คำพูดของหลินจงชิงทำให้เซี่ยอี๋อดเบ้ปากพูดไม่ได้ “ไม่เข้าใจพวกนายเลยจริงๆ ฝึกฝนควบคุมหุ่นรบแทบตายมาสามปีจนถึงขั้นลืมกินลืมนอน…คำสั่งของลูกพี่หลานสำคัญมากขนาดนั้นจริงๆ เหรอ?”
ตอนที่เซี่ยอี๋เข้าร่วมทีม หลิงหลานก็หยุดเรียนจากไปแล้ว เขาจึงไม่รู้สถานะสูงส่งของหลิงหลานในทีมอย่างแน่ชัด และก็ไม่อาจเข้าใจได้ว่าทำไมเป้าหมายที่หลิงหลานกำหนดไว้ถึงทำให้ทุกคนในทีมรวมไปถึงหัวหน้าทีมพยายามกันขนาดนี้ คนธรรมดาไม่อาจฝืนทนการฝึกฝนที่แฝงไปด้วยความโหดร้ายทารุณอย่างชัดเจนแบบนั้นได้เลย ทว่าพวกฉีหลงกลับฝืนอดทนและยังทนไปได้สามปี ราวกับว่าถ้าหากพวกเขาหยุดลงก็จะถูกอสูรร้ายที่ไล่ตามหลังกลืนกินก็ไม่ปาน
แน่นอนว่าเซี่ยอี๋ใช้ชีวิตสามปีมานี้อย่างทุกข์ทรมานมาก เพื่อนๆ ร่วมทีมเหมือนลวดสปริงที่บิดแน่น ฝึกซ้อนกันอย่างบ้าคลั่ง ปริมาณเหล่านั้นมากจนทำให้ขนลุก ถึงแม้ว่าจะไม่มีคนบีบบังคับเขาให้ฝึกฝน แต่เมื่อเพื่อนร่วมทีมข้างกายต่างฝึกซ้อมกันอย่างหนัก เขาที่สัมผัสได้ถึงแรงกดดันมหาศาลก็ไม่กล้าที่จะไม่ฝึกฝน….
สรุปคือ สามปีมานี้เซี่ยอี๋รู้สึกว่าทุกวันเขาใช้ชีวิตอยู่ในขุมนรก ระหว่างทางเขาก็เคยโกรธตัวเองที่ตอนนั้นเป็นเด็กไม่ประสีประสา ถูกหลอกเข้าร่วมทีมอย่างโง่เง่าขนาดนี้…แต่เซี่ยอี๋ไม่อยากถูกพวกคนในทีมทิ้งไว้ ดังนั้นเขาจึงฝืนอดทนต่อไปเช่นกันจนได้รับผลสำเร็จที่เขาไม่กล้าแม้แต่คิดเลย ยิ่งไปกว่านั้น สามปีที่ผ่านมานี้ เซี่ยอี๋ก็ได้หลอมรวมเข้ากับทีมโดยสมบูรณ์ เวลานี้หากคิดจะเตะเขาออกไป เขาก็จะกอดต้นขาฉีหลงไว้ไม่ไปเด็ดขาด
คำถามของฉีหลงทำให้หลินจงชิงจมสู่การรำลึกถึงอดีต เขายิ้มลึกล้ำขึ้นหลังจากนั้นก็พยักหน้าให้เซี่ยอี๋หนักๆ และกล่าวว่า “ไม่ผิด ถึงแม้ว่าหัวหน้าทีมในนามของทีมเราคือฉีหลง แต่ว่าหัวหน้าทีมของจิตวิญญาณเราคือลูกพี่หลาน” เขาเอ่ยเตือนว่า “เซี่ยอี๋ นายต้องจำเรื่องนี้เอาไว้ ถึงแม้ว่าพวกเราทุกคนจะยอมรับนายแล้ว แต่ขอเพียงมีสักวันที่นายไม่ได้รับการยอมรับจากลูกพี่หลานของเรา นายก็จะไม่ใช่สมาชิกทีมที่แท้จริงของทีมเราไปตลอดกาล”
เซี่ยอี๋ได้ยินคำพูดก็ทำหน้างอฉับพลัน “ที่แท้ ฉันยังต้องผ่านด่านลูกพี่หลิงหลานด้วย?” เซี่ยอี๋พยายามต่อสู้ฟันฝ่าร่วมกับเพื่อนมาสามปี เขาคิดว่าตัวเองเป็นหนึ่งในสมาชิกทีมมานานแล้ว
ลั่วล่างได้ยินก็แค่นเสียงเย็นอีกครั้ง พูดด้วยความหยิ่งผยองว่า “นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว เซี่ยอี๋ นายต้องระวังไว้หน่อยนะ อย่าทำหน้าทะเล้นไปเรื่อยล่ะ ลูกพี่หลานไม่ได้หยอกเล่นง่ายเหมือนพวกเราหรอกนะ” ลั่วล่างไม่ลืมเหยียบเซี่ยอี๋ซ้ำ
“ลั่วล่าง นายคบหากับลูกพี่หลานมานานขนาดนี้ นายต้องรู้เรื่องความชอบของลูกพี่หลานแน่นอน บอกฉันหน่อยสิ…” เซี่ยอี๋เหมือนกับลืมไปแล้วว่าเมื่อสักครู่นี้เขาตีกับลั่วล่างมายกหนึ่ง เขาพัวพันลั่วล่างหวังจะได้รับข้อมูลของหลิงหลานจากปากของเขาเล็กน้อยเพื่อให้เขาซื้อใจได้
“ลูกพี่หลานเป็นคนยุติธรรมตรงไปตรงมา อย่าคิดซื้อใจเขาเลย…” ถึงแม้ว่าลั่วล่างยังคงพูดจาเย็นชา แต่เห็นได้ชัดว่าน้ำเสียงดูอ่อนโยนเล็กน้อย
“ไม่ใช่ ไม่ใช่อยู่แล้ว ฉันจะไร้ยางอายขนาดนั้นได้ยังไงเล่า ไม่ใช่ว่าฉันอยากทำความเข้าใจลูกพี่หลิงหลานของพวกเรามากๆ เหรอ ลั่วล่างจ๋า พี่น้องคนดีของฉัน เมื่อตะกี้พี่ชายผิดไปแล้ว อย่าโกรธเลยนะครับ ตอนนี้พี่ชายลำบากแล้ว นายช่วยพี่ชายหน่อยเถอะน้า…” เซี่ยอี๋เป็นคนยังไง เขาฉลาดทันคน เมื่อสัมผัสว่าลั่วล่างมีท่าทีอ่อนโยนลงแล้วก็รีบฉวยโอกาสทันที ประสานมือคารวะและขอความเมตตาด้วยใบหน้าเสียใจ ความหนาของหนังหน้าทำให้สามคนที่เหลือบชำเลืองมองแล้วอดเขยิบออกไปหลายก้าวอย่างเงียบเชียบไม่ได้ แสร้งทำเป็นไม่รู้จักคนหน้าด้านนี้
“เหอะ ตอนนี้เป็นพี่น้องแล้ว? เมื่อตะกี้พูดอะไรกับฉันไว้ล่ะ?” มุมปากของลั่วล่างเผยรอยยิ้มชัยชนะออกมา ท่าทีเย่อหยิ่งจองหองทำให้สามคนที่เหลือเขยิบออกห่างไปอีกครั้ง ได้! สองคนนี้เป็นคู่ประหลาดจริงๆ พอกวนโมโหขึ้นมาทั้งคู่ก็ตีกัน นั่นเรียกว่าความแค้นนะ ไม่ใช่สิ่งที่เรียกว่ามิตรภาพของพี่น้องเด็ดขาด แต่เมื่อสองพี่น้องดีกันก็ดีกันจนถึงขั้นสามารถสวมกางเกงตัวเดียวกันได้แน่นอน
ลั่วล่างพังทลายโดยสิ้นเชิงภายใต้กระสุนเคลือบน้ำตาลของเซี่ยอี้ตามที่คาดไว้จริงๆ เขาเริ่มบรรยายเรื่องนิสัยกับพฤติกรรมของหลิงหลานที่เขาคิดไว้ให้เซี่ยอี๋ฟัง อย่างไรก็ตาม คำพูดของเขากลับทำให้ใบหน้าสามคนที่อยู่ข้างกายบิดเบี้ยวอย่างควบคุมไม่ได้อีกครั้ง…ลูกพี่หลานในปากของลั่วล่างเป็นลูกพี่ของพวกเขาจริงๆ เหรอ? ทำไมถึงไม่สามารถเชื่อมกับลูกพี่ในภาพจำของพวกเขาได้เลยล่ะ?
พระอาทิตย์ค่อยๆ ขึ้นสูง ในขณะที่พวกเขาหลายคนกำลังรอคอยด้วยความร้อนใจเล็กน้อยนั้น ฉีหลงก็พลันเอ่ยปากพูดว่า “ดูเหมือนจะมาแล้ว…”
หลายคนมองไปที่ฉีหลงพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย หานจี้จวินเลิกคิ้วกล่าวว่า “สัญชาตญาณสัตว์ป่า?” พรสวรรค์สัญชาตญาณสัตว์ป่าของฉีหลงทรงพลังมาก เขาจะสัมผัสสภาพแวดล้อมรอบๆ บริเวณได้ล่วงหน้าก่อนพวกเขาก้าวหนึ่งเสมอ
ฉีหลงพยักหน้าบ่งบอกว่าที่หานจี้จวินพูดมาไม่ผิดเลย พรสวรรค์สัญชาตญาณสัตว์ป่าของเขาสัมผัสได้ถึงการสั่นสะเทือนในอากาศ ทำให้เขาตัดสินว่ามีหน่วยรบขนาดใหญ่กำลังเข้ามาใกล้ และวันนี้นักเรียนปีสิบที่เข้าร่วมการประเมินต่างอยู่ภายในสถาบัน วันนี้คนที่มาทีเพียงลูกพี่หลานคนเดียวเท่านั้น
สิบนาทีให้หลังก็เห็นตรงปลายท้องฟ้ามีหน่วยรบอากาศขนาดใหญ่กำลังตรงเข้ามาใกล้พวกเขาช้าๆ ผู้นำหน่วนรบคือหุ่นรบรุ่นเล็กสองตัว ตรงหน้าอกมีนกฟีนิกซ์สีแดงเพลิงตัวหนึ่งกำลังทะยานขึ้นสู่ด้านบน เนื่องจากมันเป็นตราสัญลักษณ์ของตระกูลจึงมีวงกลมสีดำอยู่ที่ด้านนอกนกฟีนิกซ์ที่กำลังบินร่อนหนึ่งวง
สีของวงกลมแสดงถึงระดับของตระกูล ระดับของตระกูลแบ่งออกเป็นระดับชั้นยอด ระดับหนึ่ง ระดับสอง…เป็นแบบนี้ไปจนถึงระดับเจ็ด รวมกันทั้งหมดมีแปดระดับ สีทองคือระดับสูงสุด โดยปกติแล้วเป็นตระกูลที่ทรงอำนาจและตระกูลที่มีการสืบทอดมาแต่โบราณถึงจะมีคุณสมบัติใช้สีนี้ สหพันธรับมีตระกูลชั้นยอดอยู่สองตระกูลซึ่งก็คือ ตระกูลหลี่และตระกูลเยี่ย
ตระกูลระดับหนึ่งมีอยู่สี่ตระกูล สีตัวแทนคือสีม่วง แบ่งออกเป็นมู่ฉีแห่งกวนตง เป่ยถังวรยุทธโบราณ จูเก่อเทพหยั่งรู้และตระกูลโจวเจ้าลมกรด
ส่วนตระกูลระดับสองก็มีอยู่มากมายอย่างเห็นได้ชัด สีตัวแทนคือสีเหลืองสว่าง ตระกูลระดับสามเป็นสีส้ม ระดับสี่สีแดง ระดับห้าสีน้ำเงิน ระดับหกสีเขียว ระดับเจ็ดสีดำ ระดับเจ็ดเป็นตระกูลเล็กระดับต่ำที่สุดซึ่งแทบจะครอบคลุมทั่วทั้งสหพันธรัฐ โดยปกติแล้ว ขอเพียงครอบครัวมีหน่วยรบคุ้มกันส่วนตัวก็จะอยู่ในประเภทนี้ สีที่สามารถใช้ได้ก็คือสีดำ
ถ้าหากตระกูลหลิงไม่ได้แยกตัวออกจากต้นตระกูลหลิงดั้งเดิมแล้วละก็ พวกเขาก็สามารถครอบครองสีแดงซึ่งเป็นสีของตระกูลระดับสี่ได้….เดิมทีตระกูลหลิงไม่ได้แก้ไขตราสัญลักษณ์ของหุ่นรบ ยังคงใช้ตราสัญลักษณ์ตระกูลที่มีวงกลมสีแดงด้านนอกอยู่ เนื่องจากนกฟีนิกซ์เป็นสีแดง กอปรกับด้านล่างยังมีเปลวไฟที่ลุกโชติช่วง ทำให้ผู้คนมากมายมองข้ามวงกลมสีแดงด้านนอกสุดไป คิดว่านั่นเป็นเปลวไฟกลุ่มหนึ่ง ดังนั้นผู้คนมากมายมองไปแวบแรกก็เห็นเป็นแค่ตราสัญลักษณ์นกฟีนิกซ์ที่เกิดใหม่จากเถ้าถ่าน…
อย่างไรก็ตาม ตราสัญลักษณ์ดั้งเดิมได้สิ้นสุดลงหลังจากที่หลิงหลานกลับมาที่คฤหาสน์ตระกูลหลิงในตอนที่อายุสิบสาม พวกหลานลั่วเฟิ่งและหลิงฉินรู้สึกว่ามันเป็นเวลาที่จะมอบตระกูลหลิงให้กับหลิงหลานแล้ว เมื่อเปลี่ยนผู้นำตระกูลอย่างเป็นทางการก็จะเปลี่ยนตราสัญลักษณ์ใหม่ตามตำแหน่งของผู้นำตระกูล และตระกูลหลิงได้แยกตัวออกจากต้นตระกูลหลิงแล้วก็ไม่มีคุณสมบัติใช้สีแดงที่เป็นตัวแทนของตระกูลระดับสี่อีกต่อไป ยิ่งไปกว่านั้น หลิงหลานที่มีฐานะเป็นผู้นำตระกูลไม่มีผลการรบและตำแหน่งทางสังคมใดๆ ดังนั้นจึงได้แต่วาดวงกลมสีดำของระดับต่ำสุดเท่านั้น
ฉีหลงเห็นตราสัญลักษณ์นี้ก็ตื่นเต้นขึ้นมาทันที “เป็นลูกพี่จริงๆ ด้วย!”
สิ่งที่ตามหลังหุ่นรบมาติดๆ ก็คือโฮเวอร์คาร์สีดำสามคันที่แทบจะเคลื่อนที่ไปข้างหน้าเคียงข้างกัน และด้านหลังโฮเวอร์คาร์ก็มีหุ่นรบรุ่นเล็กสองตัวตามหลังมาใกล้ๆ รูปแบบขบวนนี้เห็นได้ชัดว่าทำเพื่อคุ้มกันโฮเวอร์คาร์สีดำที่อยู่ตรงกลางสุด สายตาของพวกฉีหลงรวมไปที่โฮเวอร์คาร์คันนั้น โดยเฉพาะฉีหลงที่กำหมัดแน่นด้วยความตื่นเต้น เขารู้สึกได้ว่าฝ่ามือของตัวเองคล้ายกับเปียกชื้นเล็กน้อย
ความเร็วในการบินของหน่วยรบอากาศไม่ได้เร็วเลย ถึงขนาดที่เชื่องช้าเสียด้วยซ้ำ รู้สึกเหมือนกับกำลังรอคอยอะไรบางอย่างอยู่ คำตอบประกาศออกมาอย่างฉับไว เสียงสะเทือนเลือนลั่นของแรงขับเคลื่อนหุ่นรบดังขึ้นมาในสถาบันฉับพลัน หุ่นรบกองหนึ่งบินออกมาจากในสถาบันอย่างรวดเร็วแล้วประจัญหน้ากับหน่วยรบอากาศ ถ้าหากเป็นโฮเวอร์คาร์เพียงอย่างเดียว หน่วยหุ่นรบคงไม่สนใจ อย่างไรก็ตาม เมื่อมีหุ่นรบรุ่นเล็กสี่ตัวโผล่ออกมาด้วย พวกเขาก็ไม่กล้าผ่อนคลายความระมัดระวังลง
หน่วยรบอากาศเหมือนกับได้คำอนุญาตให้บินเข้ามาจากหน่วยหุ่นรบ พวกเขาเริ่มเร่งความเร็วแล่นมาที่หน้าประตูสถาบันภายใต้การจับตามองของหน่วยหุ่นรบ เมื่อพวกเขากำลังจะมาถึง หุ่นรบรุ่นเล็กสี่ตัวพลันกระจายกันออกไปจอดอยู่กลางอากาศทั้งสี่ทิศ ทำท่าป้องกันออกมา และโฮเวอร์คาร์คันหนึ่งที่อยู่ตรงกลางระหว่างพวกเขาก็เริ่มร่อนลงมา มันค่อยๆ เคลื่อนตัวมาที่หน้าประตูสถาบัน สุดท้ายก็จอดห่างจากหน้าประตูไม่ถึงสิบเมตร
พวกฉีหลงห้าคนกำลังคิดจะเข้าไปใกล้ ความรู้สึกถึงอันตรายอย่างรุนแรงก็โจมตีเข้าที่หัวใจ หุ่นรบรุ่นเล็ก สองตัวที่อยู่ใกล้พวกเขายกปืนเลเซอร์เล็งเป้ามาที่พวกเขาแทบจะพร้อมกัน ขอเพียงพวกเขาขึ้นหน้ามาอีกก้าวก็จะกราดยิงเลเซอร์ออกไปนับไม่ถ้วน
“หลิงอวี่ พวกเขาเป็นเพื่อนฉัน!” เสียงเย็นเยียบดังขึ้นมาจากในโฮเวอร์คาร์และก็ทำให้หุ่นรบรุ่นเล็กสองตัวนั้นผ่อนคลายลงทันทีก่อนจะเก็บปืนเลเซอร์ของพวกเขากลับมา
“เป็นลูกพี่จริงๆ ด้วย!” เสียงที่คุ้นหูนั้นทำให้พวกฉีหลงตื่นเต้นลิงโลดขึ้นมาทันใด ลูกพี่ของพวกเขากลับมาแล้วตามที่คาดไว้จริงๆ
ในที่สุดประตูของโฮเวอร์คาร์ก็ถูกเปิดออก เด็กหนุ่มที่สวมชุดเครื่องแบบสถาบันสีแดงลดศีรษะลงต่ำก้มตัวเดินออกมาจากในรถ รองเท้าบูททหารสีดำเหยียบลงบนพื้นแข็งๆ เสียงดัง เขายืนตัวตรงเงยหน้ามองไปทางพวกฉีหลง
ฉีหลงและคนอื่นๆ รู้สึกได้เพียงสายตาอันแรงกล้ากวาดมองมาที่พวกเขา ทำให้พวกเขาอดไม่ไหวต้องยืดอดเก็บหน้าท้องยืนตัวตรงขึ้นมา
จากนั้นก็เห็นดวงหน้างดงามเคร่งขรึมเย็นชาของอีกฝ่ายยกยิ้มขึ้นจางๆ จนไม่อาจจางได้อีก “เพื่อนๆ ฉันกลับมาแล้ว!”
“ลูกพี่…” ฉีหลงและคนอื่นๆ โผเข้าไปด้วยความตื่นเต้น ความเร็วของฉีหลงรวดเร็วที่สุด เขาเป็นคนแรกที่โอบกอดหลิงหลานไว้แน่นๆ ดวงตาทั้งสองข้างของเขาแดงก่ำ เอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เจือไปด้วยการสะอึกสะอื้นว่า “ลูกพี่ ฉันรอนายมาตั้งนานแล้ว”
สามปีมานี้เขาฝึกฝนอย่างสุดชีวิตก็เพื่อหวังว่าจะมีสักวันที่เขาสามารถยืนเคียงข้างหลิงหลานได้อย่างแท้จริง กลายเป็นพี่น้องร่วงเป็นร่วมตายที่ซื่อสัตย์จริงใจต่อกัน และวันนี้การรอคอยของเขาก็มาถึงแล้ว
หลิงหลานตบหลังฉีหลงเบาๆ พลางกล่าวว่า “อื้อ ฉันรู้แล้ว เพราะงั้นฉันถึงมาแล้วไง”
ฉีหลงฝืนข่มกลั้นความตื่นเต้นในใจ ปล่อยหลิงหลานออกอย่างอาลัยอาวรณ์ ทว่ายังไม่ทันที่เขาจะกล่าวอะไรก็ถูกลั่วล่างที่อยู่ด้านข้างเบียดตัวออกไป ลั่วล่างกอดหลิงหลานไว้แล้วซุกไซ้อยู่ในตัวหลิงหลานอย่างรุนแรงราวกับค้นหาการปลอบโยนก็ไม่ปาน “ลูกพี่หลาน ฉันคิดถึงนายจะตายอยู่แล้ว”
การกระทำของลั่วล่างทำให้หน้าผากของหลิงหลานขึ้นขีดดำทันที ไอ้หมอนี่คือใครฟะ? ทีมรับผู้หญิงเข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่? เธอดันลั่วล่างที่เกาะติดออกช้าๆ หลังจากที่พินิจพิเคราะห์อย่างละเอียดครู่หนึ่งก็เอ่ยถามด้วยเสียงขาดหายว่า “ลั่วล่าง? นายโตมาเป็นแบบนี้ได้ยังไงเนี่ย?”
ลั่วล่างยังโตมาเหมือนเด็กผู้หญิงมากกว่าเธออีก นี่ยังมีความยุติธรรมอยู่อีกหรือเปล่า? ความเป็นจริงอันโหดร้ายโจมตีใส่จิตใจที่เปราะบางของหลิงหลานอย่างลึกล้ำ เธอคำรามอย่างโกรธเกรี้ยวในใจว่า ‘แม่งเอ๊ย เจ๊สิที่เป็นผู้หญิง โอเคไหม?’
…………………………..