ในที่สุดเมื่อหลิงเซียวแน่ใจแล้วว่าเขาจะไม่ทำให้หลานลั่วเฟิ่งบาดเจ็บ เขาก็กอดเธอไว้แน่นๆ แล้วเอ่ยขอโทษติดต่อกันว่า “ลั่วเฟิ่ง ฉันไม่ดีเอง ฉันไม่ควรโมโห…”
หลานลั่วเฟิ่งที่ถูกหลิงเซียวกอดอย่างแนบแน่นพยายามดิ้นรนอยู่หลายที หลังจากที่พบว่าขยับเขยื้อนไม่ได้ก็หน้าถอดสีร้องไห้ขึ้นด้วยความขมขื่น “คุณมันสารเลว จากไปสิบเจ็ดปี ไม่กลับมาก็แล้วไปเถอะ แต่ทำไมพอกลับมาแล้วก็รังแกพวกเราสองแม่ลูกเลยล่ะ? ใครอนุญาตคุณกัน”
หลิงเซียวรีบเอ่ยขอโทษว่า “ขอโทษนะ ความผิดฉันเอง! ทุกอย่างเป็นความผิดของฉัน!”
“เป็นความผิดของคุณอยู่แล้ว!” หลานลั่วเฟิ่งยังพอมีเหตุผลอยู่บ้างในฐานะภรรยา แต่ในฐานะแม่แล้ว กล้ารังแกลูกของเธอย่อมไม่มีเหตุผลให้พูดคุยกันแล้ว
เวลานี้หลิงเซียวกล้าพูดอะไรที่ไหน เขาได้แต่ส่งเสียงติดต่อกันว่า “ใช่ ใช่ ใช่ เป็นความผิดของฉันอยู่แล้ว!”
ในที่สุดหลิงหลานก็เข้าใจแล้วว่าทำไมวีรบุรุษถึงสูญเสียความกล้าหาญ! เมื่อเจอแม่ที่ห้าวหาญแบบนี้ พ่อก็ได้แต่อ่อนข้อเท่านั้น อย่างไรก็ตาม หลิงหลานมองออกจากแววตาใสกระจ่างของหลิงเซียวว่า เขาเต็มใจรับการทรมานนี้ นี่ก็บ่งบอกชัดเจนว่า พวกคำพูดที่หลิงเซียวกล่าวในขณะที่โมโหเมื่อสักครู่นี้ต่างเป็นความจริงทั้งหมด
หลิงหลานเห็นแล้วก็โล่งใจมากๆ สามารถเห็นพ่อแม่ในชาตินี้รักใคร่ซึ่งกันและกัน ความสุขก็พุ่งขึ้นมาเอง
อย่างไรก็ตาม เมื่อเธอเห็นว่าสองคนตรงหน้ายังคงไม่มีความคิดแยกจากกัน หน้าผากก็อดขึ้นขีดดำไม่ได้ แม่งเอ๊ย สนใจภาพลักษณ์เจิดจรัสของทั้งคู่ด้วยสิ ตอนนี้ยังมีคนนอกอยู่นะ? ดังนั้น หลิงหลานจึงกระแอมไอหนักๆ เอ่ยเตือนว่า “บางทีพวกเราควรจะนั่งลงคุยกันดีๆ นะครับ?”
หลานลั่วเฟิ่งได้สติก็ผลักหลิงเซียวออกไปด้วยสีหน้ากระดากอาย เธอรีบเดินมาที่ข้างกายหลิงหลาน ดึงมือของหลิงหลานไว้แล้วกล่าวกับหลิงเซียวด้วยใบหน้าภาคภูมิใจว่า “หลิงเซียว นี่คือหลิงหลานลูกของพวกเราไงคะ เธอเป็นเด็กที่ยอดเยี่ยมที่สุด!” น้ำเสียงฟังดูภาคภูมิใจอย่างยิ่ง สิ่งที่แสดงออกทั้งหมดบนใบหน้าคือความภาคภูมิใจของมารดา
หลิงเซียวยิ้มพลางพยักหน้า “อื้อ ฉันรู้แล้ว หลิงหลาน ลูกของฉัน เขาดีมากจริงๆ!” ถึงแม้ว่าหลิงหลานเพียงพอที่จะโดดเด่นเหนือใคร แต่หลิงเซียวคิดว่าต้องปฏิบัติต่อลูกชายอย่างกดดันหน่อย จะโอ๋ประคับประคองไว้ในมือเหมือนลูกสาวไม่ได้ ว่าไปแล้ว เขาอยากให้กำเนิดลูกสาวที่เหมือนหลานลั่วเฟิ่งมากๆ….แต่ก็ไม่เป็นไร หลังจากนี้พยายามต่อไปก็ได้แล้ว
หลานลั่วเฟิ่งโบกมือของหลิงหลาน เอ่ยด้วยรอยยิ้มสุขสันต์ว่า “หลิงหลาน เขาก็คือหลิงเซียวพ่อของลูกไง ยอดเยี่ยมมากเลยใช่ไหม?” ดวงหน้านั้นเต็มไปด้วยความคาดหวัง รอคอยให้หลิงหลานยอมรับหลิงเซียว รวมถึงเรียกเขาว่าพ่อ
หลิงหลานผงกศีรษะ เอ่ยอย่างเฉยชาว่า “อื้อ สายตาของแม่ไม่เลวเลย” แต่คำเรียกว่าพ่อนั้น ยังไงเธอก็เรียกไม่ออก
บางทีหลิงหลานอาจจะมอบความรู้สึกที่มีต่อหลิงเซียวให้กับร่างจิตในมิติมรดกของหลิงเซียวไปหมดแล้ว ดังนั้นหลิงหลานเลยรู้สึกมองหน้าหลิงเซียวตัวจริงไม่ค่อยสนิทอยู่บ้าง เธอไม่สามารถเอ่ยปากเรียกพ่อไปชั่วขณะหนึ่ง
หลิงเซียวเหมือนกับเข้าใจกำแพงในใจหลิงหลานอยู่บ้าง เขาไม่ได้ฝืนดึงดัน เพียงแต่ข้ามเรื่องนี้ไปด้วยรอยยิ้ม หลานลั่วเฟิ่งเห็นดังนั้นก็ได้แต่ลอบถอนหายใจ ช่องว่างสิบเจ็ดปีไม่สามารถเปลี่ยนหลิงเซียวกับหลิงหลานให้เป็นพ่อลูกที่สนิทสนมกันได้ทันที (มีของประหลาดแย่งเข้ามาด้วย?)
หลิงหลานเห็นหลิงเซียวกับหลานลั่วเฟิ่งคล้ายกับมีคำพูดนับไม่ถ้วนที่อยากจะพูดออกมาก็รู้ว่าเวลานี้ไม่เหมาะที่จะเป็นก้างขวางคอพวกเขา เธอส่งสัญญาณให้พวกหลิงฉินออกไป รวมถึงเจ้าหน้าที่ฝ่ายเสนาธิการลับของหลิงเซียวซึ่งก็คือพันตรีที่ตามหลิงเซียวเข้ามาในคฤหาสน์ตระกูลหลิง
แน่นอนว่าเมื่อพันตรีคนนั้นจากไป สีหน้าของเขาดูบิดเบี้ยวอย่างน่าประหลาดอยู่บ้าง ท่าทีของหลิงเซียวที่เขาเห็นในตอนนี้ได้ทำลายนายพลหลิงเซียวที่องอาจห้าวหาญในใจทหารทุกคนไปหมดเลย
เมื่อหลิงหลานเห็นหลิงเซียวกับหลานลั่วเฟิ่งอีกครั้งก็เป็นเช้าตรู่ของวันที่สองแล้ว ส่วนพวกเขาทำอะไรในช่วงเวลานี้ แค่เห็นหลานลั่วเฟิ่งทำหน้าขัดเขินดวงตาแฝงไปด้วยความรักร้อนแรง เธอก็รู้ได้บ้างแล้ว
หลิงหลานที่นั่งอยู่ตรงโต๊ะทานอาหารในเวลานี้กำลังทักทายแขกเพียงหนึ่งเดียวในบ้านที่มีเวลาว่างมานั่งทานอาหาร เจ้าหน้าที่ฝ่ายเสนาธิการลับของหลิงเซียวคนนั้นกำลังทานอาหารเช้าเบาๆ ธรรมดาอยู่ เมื่อเห็นฉากนี้ กล้ามเนื้อบนใบหน้าก็อดกระตุกขึ้นมาอีกครั้งไม่ได้ สองคนนี้เก็บอาการกันหน่อยไม่ได้เลยหรือไง?
หลิงหลานพลันนึกได้ว่าแม่ของเธอเป็นผู้หญิงเกือบอายุสี่สิบที่หิวกระหายเลยอดมองไปที่หลิงเซียวด้วยความเห็นใจไม่ได้ หวังว่าเขาจะไม่ได้ถูกมารดาที่เหมือนเสือเหมือนหมาป่าคนนี้รีดจนน้ำหมดตัวหรอกนะ
บางทีสายตาเห็นใจของหลิงหลานอาจจะชัดเจนมากเกินไป ดวงหน้าหล่อเหลาของหลิงเซียวจึงแดงขึ้นมา ทำให้หลิงหลานประหลาดใจมาก ไม่นึกเลยว่าพ่อที่อายุสี่สิบกว่าของเธอจะหน้าบางขนาดนี้…
“มองอะไร?” หลานลั่วเฟิ่งนั่งลงไปพลาง เขกศีรษะของหลิงหลานด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความกระดากอายไปพลาง ลอบต่อว่าที่สายตาของหลิงหลานดูประหลาดมากเกินไป
“เปล่าซะหน่อย!” หลิงหลานเอ่ยด้วยสีหน้าเฉยเมย ดวงหน้าเคร่งขรึมเย็นชาไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไรเลย ทำให้หลานลั่วเฟิ่งเกือบคิดว่าตัวเองกินปูนร้อนท้องถึงได้เห็นอะไรก็ผิดปกติไปหมด
อย่างไรเสียหลิงเซียวก็เป็นผู้ควบคุมหุ่นรบขั้นเทวะ ประสาทสัมผัสของเขาดีเยี่ยมมาก การตบตาของหลิงหลานย่อมหลอกเขาไม่ได้ เขากระแอมไอด้วยความกระอักกระอ่วนแล้วก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนาว่า “ใช่แล้ว หลิงหลาน ฉันลืมบอกข่าวดีให้เธอฟังเลย!”
หลิงหลานเลิกคิ้วขึ้น ไม่รู้ว่าข่าวดีของหลิงเซียวหมายถึงอะไร
“เธอได้รับการรับรองให้เข้าไปเรียนที่โรงเรียนทหารชายที่หนึ่งของสหพันธรัฐโดยตรงแล้วนะ อีกไม่กี่วันจดหมายตอบรับเข้าศึกษาก็จะส่งมาแล้ว” คำพูดต่อมาของหลิงเซียวทำให้หลิงหลานพ่นนมที่ยังกลืนไม่หมดออกมาจากปาก ในขณะเดียวกันตะเกียบที่หลานลั่วเฟิ่งเพิ่งจะถือไว้ก็ร่วงลงใส่จานบนโต๊ะจนเกิดเสียงเคล้งดังก้องทันที
“คุณพูดว่าไงนะ?” หลิงหลานเอ่ยถามด้วยความตกใจขณะที่ไอค่อกแค่ก
หลิงเซียวเอ่ยด้วยสีหน้ายิ้มแย้มว่า “ฉันบอกว่า เธอไปเรียนที่โรงเรียนทหารชายที่หนึ่งได้แล้วนะ” ใบหน้าที่บ่งบอกว่า ‘รีบขอบคุณฉันเร็วสิ’ แทบจะทำให้หลิงหลานอยากเตะทันที
“คุณไม่รู้เหรอว่าร่างกายผมได้รับบาดเจ็บยังไม่หายดี? ต่อให้ไปก็ทนรับการฝึกฝนร่างกายที่ทรหดสุดยอดของปีหนึ่งไม่ได้หรอกนะครับ” ในที่สุดความเยือกเย็นของหลิงหลานก็พังทลาย อดกล่าวด้วยความลนลานไม่ได้
หลิงเซียวตอบด้วยสีหน้าเคร่งขรึมว่า “ฉันต้องรู้อยู่แล้ว แต่ว่านะ หลิงหลาน เธอวางใจได้ ฉันจัดการให้เรียบร้อยแล้ว เธอจะได้รับยกเว้นการสอบของปีหนึ่ง ฉันต้องให้ร่างกายของเธอกลับมาแข็งแรงก่อนอยู่แล้ว ถึงค่อยทำการฝึกฝนร่างกาย ฉันไม่มีทางให้ร่างกายของเธอหลงเหลืออาการบาดเจ็บภายหลังแน่นอน”
หลิงเซียวกล่าวอย่างเฉียบขาด เรื่องทุกอย่างที่ควรคิดพิจารณาเขาก็ใคร่ครวญไปหมดแล้ว มีปัญหาเพียงข้อเดียวที่เขาไม่เคยขบคิดมาก่อน นั่นก็คือถ้าเกิดลูกชายของเขาเป็นลูกสาว….
หลิงหลานเห็นหลิงเซียวคำนวณมาอย่างรอบคอบไม่มีตกหล่นก็มองไปที่หลานลั่วเฟิ่งอย่างพูดไม่ออกเอามากๆ ส่งสายตาถามว่า ‘แม่คะ แม่ไม่ได้บอกเพศที่แท้จริงของหนูให้พ่อฟังเลยเหรอ…’
หลานลั่วเฟิ่งส่งสายตากลับมาว่า ‘นี่ไม่ทันแล้วไม่ใช่หรือไง?’
หลิงหลานพองแก้ม ดูถูกมารดาของตัวเองอย่างยิ่งยวด สองคนนี้ยุ่งแต่เรื่องของกันและกัน ลืมไปว่ายังมีเรื่องใหญ่ที่ต้องพูดคุยแก้ไขปัญหาอยู่
หลานลั่วเฟิ่งมองไปที่เหอซวี่หยางเจ้าหน้าที่ฝ่ายเสนาธิการลับที่กำลังลอบมองพวกเขาอยู่ด้านข้างโต๊ะทานอาหารด้วยความระมัดระวัง หลิงเซียวเคยแนะนำตัวให้ฟังว่าเป็นคนที่กองทัพส่งมาหลังจากที่เขารับตำแหน่งนายพล เขาจะจงรักภักดีต่อหลิงเซียวหรือไม่นั้น ยังต้องใช้วันเวลาในการตรวจสอบถึงจะรู้ได้ ดังนั้นเรื่องใหญ่อย่างเพศของหลิงหลานเช่นนี้ไม่เหมาะที่จะบอกให้หลิงเซียวฟังที่นี่
อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้จะชักช้าไม่ได้แล้ว ไม่อาจปิดบังได้อีกต่อไป ควรรู้เอาไว้ว่าเมื่อเข้าโรงเรียนทหารชาย จำเป็นต้องตรวจร่างกายทั่วทั้งร่าง สถานะเด็กสาวของหลิงหลานไม่สามารถปกปิดในด่านนี้ไปได้ นี่ก็เป็นเหตุผลที่เธอไม่อยากให้หลิงหลานเข้าโรงเรียนทหาร
หลานลั่วเฟิ่งที่ร้อนใจก็ลุกขึ้นมาฉับพลัน จากนั้นก็ลากหลิงเซียวที่กำลังเตรียมตัวจะทานอาหารให้ลุกขึ้นตาม
“หลิงเซียว ฉันรู้สึกว่ายังมีเรื่องบางอย่างที่ต้องพูดกับคุณ” หลานลั่วเฟิ่งกล่าว
หลิงเซียวทำหน้างุนงง แต่เขายังเชื่อฟังการจัดการของหลานลั่วเฟิ่ง เขาวางชามตะเกียบลงแล้วตามหลานลั่วเฟิ่งออกไปจากห้องอาหาร กลับไปยังห้องนอนที่พวกเขาพัวพันกันทั้งคืนอีกครั้ง
แน่นอนว่าในตอนที่พวกเขาจากไปนั้น หลิงเซียวเห็นพันตรีของตัวเองทำหน้าพูดไม่ออก คล้ายกับตกใจกับพลังกายอันน่าตกตะลึงของเขาอยู่บ้าง…นี่ทำให้ผิวหน้าของหลิงเซียวร้อนผ่าวขึ้นจางๆ คำพูดของหลานลั่วเฟิ่งทำให้คนเข้าใจผิดมากเกินไปแล้วจริงๆ
เมื่อหลานลั่วเฟิ่งกลับมาถึงห้องนอนก็ปิดประตูห้อง โถมตัวเข้าไปกอดหลิงเซียวไว้และกล่าวว่า “หลิงเซียว หลิงหลานจะไปโรงเรียนทหารชายที่หนึ่งไม่ได้เด็ดขาด”
หลิงเซียวอึ้งไป “เพราะอะไร?” เขาจัดการทุกอย่างไว้เรียบร้อยแล้ว ทำไมหลานลั่วเฟิ่งกับหลิงหลานถึงทำหน้าไม่ยินยอมด้วยล่ะ? ท่าทีที่แสดงออกของหลิงหลานชัดเจนมากเกินไป เขาย่อมมองออกอยู่แล้ว
หลานลั่วเฟิ่งกัดฟันกล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “เพราะว่าหลิงหลานเป็นผู้หญิงไง เธอเป็นลูกสาว ไม่ใช่ลูกชายนะ!”
หลิงเซียวตกตะลึงไปทันที เขาทำหน้าเหมือนไม่อยากเชื่อ พูดจาติดอ่างอยู่บ้าง “ธะ เธอ วะ ว่าไงนะ?”
“ฉันบอกว่าหลิงหลานของพวกเราเป็นลูกสาว ไม่ใช่ลูกชาย” หลานลั่วเฟิ่งเอ่ยต่อ
“ลูกสาว?” หลิงเซียวยังไม่ทันได้ร้องตกใจก็ถูกหลานลั่วเฟิ่งปิดปากให้กลืนคำพูดกลับไปที่ลำคอ
“รู้แล้วก็พอ คุณจะตะโกนทำไมเล่า?” หลานลั่วเฟิ่งถลึงตาใส่หลิงเซียวอย่างตำหนิ
หลิงเซียวอดกุมหน้าผากไม่ได้ “เธอนึกยังไงถึงให้หลิงหลานปลอมตัวเป็นลูกชาย?”
หลานลั่วเฟิ่งกล่าวด้วยความโมโหว่า “ไม่ใช่เพราะว่าคุณพลีชีพไปโดยไม่คาดคิดเหรอ ฉันถึงจำเป็นต้องทำแบบนี้เพื่อสืบทอดบำเหน็จความชอบของคุณ ไม่อย่างนั้นพวกเราสองแม่ลูกก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะโดนคนของตระกูลหลิงพวกนั้นปอกลอกกลืนกินทั้งเป็นไปแล้วหรือเปล่า?”
หลิงเซียวตระหนักได้ทันใด เวลานั้นทุกคนต่างจับจ้องสิทธิ์สืบทอดของเขา ต่อให้หลานลั่วเฟิ่งยอมปล่อยไป ถึงตระกูลหลิงจะไม่ลงมือทำร้ายหลานลั่วเฟิ่ง พวกเขาก็จะลอบจัดการหลิงหลานอย่างลับๆ เพื่อที่จะกำจัดภัยร้ายในอนาคตให้สิ้นซาก มีเพียงหลิงหลานได้รับสิทธิ์สืบทอด ได้รับการเอาใจใส่และการคุ้มครองจากกองทัพถึงจะใช้ชีวิตต่อไปได้อย่างปลอดภัย นี่ก็เป็นหนึ่งในเหตุผลที่หลานลั่วเฟิ่งเลือกทำเช่นนี้ พูดตามตรงก็ยังเป็นความผิดของเขาอยู่ดี
หลิงเซียวกอดหลานลั่วเฟิ่งอย่างรักใคร่ อดพูดด้วยความตื้นตันใจไม่ได้ “ลั่วเฟิ่ง ขอบใจนะที่ปกป้องลูกสาวของพวกเรา”
หลานลั่วเฟิ่งทุบหน้าอกหลิงเซียวแรงๆ ปากก็เอ่ยด้วยความกลุ้มใจว่า “ตอนนี้ควรทำยังไงดี?”
หลิงเซียวใคร่ครวญอย่างยากลำบาก เนื่องจากเขาสิ้นเปลืองความคิดอย่างมากกว่าจะได้การรับรองให้เข้าเรียนที่โรงเรียนทหารชายที่หนึ่ง ถ้าเกิดจู่ๆ บอกว่าไม่ไปแล้ว คนที่จัดการเรื่องนี้รวมไปถึงจอมพลจะต้องสงสัยแน่นอน เพราะว่าเขาจัดการได้อย่างสมบูรณ์แบบมากเกินไป แทบจะกำจัดเหตุผลที่ไปไม่ได้ทุกอย่าง
มีความเป็นไปได้สูงว่าพวกเขาจะสนใจหลิงหลานมากยิ่งขึ้น ถ้าหากหลิงหลานเอาแต่ทำตัวเป็นลูกเศรษฐีไม่เอาถ่านมาตลอด ก็ยังมีข้ออ้างว่ากลัวความยากลำบากได้ แต่ว่าหลิงหลานดันแสดงความสามารถยอดเยี่ยมในสถาบันลูกเสือ เป็นบุคคลที่คู่ควรให้อบรมสั่งสอนในสายตาของทุกคน…
นี่จะทำให้คนเหล่านี้คาดเดาไปในด้านอื่นๆ ถึงขนาดที่จะให้หลิงหลานอยู่ในการจับตามองของกองทัพไปตลอด นี่ย่อมไม่เป็นผลดีต่อหลิงหลานแน่นอน เมื่อเข้าไปในโรงเรียนทหารชายที่หนึ่งแล้ว สิ่งสำคัญที่สุดคือจะปิดบังเพศที่แท้จริงยังไงไม่ให้คนรู้…
ดวงหน้างดงามที่เคร่งขรึมเย็นชาของหลิงหลานผุดขึ้นในห้วงความคิดของหลิงเซียว ทั่วทั้งร่างไม่มีกลิ่นอายของผู้หญิงเลยแม้แต่น้อย ว่ากันตามจริงแล้ว ถ้าเกิดเขากับหลิงหลานยืนด้วยกันสองคน แล้วให้คาดเดาว่าในหมู่สองคนนี้มีผู้หญิงอยู่หนึ่งคน บางทีอัตราที่คนเข้าใจผิดคิดว่าเขาเป็นผู้หญิงอาจจะมากกว่าหลิงหลานก็ได้ เห็นได้ว่าหลิงหลานปลอมตัวเป็นผู้ชายได้ถึงขั้นมหัศจรรย์แล้ว
เมื่อคิดถึงตรงนี้ หลิงเซียวก็อดนับถือหลานลั่วเฟิ่งไม่ได้ที่ประสบความสำเร็จในการอบรมสั่งสอนลูกสาวให้ปลอมตัวเป็นผู้ชายมากเกินไป สิบหกปีมานี้ไม่มีใครสังเกตเห็นความผิดปกติเลย ทุกคนรวมถึงจอมพลและเขาต่างก็คิดว่าหลิงหลานเป็นผู้ชาย
ในสมองของหลิงเซียวเริ่มคิดคำนวณอย่างรวดเร็วว่าในโรงเรียนทหารมีรายการไหนบ้างที่มีความเป็นไปได้ว่าอาจจะทำให้เรื่องเพศสภาพของหลิงหลานรั่วไหล หลังจากนั้นเขาก็หาวิธีการแก้ไขมัน สุดท้ายเขาก็พบว่า ถ้าเกิดเขาควบคุมไว้ให้ดี หลิงหลานอาจจะหลีกหนีวิกฤติเหล่านี้ได้ ไม่ถูกคนค้นพบ ขอเพียงหลิงหลานจบการศึกษาจากโรงเรียนทหารอย่างราบรื่น หลิงเซียวเชื่อว่าอาศัยฝีมือของเขา สามารถสร้างสถานะตัวตนอีกอันให้หลิงหลานได้แน่นอน ให้หลิงหลานใช้ชีวิตสองสถานะอย่างอิสระในกองพลที่ยี่สิบสามของเขาได้อย่างสมบูรณ์แบบ…
ดีกว่าให้หลิงหลานอยู่ในสายตาของกองทัพในเวลานี้! หลิงเซียวตัดสินใจในชั่วพริบตา ให้หลิงหลานเข้าไปเรียนในโรงเรียนทหารชายที่หนึ่งยังจะดีเสียกว่า
ถึงแม้ว่าหลิงเซียวจะตัดสินใจแบบนี้ แต่พอคิดว่าเขาต้องส่งลูกสาวสุดที่รักของตัวเองเข้าไปในถ้ำเสือรังหมาป่าด้วยมือตัวเอง เขาก็รู้สึกกลัดกลุ้มใจแทบจะกระอักเลือดออกมา
เขาอดกำหมัดของตัวแน่นๆ ไม่ได้ ลอบสบถในใจว่า ‘ถ้าเกิดมีไอ้เด็กเวรไม่กลัวตายคนไหนกล้าแตะลูกสาวสุดที่รักของเขาละก็ เขาจะสับอีกฝ่ายเป็นหมื่นชิ้น ป่นกระดูกให้กลายเป็นขี้เถ้าแน่นอน!!’
……………………………