันดูให้หมดล่ะ?”
เสียงเบาหวิวดังขึ้น มันไม่ได้ไร้ความรู้สึกและเย็นเยียบหาใดเปรียบเหมือนกับก่อนหน้านี้ คราวนี้มันมีความไม่พอใจเล็กน้อย “จังหวะและความบังเอิญทำให้คุณได้รับความลับสวรรค์ของวิถีบางอย่าง คุณอย่าได้คืบจะเอาศอก”
หลิงหลานไม่สนใจความขุ่นเคืองของเสียงนี้ ในตรงกันข้ามเป็นเพราะการตอบกลับของเสียงนี้ทำให้ในใจเธอมีคำตอบแล้ว “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ฉันไม่ขอเลือกพวกวิถีที่คุณให้ฉันเห็น”
คำตอบของหลิงหลานทำให้เสียงแผ่วเบาตกตะลึง “เพราะอะไร?” พวกคนก่อนหน้านี้ต่างทำหน้าตื่นเต้นยินดีเลือกวิถีหนึ่งในนั้น ทำไมคนผู้นี้ถึงตัดใจทิ้งโอกาสดีแบบนี้ไปได้? มันรู้สึกรับไม่ได้อยู่บ้าง
“ไม่ใช่คุณบอกว่า วิถีบนโลกนี้มีเป็นพันเป็นหมื่นเหรอ? ฉันต้องหาวิถีที่เหมาะสมกับฉันมากที่สุดสิ” หลิงหลานใช้คำพูดของมันมาตอบคำถามของมัน ในคำพูดดูหยอกล้อชัดเจนมาก
เสียงบางเบานั้นพลันลนลานขึ้นมา “วิถีที่ฉันมอบให้คุณเหล่านั้นต่างก็เป็นวิถีที่สามารถทำได้ เป็นวิถีที่ผ่านประสบการณ์และการรู้แจ้งทำให้คุณแข็งแกร่งขึ้นได้อย่างรวดเร็ว ส่วนวิถีอื่นๆ ต่างต้องอาศัยคุณเสาะหาหนทางด้วยตัวเอง บางทีอาจจะไม่ประสบความสำเร็จอันใด แข็งแกร่งขึ้นไม่ได้ คุณโง่หรือเปล่า?”
“เหอะ ไม่เสแสร้งแล้วเหรอ?” หลิงหลานกล่าวด้วยความหยอกเย้า
เสียงนั้นเงียบลงไปครู่หนึ่ง หลิงหลานเอ่ยต่อว่า “เป็นระบบของมิติการเรียนรู้ใช่ไหม อย่าแสร้งทำตัวเป็นยอดฝีมือลึกลับเลย พูดมาตรงๆ เถอะ นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
“เลือกเส้นทางพัฒนาการที่ถูกต้อง เป็นเส้นทางพัฒนาการของคุณ” เสียงนี้ไม่ได้เบาบางแล้ว แต่เป็นเสียงระบบที่หลิงหลานคุ้นเคยดี
หลิงหลานค่อยพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ นี่ถึงจะถูกไม่ใช่เหรอ ทำตัวเหมือนเซียนประหลาดลึกลับทำให้เธอไม่คุ้นชินเอามากๆ “ไม่ใช่ว่าทำตามการฝึกสอนไปทีละขั้นเหรอ?” หลิงหลานสงสัยมาก ไม่นึกเลยว่าจะมีวิถีลึกลับแบบนี้ปรากฏขึ้นมา
“วิถีคือการรู้แจ้ง ระดับบรรลุ ขอบเขตอย่างหนึ่ง ไม่ใช่การฝึกฝนและตัวเลขตายตัว” คำตอบของระบบไม่มีสาระเอามากๆ แต่หลิงหลานกลับฟังแล้วเข้าใจ เธอพยักหน้าเหมือนกับเข้าใจเล็กน้อย นี่ต้องขอบคุณที่เมื่อก่อนหลิงหลานอ่านนิยายมามากเกินไป หลักจริยธรรมคำสอนพระสูตรบางอย่างของจีนโผล่อยู่ในนิยายบ่อยๆ คำพูดที่มีกลิ่นอายคติธรรมแบบนี้ไม่คณามือเธอหรอก
“วิถีที่ฉันเห็นพวกนั้นคือวิถีที่พัฒนาจนถึงที่สุดแล้ว หรือพูดได้ว่า เมื่อใครสักคนเดินเข้าไปถึงที่สุดแล้ว มีความเป็นไปได้ที่เขารู้แจ้งถึงความลึกลับขั้นสุดยอด…” มนุษย์มีของมากมายที่เทคโนโลยีวิทยาศาสตร์ไม่อาจอธิบายได้ เหมือนกับเคล็ดวิชาลมปราณบำรุงร่างกายที่เธอร่ำเรียนมาก็เป็นสิ่งมหัศจรรย์อย่างหนึ่ง
คราวนี้ระบบของมิติการเรียนรู้ไม่ได้ตอบกลับ ของบางอย่างต้องอาศัยโฮสต์ตระหนักเข้าใจด้วยตัวเอง
ผ่านไปประมาณหลายนาที ระบบมิติการเรียนรู้ก็เอ่ยถามอีกครั้งว่า “คุณไม่เลือกวิถีเหล่านั้นจริงๆ หรือ? นั่นเป็นทางลัดนะ”
แต่หลิงหลานกลับนึกถึงนิยายประเภทบำเพ็ญเซียนที่เธออ่านพวกนั้น มันเคยบอกไว้ว่า ประสบการณ์ของคนอื่นทำได้แค่เรียนรู้อ้างอิงเท่านั้น ทว่าไม่สามารถเอาแต่เลียนแบบได้ เนื่องจากทุกคนต่างไม่เหมือนกัน มีเพียงของที่ตัวเองตระหนักรู้แจ้งออกมาได้ถึงจะเป็นสิ่งที่เหมาะสมกับตัวเองอย่างแท้จริง บางทีวิถีนี้ก็เป็นเช่นเดียวกัน….
หลิงหลานมีคำตอบแล้ว เธอส่ายหน้าอีกครั้ง “ฉันไม่เลือก”
“คุณไม่อยากแข็งแกร่งขึ้นเลยหรือไง?” เสียงของระบบฟังดูผิดหวังอยู่บ้าง หลิงหลานที่เป็นโฮสต์คนนี้โดดเด่นเหนือใครในทุกๆ ด้าน แต่มันไม่อาจเข้าใจได้เลยว่าทำไมหลิงหลานถึงทิ้งโอกาสที่สามารถทำให้เธอแข็งแกร่งขึ้นอย่างชัดเจนนี้ไป
“ฉันอยากอยู่แล้ว แต่ก็เหมือนกับที่คุณพูดเมื่อตะกี้นี้ มีเพียงวิถีเดียวจากในวิถีนับหมื่นพันบนโลกใบนี้ที่เหมาะสมกับฉัน และฉันอยากเดินไปบนวิถีของฉัน” หลิงหลานเอ่ยอย่างเด็ดขาด
“ต่อให้หลังจากนี้จะไม่ประสบความสำเร็จก็จะไม่เสียใจ” ระบบเตือนอีกครั้ง
“ไม่มีวันเสียใจ” เธอเป็นคนละโมบ เธอไม่ยอมตัดความรู้สึกพวกนั้นไป บางทีสุดท้ายการโลภมากนี้อาจจะทำให้เธอสูญเสียโอกาสที่จะสัมผัสวิถีไป แต่เธอเชื่อว่าต่อให้หาวิถีของเธอไม่เจอ เธอก็ยังแข็งแกร่งขึ้นได้
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ปิดการถ่ายทอดวิถีของมิติการเรียนรู้….” ในเมื่อโฮสต์ไม่ต้องการ การถ่ายทอดวิถีของมิติการเรียนรู้ก็ไม่จำเป็นต้องมีอยู่
หลังจากเสียงนี้ หลิงหลานก็รู้สึกว่าภาพของวิถีต่างๆ ที่เดิมทีอยู่ในห้วงสติกำลังถูกถอดออกไป การตระหนักรู้แจ้งพวกนั้นก็หายไปเช่นกัน สุดท้ายก็เปลี่ยนเป็นเสียงที่ดังสะเทือนลั่นฟ้าราวกับสายฟ้าฟาดว่า “วิถีคืออะไร?”
หลิงหลานพูดพรวดออกไปว่า “จิตใจที่แท้จริงของมนุษย์!”
เสียงสะท้อนของคำว่าจิตใจที่แท้จริงของมนุษย์ดังก้องไปทั่วทั้งมิติ รัศมีโชติช่วงในแววตาของหลิงหลานสว่างมากขึ้นเรื่อยๆ จากนั้นเธอก็เอ่ยอย่างแน่วแน่อีกครั้งว่า “ใช่แล้ว จิตใจที่แท้จริงของมนุษย์”
“แล้ววิถีของเธอคืออะไร?”
“อิสระ ไร้ข้อผูกมัด ดังนั้นวิถีของฉันก็ควรจะเป็นวิถีแห่งอิสระ มันไม่ควรถูกจำกัดว่าเป็นวิถีอะไร…มันเป็นวิถีอะไรก็ได้ทั้งนั้น”
หลิงหลานเงยหน้าขึ้นฉับพลัน รัศมีเรืองรองในแววตาคล้ายกับสามารถส่องแสงไปทั่วทั้งมิติเสมือนจริงนี้ “ดังนั้น ฉันจะตั้งชื่อวิถีของฉันว่า วิถีครอบงำ”
“ยินดีด้วย คุณผ่านแล้ว” เสียงระบบดังขึ้นอีกครั้งบอกข่าวดีนี้ให้กับหลิงหลาน ยังไม่ทันที่หลิงหลานจะเอ่ยถามต่อ เธอก็ถูกดูดไปที่วังวนสีดำอีกรอบ เมื่อเธอถูกโยนทิ้งออกมาก็มาถึงตรงจุดที่พวกอาจารย์หมายเลขหนึ่งอยู่
…
“วิถีครอบงำเหรอ?” หมายเลขหนึ่งมองหลิงหลานอย่างลึกซึ้งแวบหนึ่ง แววตาฉายร่องรอยความพึงพอใจออกมาอย่างรวดเร็ว นี่สิถึงจะเป็นกลิ่นอายอำนาจครอบงำที่ลูกศิษย์ของเขาควรมี การเลือกของหลิงหลานทำให้เขาปลื้มปิติมาก
………………………………….