กลิ่นอายของหลี่อิงเจี๋ยที่เปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันทำให้ซ่งเหลียนลู่ใจกระตุก ความเร็วที่อยากพุ่งเข้าไปโจมตีแต่เดิมพลันเชื่องช้าลง นี่ทำให้หลี่อิงเจี๋ยได้รับเวลาในการเว้นระยะห่างของทั้งสองฝ่ายอย่างรวดเร็ว คุมเชิงกับซ่งเหลียนลู่อีกครั้ง
พันเอกถังอวี้เห็นฉากนี้ ใบหน้าก็เผยรอยยิ้มบางออกมา ตัวแทนที่ได้รับคัดเลือกของกลุ่มนักเรียนใหม่คนนี้ยังใช้ได้อยู่ ถึงแม้ว่าตอนแรกจะทำผลงานได้ไม่ดี แต่สุดท้ายเขาก็ยังปรับตัว มีเพียงเด็กแบบนี้ถึงจะคู่ควรเป็นเพื่อนร่วมทีมของลั่วล่าง..หัวใจของพันเอกถังอวี้เอียงไปทางกลุ่มนักเรียนใหม่โดยไม่รู้ตัวแล้ว
แววตาอำมหิตของหลี่อิงเจี๋ยจับจ้องไปที่ซ่งเหลียนลู่ เวลานี้เขาคิดแค่ว่าจะกัดเนื้อลงมาจากร่างของอีกฝ่ายยังไง เหมือนกับลูกหมาป่าที่โหดเหี้ยม เตรียมพร้อมเผด็จศึก
แววตาดุดันของหลี่อิงเจี๋ยทำให้ซ่งเหลียนลู่เคร่งเครียดในใจ สีหน้าของเขาเคร่งขรึมขึ้นมา ต่อให้เขาคว้าตั๋วชัยชนะเอาไว้แล้ว แต่ตอนนี้ก็ไม่กล้าบุ่มบ่ามลงมือเช่นกัน
เมื่อเห็นฝ่ายตรงข้ามจู่ๆ เปลี่ยนเป็นลังเลระมัดระวังตัว มุมปากของหลี่อิงเจี๋ยก็เผยรอยยิ้มเยาะหยันตัวเอง ที่แท้ตอนที่เขาเปลี่ยนเป็นเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ กลิ่นอายของฝ่ายตรงข้ามก็เปลี่ยนแปลงตามเหมือนกัน การพ่ายแพ้อย่างที่ไม่อาจอธิบายได้หลายครั้งก่อนหน้านี้ของเขามีสาเหตุมาจากตัวเขาจริงๆ ด้วย
รอยยิ้มเยาะตัวเองของหลี่อิงเจี๋ยพาดผ่านอย่างรวดเร็วก่อนจะกลับคืนสู่ท่าทีเย่อหยิ่งอวดดีอีกครั้ง เมื่อดวงหน้าที่ดูหล่อเหลาแต่เดิมปรากฏสีหน้านี้ขึ้นมาก็ทำให้คนเห็นแล้วเกิดความหงุดหงิดใจ ที่แท้การเปลี่ยนแปลงทางสีหน้าส่งผลต่อรูปลักษณ์ภายนอกโดยตรงได้ นี่ก็คือสาเหตุว่าทำไมหลี่อิงเจี๋ยที่เป็นคนหล่อเหลาอย่างชัดเจน แต่กลับไม่ได้รับความชื่นชอบในสถาบันศูนย์กลางลูกเสือ
อย่างไรก็ตาม ความสนใจของนักเรียนที่ชมการต่อสู้ในสนามประลองไม่ได้อยู่ที่ใบหน้ากวนอารมณ์ของหลี่อิงเจี๋ย หากแต่ถูกการเคลื่อนไหวที่เป็นเอกลักษณ์สุดขีดดึงดูดไป
มือขวาที่ขยับได้เพียงข้างเดียวของหลี่อิงเจี๋ยตั้งไปทางด้านหน้าเล็กน้อย นิ้วมือบีบลงเป็นท่วงท่าประหลาดราวกับตะขอ แต่ก็ไม่ใช่ตะขอ เหมือนกับกำปั้นแต่ก็ไม่ใช่กำปั้น แต่ไม่รู้ว่าทำไมพอท่วงท่านี้ปรากฏขึ้นมา ทุกคนต่างถูกมันดึงดูดไปโดยที่ควบคุมตัวไม่ได้
……
“อ้า นี่มันกระบวนท่าอะไรเนี่ย?” อวิ๋นซิวที่อยู่ในบ็อกซ์เห็นท่วงท่าที่โดดเด่นไม่เหมือนใครนี้ก็อดเอ่ยถามหลี่ซื่ออวี๋ เพื่อนสนิทที่อยู่ข้างกายด้วยความประหลาดใจไม่ได้
“หมอนี่ใช้ท่านี้แล้วสินะ” สีหน้าของหลี่ซื่ออวี๋พลันอ่อนโยนลง เมื่อสักครู่ตอนที่หลี่อิงเจี๋ยถูกอัดราวกับหมาข้างถนน สีหน้าของเขาดูย่ำแย่สุดขีด
“นายรู้เหรอ?” ดวงตาทั้งสองข้างของอวิ๋นซิวจ้องมองหลี่ซื่ออวี๋อย่างเปล่งประกาย ทำหน้ารอคอยคำอธิบายของเพื่อนสนิทตน
ท่าทีเหมือนลูกหมาน้อยน่ารักนี้ทำให้มุมปากของหลี่ซื่ออวี๋เผยรอยยิ้มจางๆ อารมณ์หงุดหงิดแต่เดิมดีขึ้นเล็กน้อย เขากล่าวว่า “นี่เป็นท่าไม้ตายประจำตระกูลเรา เจ้าเด็กนี่เลือกใช้มันที่นี่ ดูท่าคงจะเตรียมตัวเผด็จศึกแล้ว”
อวิ๋นซิวได้ยินคำอธิบายของเพื่อนสนิทก็เบิกตาโตจ้องมองหน้าจอเฝ้ารอฉากที่น่าชมปรากฏขึ้นมา
……
ซ่งเหลียนลู่เห็นการเคลื่อนไหวประหลาดของฝ่ายตรงข้าม เขาไม่จำเป็นต้องคิดก็รู้ว่าจะต้องปล่อยท่าไม้ตายออกมาแน่นอน อย่างไรก็ตาม เขาไม่ใช่คนโง่เง่าอย่างฉีย่าที่บ้าระห่ำ รู้จักแต่เอาหน้าเท่านั้น ขอเพียงชัยชนะในตอนจบเป็นของเขา เขาไม่สนใจว่าขั้นตอนจะน่าชมหรือว่าดูดีหรือไม่
ดังนั้นซ่งเหลียนลู่จึงมีความอดทนอย่างยิ่ง เขาเลือกรอต่อไป รอคอยให้ไอพลังของหลี่อิงเจี๋ยผ่านพ้นไป เขาเชื่อว่าหลี่อิงเจี๋ยที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสฝืนประคับประคองต่อไปได้ไม่นานนัก ไอพลังที่แข็งแกร่งนี้จะต้องรั่วไหลออกไปแน่นอน และเวลานั้นถึงค่อยเป็นเวลาที่เขาจะลงมือ
สถานการณ์กลับคืนสู่ความอึดอัดอย่างในตอนเริ่มแรกอีกครั้ง ทั้งสองคนแบ่งกันยึดครองคนละมุมบนเวทีประลอง ยืนนิ่งไม่ไหวติง เวลาผ่านไปทีละน้อย หนึ่งนาที สามนาที ห้านาที…ทั้งสองคนที่คล้ายกับเตรียมตัวประจัญหน้ากันชั่วกาลนานทำให้บรรดานักเรียนเริ่มเบื่อหน่ายขึ้นมา หอต่อสู้ที่เดิมทีเงียบสงัดเริ่มมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์แล้ว…
“จะนิ่งค้างไปถึงเมื่อไหร่กันเนี่ย? น่าเบื่อเกินไปแล้วนะ”
“นักเรียนใหม่คนนั้นพิการไปครึ่งหนึ่งแล้วไม่ใช่หรือไง? ทำไมคนของเหลยถิงยังระวังตัวขนาดนี้อีกล่ะ? ต้องถึงขนาดนี้เลยเหรอ?” คนเหล่านี้ต่างเป็นคนที่เกลียดความเบื่อหน่าย
“ท่วงท่าของนักเรียนใหม่คนนั้นดูลึกลับอยู่บ้าง ตัวแทนของเหลยถิงจำเป็นต้องระวังตัวไว้”
“ดูเหมือนว่าตัวแทนของเหลยถิงก็หยั่งความตื้นลึกหนาบางของกระบวนท่าฝ่ายตรงข้ามไม่ได้เหมือนกัน แต่ว่าการรอคอยก็ยิ่งเป็นประโยชน์ต่อตัวแทนของเหลยถิงนะ ถึงแม้ว่าสถานการณ์จะดูน่าเบื่อนิดหน่อย แต่ว่าเป็นวิธีการที่ถูกต้องอย่างไม่ต้องสงสัย…” นี่คือความเห็นของคนที่สนับสนุนให้คุมเชิงกันต่อไป
คนที่อยู่ด้านล่างเวทีต่างมีความคิดเห็นแตกต่างกันไป มีคนดูถูกเหลยถิง และก็มีคนที่สนับสนุนเหลยถิงเช่นกัน แต่ทุกคนไม่คิดว่ากลุ่มนักเรียนใหม่จะมีโอกาสพลิกกลับมาชนะได้ เนื่องจากหลี่อิงเจี๋ยได้รับบาดเจ็บสาหัสแล้ว แต่ซ่งเหลียนลู่ของเหลยถิงไม่ได้บาดเจ็บเลยสักนิดเดียว กอปรกับจากความสามารถของทั้งสองคน ซ่งเหลียนลู่ดูเหนือกว่าเล็กน้อยอย่างชัดเจน โดยปกติแล้วผลลัพธ์จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงอีก นอกเสียจากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันครั้งใหญ่ขึ้น ตอนนี้สิ่งเดียวที่ผู้ชมรอคอยคือ ซ่งเหลียนลู่จะล้มหลี่อิงเจี๋ยอย่างเป็นทางการ ได้รับชัยชนะในรอบนี้เมื่อไหร่
เมื่อทุกคนคิดว่าสภาวะชะงักงันยังคงดำเนินต่อไป พลังกายของหลี่อิงเจี๋ยดูเหมือนทนไม่ไหว ไม่สามารถประคับประคองต่อไปได้อีกแล้ว ร่างกายของเขาโงนเงนเล็กน้อย…
แววตาของซ่งเหลียนลู่โชนแสง ร่างของเขาที่เตรียมการจู่โจมอยู่นานแล้วพุ่งออกไปหาหลี่อิงเจี๋ย
ตอนที่หลี่อิงเจี๋ยโงนเงนอยู่นั้น ท่วงท่าที่เดิมทีกดดันซ่งเหลียนลู่อย่างหนักหน่วงสุดขีดได้พังลงโดยสิ้นเชิง สัมผัสของวิกฤติที่อยู่ในหัวใจมาตลอดหายไปจนหมดแล้ว ซ่งเหลียนลู่คิดว่าร่างกายที่พังเสียหายของหลี่อิงเจี๋ยประคับประคองต่อไปไม่ไหวแล้ว นี่ย่อมเป็นโอกาสดีที่เขาจะบุกโจมตี
ในขณะที่ซ่งเหลียนลู่กำลังจะโจมตีใส่ร่างของอีกฝ่าย ทันใดนั้นเขาเห็นหลี่อิงเจี๋ยที่หน้าซีดเผือดยิ้มให้เขา รอยยิ้มประหลาดนี้ทำให้หัวใจของซ่งเหลียนลู่ตึงเครียด ทว่าชัยชนะอยู่ตรงหน้า ถ้าหากวินาทีถัดมากำปั้นของเขาสามารถซัดโดนอีกฝ่ายได้ตามที่หวังไว้ เขาเชื่อว่าอาศัยพละกำลังของเขา หลี่อิงเจี๋ยไม่อาจมีเรี่ยวแรงลุกขึ้นมาประลองได้อีก…
หลิงหลานที่ชมการต่อสู้ด้านล่างเวทีประลองเห็นฉากนี้ สีหน้าก็เปลี่ยนไปทันใด เธอลุกขึ้นมาฉับพลัน มุมปากขยับแต่ท้ายที่สุดกลับทำได้เพียงเม้มริมฝีปากแน่น รอคอยผลสรุปสุดท้ายปรากฏออกมาด้วยใบหน้าเย็นชา
ถึงแม้ซ่งเหลียนลู่ที่ไม่ยอมละทิ้งโอกาสจะรู้สึกปั่นป่วนในใจ แต่เขายังคงกัดฟัน ต่อยหมัดลงไปด้วยความเด็ดเดี่ยว เขาไม่อาจปล่อยโอกาสนี้เพราะรอยยิ้มประหลาดของหลี่อิงเจี๋ยได้ พริบตาเดียว เขาสัมผัสได้ว่ากำปั้นของเขาต่อยโดนกายเนื้อที่อ่อนนุ่ม
โจมตีโดนแล้ว! ในใจซ่งเหลียนลู่ยินดีเป็นบ้าเป็นหลัง นี่หมายความว่าเขาชนะการประลองรอบนี้แล้ว
ยังไม่ทันที่เขาจะเผยรอยยิ้มปรีดาออกมา เขาก็รู้สึกได้ว่าท้องถูกพลังมหาศาลสายหนึ่งโจมตีใส่ ทำลายกำลังภายในที่คุ้มครองร่างกายของเขา ทะลวงไปถึงด้านในทันที
“พรูด!” เลือดสดๆ พ่นออกมาจากปากของซ่งเหลียนลู่ พลังมหาศาลสร้างความเสียหายให้อวัยวะภายในของเขาโดยตรง ร่างของเขาถูกพลังสายนี้ซัดจนถอยหลังออกไปเจ็ดแปดก้าวถึงค่อยหยุดลง อย่างไรก็ตาม หลังจากนั้นเขากลับรู้สึกว่าสองขาอ่อนยวบ ทั่วทั้งร่างชาหนึบก่อนจะนั่งลงไป
สาเหตุที่ก่อให้เกิดเหตุการณ์นี้คือ ภายในร่างของเขามีกำลังภายในประหลาดสุดขีดกำลังพุ่งชนไปทั่ว ทำลายเส้นเลือดเส้นประสาทและกล้ามเนื้อผิวหนังภายในของเขาอย่างป่าเถื่อน ทำให้ซ่งเหลียนลู่ไม่มีกำลังยืนได้อย่างมั่นคงอีกต่อไป
ขณะเดียวกันทางด้านหลี่อิงเจี๋ยก็ถูกการโจมตีของซ่งเหลียนลู่ซัดใส่จนถอยหลังติดต่อกันหลายก้าวเช่นเดียวกัน เขายังคงถอยไปไกลกว่าซ่งเหลียนลู่ จนกระทั่งไปถึงบริเวณขอบเวทีประลองถึงค่อยหยุดลงได้ เมื่อเทียบกับอาการบาดเจ็บของซ่งเหลียนลู่แล้ว อาการของหลี่อิงเจี๋ยสาหัสมากกว่าอย่างไม่ต้องสงสัย เลือดสดๆ กระอักออกมาทีละคำจากในปากเขาโดยที่ไม่อาจควบคุมได้ แต่ว่าต่อให้เป็นเช่นนี้ เขายังคงจ้องมองซ่งเหลียนลู่พลางยิ้มขึ้นมา ยิ้มด้วยความลำพองใจและโอ้อวด
……
“ไอ้เด็กนี่เลือกเจ็บด้วยกันทั้งสองฝ่าย!” หลี่ซื่ออวี๋ที่อยู่ในบ็อกซ์ชั้นสองซัดฝ่ามือใส่กำแพงด้วยความโกรธเกรี้ยว ทิ้งรอยฝ่ามือไว้อันหนึ่ง ทำให้อวิ๋นซิวที่อยู่ด้านข้างปวดใจอีกครั้ง ดูเหมือนว่าเครดิตที่น้อยลงแล้วน้อยลงอีกของเขาจะเก็บไว้ไม่อยู่แล้ว
อย่างไรก็ตาม ปวดใจก็ส่วนปวดใจ เขาเป็นห่วงอาการบาดเจ็บของหลี่อิงเจี๋ยบนเวทีประลองมากกว่า “ซื่ออวี๋ ญาติผู้น้องของนายโดนกระบวนท่านั้นคงไม่เป็นไรใช่ไหม?”
“ขอเพียงยังมีลมหายใจก็ไม่ตายหรอก” หลี่ซื่ออวี๋ตอบกลับอย่างโหดเหี้ยม
คำพูดของหลี่ซื่ออวี๋ฟังดูสบายๆ แต่ในใจเขากลับเป็นห่วงญาติผู้น้องที่ทำให้ผิดหวังคนนั้นอยู่ดี ถึงยังไงหมอนั่นได้รับบาดเจ็บสาหัสอย่างยิ่งยวด เกรงว่าจะขยับเขยื้อนไม่ได้แล้ว มีความเป็นไปได้สูงที่วินาทีถัดมาจะหมดสติล้มลงไปบนเวทีประลอง หลี่อิงเจี๋ยไม่ได้เลือกหลบการโจมตีอย่างหนักหน่วงของซ่งเหลียนลู่ หากแต่ตัดสินใจใช้ร่างกายฝืนรับไปตรงๆ…นี่เป็นการบาดเจ็บภายในจากการปะทะจริงๆ
หลี่ซื่ออวี๋ย่อมรู้เช่นกันว่า ไม่ใช่ว่าหลี่อิงเจี๋ยหลบไม่ได้ หลี่ซื่ออวี๋รู้ดียิ่งว่าการโงนเงนนั้นคือการหลอกล่อ เนื่องจากเดิมทีตระกูลหลี่ก็มีกระบวนท่ารวมกันเช่นนี้อยู่ เพียงแต่เขาคิดไม่ถึงว่าหลี่อิงเจี๋ยจะใช้วิธีการเจ็บแลกเจ็บไปโต้กลับคืน ถึงแม้หลี่ซื่ออวี๋คิดว่านี่ไม่คุ้มค่าอยู่บ้าง แต่ต้องยอมรับว่าถ้าหลี่อิงเจี๋ยอยากสร้างความเสียหายให้คู่ต่อสู้อย่างหนักหน่วง ก็มีเพียงตัวเลือกแบบนี้เท่านั้นถึงจะมีโอกาสทำสำเร็จ ควรรู้เอาไว้ว่าถ้าเกิดหลี่อิงเจี๋ยเลือกหลบ ฝ่ายตรงข้ามก็มีโอกาสหลบท่าไม้ตายของหลี่อิงเจี๋ยเช่นเดียวกัน…
“หมอนี่อำมหิตกว่าเมื่อก่อนเยอะเลย” ลงมืออย่างโหดเหี้ยมไม่เพียงต่อคนอื่นหรือว่าต่อตนเอง เจ้าเด็กนี่เติบโตขึ้นมาอีกนิดแล้ว เพียงแต่ไม่รู้ว่าการเติบโตแบบนี้ดีหรือว่าร้าย หลี่ซื่ออวี๋ขบคิดอย่างผิดหวังอยู่บ้าง
……
หลี่อิงเจี๋ยที่อยู่บนเวทีประลองรู้ว่าตัวเองกำลังยิ้มอยู่ เนื่องจากเขาทำร้ายคู่ต่อสู้จนบาดเจ็บสาหัสแล้ว ผลที่ตามมาของท่าไม้ตายตระกูลหลี่เพียงพอที่จะทำให้ฝ่ายตรงข้ามได้รับความเสียหายแล้ว เขาล้างแค้นให้ตัวเองแล้ว ต่อให้คว้าชัยชนะในการประลองไม่ได้ เขาก็ไม่รู้สึกเสียใจ เพราะเขาเชื่อว่าพวกเพื่อนๆ ของเขาจะต้องชนะกลับมาแน่นอน
อันที่จริงหลี่อิงเจี๋ยมาถึงขีดจำกัดแล้ว เขารู้สึกว่าหัวหมุนตาพร่าเบลอ นี่เป็นอาการหลังจากที่สูญเสียเลือดปริมาณมาก เขารู้ว่าเขาควรจะล้มลงไปจากนั้นก็ถูกรักษา แต่เขาไม่รู้ว่าทำไมเขาไม่อยากล้มลงไปแบบนี้ เขาอยากเห็นหน้าของลูกพี่หลาน อยากเห็นสีหน้าของเขา แต่เขาไม่มีเรี่ยวแรงแม้กระทั่งหันหน้ากลับไปแล้ว…
‘น่าเสียดายชะมัดที่มองไม่เห็นสีหน้าของลูกพี่หลานในตอนนี้ ไม่รู้ว่าเขาจะพอใจผลงานที่ฉันทำในวันนี้หรือเปล่า?’ หลี่อิงเจี๋ยครุ่นคิดอย่างร้าวรานใจ ที่แท้เขาหวังจะได้รับการยอมรับจากลูกพี่หลานขนาดนี้เชียว…
“หลี่อิงเจี๋ย วันนี้ฉันภูมิใจในตัวนาย!” เสียงเย็นเยียบที่เป็นเอกลักษณ์ของหลิงหลานดังขึ้นข้างหูของหลี่อิงเจี๋ย เสียงนี้ทำให้หลี่อิงเจี๋ยตื่นตัวขึ้นมา เขาหันหน้ากลับไปอย่างคาดไม่ถึง มองเห็นลูกพี่หลานที่เย็นชาทว่ามีกลิ่นอายทรงอำนาจคนนั้น
เวลานี้หลิงหลานมาถึงด้านข้างเวทีประลองอีกครั้ง ถึงแม้ใบหน้ายังคงเย็นเยียบเหมือนปกติ แต่หลี่อิงเจี๋ยกลับสัมผัสได้ถึงใจจริงในคำพูดของเขา…
เช่นนี้ก็ดีแล้ว! หลี่อิงเจี๋ยหลับตาลงด้วยความพึงพอใจ มุมปากมีรอยยิ้ม ร่างของเขาแหงนหน้าล้มลงไป อย่างไรก็ตาม มีคนผู้หนึ่งรับเขาไว้อย่างรวดเร็ว เขาก็คือพันเอกถังอวี้กรรมการตัดสินการประลองครั้งนี้นี่เอง
เมื่อพันเอกถังอวี้มองดูสภาพของหลี่อิงเจี๋ยก็รู้ว่าอีกฝ่ายหมดสติไปโดยสิ้นเชิงแล้ว ไม่อาจประลองต่อไปได้อีก นอกจากนี้สภาพของเขาก็อยู่ในอันตราย ต่อให้ไม่ใช้กำลังภายในตรวจสอบภายในร่างกายของอีกฝ่าย เขาก็รู้ว่าอีกฝ่ายได้รับบาดเจ็บภายในอย่างแสนสาหัสแล้ว เนื่องจากตอนนี้เลือดในปากของหลี่อิงเจี๋ยยังคงไหลออกมาไม่หยุด