สีหน้าของผู้คนมากมายในเขตพื้นที่กลุ่มหุ่นรบเหลยถิงดูย่ำแย่สุดขีดแล้ว เด็กหนุ่มคนนี้เป็นใครกันแน่ ทำไมถึงสู้กับรองหัวหน้ากลุ่มคนก่อนของพวกเขาได้อย่างสูสีเลยล่ะ?
หลินจื้อตงอดถามลูกพี่ฮั่วที่อยู่ข้างกายไม่ได้ “ลูกพี่ฮั่ว ดูออกไหมครับว่าเด็กคนนั้นอยู่ระดับอะไร?” เนื่องจากคนจู่โจมหลักในตอนนี้คือฉีหลง เนี่ยเฟิงหมิงถูกทำให้เป็นฝ่ายตั้งรับ มองระดับขอบเขตทักษะการต่อสู้มือเปล่าของคู่ต่อสู้ไม่ออกชั่วขณะ
ลูกพี่ฮั่วตอบกลับอย่างนิ่งเรียบว่า “ไม่ด้อยไปกว่าเฟิงหมิงเท่าไหร่ ไม่อย่างนั้นเฟิงหมิงคงไม่ถูกกระทำแบบนี้ แต่ว่านี่แค่ชั่วคราวนะ” ต่อให้คนที่อยู่ระดับช่วงต้นของพลังปราณจะแข็งแกร่งอีกสักแค่ไหน ก็ไม่สามารถมัดมือมัดเท้าเนี่ยเฟิงหมิงได้ขนาดนี้ เด็กหนุ่มที่อยู่บนสนามต้องอยู่ในช่วงกลางของระดับพลังปราณอย่างไม่ต้องสงสัย เพียงแต่ไม่รู้ว่าอยู่ขั้นไหนของช่วงกลาง
หลินจื้อตงได้ยินคำกล่าวสีหน้าก็เปลี่ยนไปฉับพลัน เขาเอ่ยด้วยเสียงแหบแห้งว่า “ช่วงกลางของระดับพลังปราณ? นี่มันเป็นไปได้ยังไง?” หลายปีมานี้ต่อให้นักเรียนใหม่มีพรสวรรค์ล้ำเลิศ มีบางคนที่อยู่ในระดับพลังปราณปรากฏตัวขึ้น แต่พวกเขาก็เพิ่งย่างเข้าสู่ช่วงต้นของระดับพลังปราณเท่านั้น อย่างเช่นจางจิงอัน ย้อนกลับไปในประวัติศาสตร์ของโรงเรียนทหารก็มีเพียงตอนที่นายพลหลิงเซียวเข้าโรงเรียนเมื่อยี่สิบปีก่อนที่เข้าโรงเรียนโดยที่อยู่ในช่วงกลางของระดับพลังปราณแล้ว จนสร้างความฮือฮาในปีนั้น
หลินจื้อตงมองไปยังเด็กหนุ่มที่ต่อสู้พัวพันกับเนี่ยเฟิงหมิงบนเวทีประลองด้วยสีหน้าย่ำแย่ หรือว่านี่ก็คือปีศาจอัจฉริยะที่จางจิงอันพูดไว้?
หลินจื้อตงสะกดกลั้นความตื่นตระหนกในใจอย่างยากลำบาก เอ่ยด้วยความแค้นใจว่า “ผมก็ว่าแล้ว รอบที่สามพวกเขาจะต้องส่งคนที่แข็งแกร่งที่สุดในกลุ่มตัวเองออกมา โชคดีที่ผมจัดการให้รุ่นพี่เฟิงหมิงออกไป…” ถ้าเกิดจัดเตรียมคนที่อ่อนแอที่สุดของพวกเขา เกรงว่าพวกเขาคงพ่ายแพ้แล้ว เดิมทีเขาคิดจะจัดการคู่ต่อสู้สามต่อศูนย์อย่างสบายๆ ถึงแม้ว่าตอนนี้จะถูกตีมาเป็นหนึ่งต่อหนึ่ง แต่หลินจื้อตงยังหวังให้เหลยถิงนำฝ่ายตรงข้ามในภาพรวม ต่อสู้กดดันอีกฝ่าย ไม่ใช่โต้กลับคืน
ลูกพี่ฮั่วได้ยินคำพูดนี้ก็อดมองไปทางเขตพื้นที่กลุ่มนักเรียนใหม่ที่อยู่ด้านข้างไม่ได้ เด็กหนุ่มที่อยู่บนเวทีประลองตอนนี้คือคนที่แข็งแกร่งที่สุดของพวกเขาจริงๆ เหรอ? ทำไมกลิ่นอายเย็นเยียบที่พาดผ่านเมื่อสักครู่นี้ถึงทำให้หัวใจเขาเกิดความหวาดกลัวล่ะ? เป็นภาพลวงตา หรือว่าอาจารย์ที่เก่งกาจสักคนของโรงเรียนทหารอยู่ที่นี่ด้วย? ลูกพี่ฮั่วหาคำตอบไม่เจอ ได้แต่ปล่อยวางความสับสนในใจ ชมการต่อสู้บนเวทีประลองต่อไป
ส่วนทางด้านกลุ่มนักเรียนใหม่เหลือเพียงอู่จย่งที่อยู่ข้างกายหลิงหลานคนเดียวเท่านั้น เขากำหมัดแน่น จ้องมองเวทีประลองด้วยใบหน้าเคร่งเครียด เมื่อเห็นฉีหลงซัดคู่ต่อสู้จนถอยหลังอีกครั้ง ใบหน้าของเขาก็อดแสดงความยินดีขึ้นมาไม่ได้ เขาหันหน้าไปถามหลิงหลานว่า “ลูกพี่หลาน นายว่าฉีหลงมีหวังที่จะเอาชนะการประลองรอบนี้หรือเปล่า?” ฉีหลงต่อสู้ยอดเยี่ยมขนาดนี้ นอกจากนี้เขาแข็งแกร่งมาตลอด ไม่มีทางทำให้พวกเขาผิดหวังแน่นอน
เวลานี้หลิงหลานเอามือสองข้างกอดอก กำลังมองกระบวนท่าการต่อสู้ของทั้งสองคนบนเวทีประลองอย่างเย็นชา นี่เป็นนิสัยเคยชินของเธอมาแต่ไหนแต่ไร Copy กระบวนท่าต่อสู้ในโลกความเป็นจริงแล้วส่งกลับไปที่มิติการเรียนรู้ นอกจากจะได้รับคะแนนคุณงามความดีแล้ว เธอยังได้รับท่าไม้ตายยอดเยี่ยมมากขึ้นจากการที่บรรดาอาจารย์กลั่นกรองออกมาจากกระบวนท่าเหล่านี้ฟรีๆ อีกด้วย สำหรับหลิงหลานแล้ว เรียกได้ว่าเป็นงานที่ยิงนัดเดียวได้นกสองตัว
เธอได้ยินคำถามของอู่จย่งก็ตอบกลับไปทันทีว่า “ตอนนี้เพิ่งจะเริ่ม เร็วเกินไปที่จะคิดเรื่องพวกนี้”
ความจริงแล้วหลิงหลานมองเห็นได้กระจ่างชัดมาก ไม่ใช่ว่าฉีหลงไม่มีโอกาสที่จะชนะ เพียงแต่ความเป็นไปได้น้อยสุดขีด ถึงแม้ตอนนี้เขาดูเหมือนสูสีกับคู่ต่อสู้ ยอดเยี่ยมอย่างมาก แต่หลิงหลานกลับสัมผัสได้ชัดเจนว่าสถานการณ์บนสนามประลองค่อยๆ เอนเอียงไปทางเนี่ยเฟิงหมิงแล้ว ถ้าหากฉีหลงต่อสู้แบบนี้ไปตลอด ความเป็นไปได้ในการเอาชนะก็จะลงลดไปเรื่อยๆ เท่านั้น
แต่ฉีหลงจะเปลี่ยนวิธีการต่อสู้หรือเปล่า? ไม่มีทาง! ดังนั้นหลิงหลานแทบมองเห็นจุดจบที่ฉีหลงพ่ายแพ้ได้แล้ว…
อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ว่าจะไม่มีโอกาสเลยสักนิดเดียว นี่ก็ต้องดูว่าฉีหลงจะทะลวงขีดจำกัดของตัวเองบนเวทีประลองได้หรือเปล่า โอกาสที่ผู้อ่อนแอเอาชนะผู้แข็งแกร่งอยู่ที่การทะลวงขีดจำกัดตัวเองในระหว่างการประลอง และฉีหลงมีความเป็นไปได้นี้จริงๆ
หลิงหลานอดนึกถึงการสอบเข้าสถาบันศูนย์กลางลูกเสือตอนที่พวกเขาอายุหกขวบไม่ได้ ตอนนั้นท่วงท่าการต่อสู้ของฉีหลงยังคงไม่ประสีประสาสุดขีด ทว่าเขากลับทะลวงขีดจำกัดตัวเองได้อย่างเหนือความคาดหมาย…บางทีเธออาจจะคาดหวังได้
ทั้งสองฝ่ายด้านล่างเวทีสับสนตึงเครียด ส่วนสองคนบนเวทีประลองกลับจดจ่อในการต่อสู้มากขึ้นเรื่อยๆ รูปแบบการต่อสู้ของฉีหลงก็คือโจมตี จู่โจมตลอด ไม่มีการหยุดพักป้องกัน เป็นคนที่ยิ่งต่อสู้ยิ่งบ้าคลั่ง ยิ่งแรงกดดันเยอะ ก็ยิ่งสะท้อนกลับมากขึ้น อ้างอิงจากคำพูดของหลิงหลานก็คือเขาเป็นแมลงสาบที่ตีไม่ตาย ดังนั้น ถึงแม้เนี่ยเฟิงหมิงจะยึดความได้เปรียบในสถานการณ์บนสนามประลอง ทว่านอกเสียจากคนที่มีขอบเขตความสามารถสูงอย่างยิ่งยวดเหมือนหลิงหลานที่สามารถมองการบุกจู่โจมได้ทะลุปรุโปร่งในแวบเดียวแล้ว คนอื่นๆ เห็นแล้วกลับรู้สึกมืดแปดด้าน ต่อให้เหลยถิงมั่นใจในตัวเนี่ยเฟิงหมิงอย่างมาก เวลานี้ก็อดว้าวุ่นใจไม่ได้
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น?” หลินจื้อตงทำหน้าร้อนใจ “ลูกพี่ฮั่ว คุณบอกว่ารุ่นพี่เฟิงหมิงจะควบคุมสถานการณ์ได้ไม่ใช่เหรอครับ? ทำไมตอนนี้ถึงไม่มีสัญญาณบ่งบอกเลยสักนิดล่ะ?”
ลูกพี่ฮั่วขมวดคิ้วมุ่น ตอบกลับว่า “ไม่ต้องร้อนใจ ดูต่อไป! ความสามารถของฝ่ายตรงข้ามไม่ได้อ่อนแอเลย แต่ฉันประเมินดูแล้วว่าเขาน่าจะด้อยกว่าเฟิงหมิงหนึ่งขั้นเล็กๆ…”
“ลูกพี่ฮั่วมองออกแล้วเหรอครับ?” ดวงหน้าของหลินจื้อตงเผยความประหลาดแกมยินดี ขอเพียงไม่ได้แข็งแกร่งกว่ารุ่นพี่เฟิงหมิง เขาก็ไม่กลัวแล้ว
“อื้อ ตำแหน่งที่ฝ่ายตรงข้ามโจมตีคือจุดอ่อนของกระบวนท่าเฟิงหมิงทั้งนั้น ทำให้เฟิงหมิงต่อสู้ยากมาก” หัวคิ้วของลูกพี่ฮั่วยังไม่คลายออก “ฝ่ายตรงข้ามเหมือนกับรู้กระบวนท่าต่อสู้ของเฟิงหมิงดีมาก…ทำให้เฟิงหมิงถูกคุมไว้ทุกด้าน แต่ว่าต่อให้เป็นแบบนี้ ฝ่ายตรงข้ามก็เอาชนะเฟิงหมิงไม่ได้เหมือนกัน อาศัยแค่เรื่องนี้เรื่องเดียวก็รู้ว่าความสามารถของฝ่ายตรงข้ามด้อยกว่าเฟิงหมิง ไม่อย่างนั้นเฟิงหมิงอาจจะต่อสู้ลำบากกว่านี้แล้ว”
“ถ้างั้นรุ่นพี่เฟิงหมิงจะพลิกสถานการณ์ได้เมื่อไหร่ครับ?” ระดับขอบเขตการต่อสู้หลินจื้อตงต่ำมากเกินไป ดูสถานการณ์ไม่ออกจริงๆ ได้แต่สอบถามลูกพี่ฮั่วอีกครั้ง
ลูกพี่ฮั่วตอบกลับว่า “อดทนรอต่อไปอีกสักพัก น่าจะใกล้แล้วล่ะ” คำพูดเพิ่งจะถูกกล่าวออกมา ทันใดนั้นลูกพี่ฮั่วก็เอ่ยด้วยใบหน้ายิ้มแย้มว่า “ไม่ต้องรอแล้ว เฟิงหมิงพลิกสถานการณ์แล้ว น่าจะจัดการคู่ต่อสู้ได้เร็วๆ นี้แหละ”
เวลานี้ลูกพี่ฮั่วเพิ่งดูออกว่าสถานการณ์โน้มเอียงไปทางเฟิงหมิง เวลาในการตัดสินของเขาล่าช้ากว่าหลิงหลานอย่างชัดเจน เห็นได้ว่าสายตาของลูกพี่ฮั่วสู้หลิงหลานไม่ได้เลย
อย่างไรก็ตาม ลูกพี่ฮั่วตกใจกับความสามารถของนักเรียนใหม่รุ่นนี้เช่นกัน นึกถึงตอนที่พวกเขาเพิ่งเข้าโรงเรียนทหาร ก็มียอดฝีมือด้านการต่อสู้ระดับพลังปราณช่วงต้นแค่คนเดียวเท่านั้น เวลานั้นเขาก็ทำให้โรงเรียนทหารดีใจเป็นบ้าเป็นหลัง ถูกเน้นอบรมสั่งสอน ไม่นึกเลยว่ายอดฝีมือด้านการต่อสู้ระดับพลังปราณในรุ่นนี้จะโผล่ออกมาทีละคนเหมือนกับแจกฟรีก็ไม่ปาน ยอดฝีมือระดับพลังปราณเปลี่ยนเป็นขายดีแล้วเหรอ หรือรุ่นพวกเขาห่วยมากเกินไปจริงๆ?
“หรือว่าโรงเรียนทหารจะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่แล้วเหรอ?” ไม่รู้ว่าเพราะอะไรลูกพี่ฮั่วถึงเกิดความคิดนี้ขึ้นมา แต่ก็ถูกเขาส่ายศีรษะปฏิเสธอย่างรวดเร็วอีกครั้ง การพิจารณาว่าเป็นผู้แข็งแกร่งหรือไม่ในโรงเรียนทหาร ไม่ได้ดูที่ทักษะการต่อสู้มือเปล่า หากแต่เป็นการควบคุมหุ่นรบ บางทีพวกเขาอาจจะมองออกได้ในสองปีให้หลังว่าเด็กหนุ่มที่มีพรสวรรค์เหล่านี้จะเป็นปีศาจอัจฉริยะด้านการควบคุมหุ่นรบเช่นเดียวกันหรือเปล่า
สถานการณ์บนสนามประลองเป็นไปตามที่พวกหลิงหลานคาดการณ์ไว้จริงๆ เนี่ยเฟิงหมิงปรับตัวเข้ากับรูปแบบการต่อสู้อย่างบ้าคลั่งของฉีหลงได้แล้ว เขาพลิกสถานการณ์ช้าๆ การจู่โจมที่บ้าระห่ำแต่เดิมของฉีหลงค่อยๆ ลดลง ถึงขนาดที่มีความรู้สึกว่าถูกผนึกไว้ โจมตีออกไปไม่ได้ ทุกคนเชื่อว่าอีกไม่นาน เนี่ยเฟิงหมิงสามารถล้มคู่ต่อสู้ คว้าชัยชนะในการประลองรอบนี้มาได้แน่นอน
อย่างไรก็ตาม ทุกคนคิดโลกสวยมากเกินไป บนสนามประลองผ่านไปอีกห้าสิบหกสิบกระบวนท่า ทว่าตั้งแต่ต้นจนจบกลับไม่เห็นร่างของฉีหลงที่จะพ่ายแพ้เลย ต่อให้เขาไม่ได้ต่อสู้อย่างบ้าคลั่งเหมือนในตอนแรกแล้ว แต่เขายังคงยืนหยัดอยู่…
สิบนาทีผ่านไป ฉีหลงยืนหยัดอยู่…
ยี่สิบนาทีผ่านไป ฉีหลงยังคงยืนหยัดอยู่…
สามสิบนาทีผ่านไป ฉีหลงยังคงยืนหยัดอยู่…
“เชี่ย นักเรียนใหม่คนนั้นเป็นแมลงสาบตีไม่ตายจริงๆ!” ในที่สุดการยืนหยัดของฉีหลงก็ทำให้นักเรียนเก่าบางคนเอ่ยปากอุทานด้วยความชื่นชม ทำไมความทรหดของนักเรียนใหม่คนนี้ถึงได้ยอดเยี่ยมขนาดนี้ เห็นได้ชัดว่ามีหลายครั้งที่เขาโดนหมัดและลูกเตะของเนี่ยเฟิงหมิงโจมตีใส่ ผู้คนมากมายต่างคิดว่าฉีหลงจะได้รับบาดเจ็บ ต่อให้ไม่ได้รับบาดเจ็บ มันก็ทำให้ท่วงท่าการโจมตีของเขาเปลี่ยนไปเพราะความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส ไม่สามารถใช้การโจมตีแทนการป้องกันได้อีกต่อไปแล้ว
แน่นอนว่าเมื่อเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น เนี่ยเฟิงหมิงก็ฉวยโอกาสโจมตีติดต่อกันเพื่อล้มฝ่ายตรงข้าม แต่ไม่นึกว่าหลังจากที่ฉีหลงถูกโจมตีไปหลายกระบวนท่า เขากลับไม่รู้สึกอะไรเลย การเคลื่อนไหวจู่โจมในมือไม่ได้รับผลกระทบเลยสักนิด ตรงกันข้าม เนี่ยเฟิงหมิงกลับตกใจต่อท่าทีไม่รู้สึกเจ็บปวดของฉีหลงอย่างมากจนไม่ได้บุกโจมตีต่อ ทำให้ฉีหลงได้โอกาสฝืนต้านเข้ามาอีกครั้ง
“เชี่ย หมอนั่นไม่มีต่อมรับรู้ความเจ็บปวดเลยหรือไง?” พวกเขาเห็นกำปั้นอันทรงพลังของเนี่ยเฟิงหมิงชกใส่กายเนื้อของอีกฝ่ายหลายครั้ง ต่อให้เป็นผู้ชมการประลองด้านล่างก็ปวดเนื้อปวดตัวไม่หยุด แต่สีหน้าของฉีหลงยังคงไม่เปลี่ยนแปลง ไม่แสดงอารมณ์เลยสักนิดเดียว
“เป็นสัตว์ประหลาดจริงๆ!” ต่อให้ความสามารถของอีกฝ่ายด้อยกว่าพวกเขา แต่เมื่อเจอคู่ต่อสู้แบบนี้ ทุกคนต่างปวดหัวไม่หยุด อันที่จริงตอนนี้เนี่ยเฟิงหมิงก็ปวดหัวไม่หยุดหย่อนจริงๆ เขาถึงกับสงสัยว่าเด็กหนุ่มตรงหน้าเป็นหุ่นยนต์ เพียงแต่ห่มหนังมนุษย์เอาไว้ชั้นหนึ่งเท่านั้น
“ดูท่าการประลองรอบนี้จะเข้าสู่การต่อสู้แบบบั่นทอนกำลังแล้ว ดูว่าเรี่ยวแรงของใครจะหมดก่อนกัน” คนที่มีสายตาเฉียบแหลมดูออกแล้วว่าไม่อาจตัดสินแพ้ชนะได้ในช่วงเวลาสั้นๆ
“ร่างกายของฉีหลงบ้าไปแล้วจริงๆ ต่อให้ถูกอัดก็เหมือนกับกำลังจั๊กจี้ การประลองรอบนี้คงยืดเยื้อแล้ว ทางที่ดีคือเอาให้ลากยาวจนล้มคู่ต่อสู้ได้” อู่จย่งจ้องมองเวทีประลองด้วยสีหน้าตื่นเต้น ทุกครั้งที่เขาเห็นฉีหลงต่อสู้ เขารู้สึกตื่นเต้นอย่างที่ไม่มีอะไรมาเทียบเทียมได้เสมอ ช่วยไม่ได้นี่นา รูปแบบการต่อสู้ของฉีหลงเป็นแบบนี้ แต่ละหมัดอัดใส่กายเนื้อ ไม่มีกระบวนท่าที่ดูแพรวพราวอะไร คุยด้วยกำลังทั้งหมด
“ฝ่ายตรงข้ามเยือกเย็นมาก ตอนนี้ฉีหลงไม่ได้เปรียบเลย!” หลิงหลานตอบกลับพลางนิ่วหน้า ถึงแม้ฉีหลงจะแสดงท่าทีใจเย็นอย่างยิ่งยวด แต่เธอยังดูออกว่าตอนที่ฉีหลงโดนโจมตี ใบหน้าของเขาบิดเบี้ยวเล็กน้อย ไม่ใช่เขาไม่เจ็บ ทว่ามันถูกฉีหลงฝืนข่มกลั้นลงไปต่างหาก
เยี่ยม เด็กกลุ่มนี้แต่ละคนสามารถอดทนได้มากกว่าคนก่อน ทุกคนแม่งกลายเป็นนินจาเต่า[1]ไปแล้ว หวังแค่ว่าอาการบาดเจ็บภายในของฉีหลงจะไม่ได้สาหัสมากเกินไป ไม่อย่างนั้นเขาไม่มีทางยืนหยัดได้นาน หลิงหลานเป็นห่วงในใจ
อันที่จริงหลิงหลานไม่สนใจว่าฉีหลงจะแพ้หรือชนะ เธอหวังแค่ว่า ฉีหลงสามารถหาโอกาสทะลวงขีดจำกัดในการประลองครั้งนี้ได้ ทะลวงจุดคอขวดของเขาในตอนนี้
ควรรู้เอาไว้ว่า ฉีหลงติดอยู่ในช่วงกลางของระดับพลังปราณเกือบหนึ่งปีแล้ว ถึงแม้ช่วงนี้เธอมีเวลาว่างก็จะไปหาฉีหลงเพื่อต่อสู้ทารุณเขา แต่ผลที่ได้รับน้อยนิดเหลือเกิน บางทีฉีหลงอาจจะคุ้นชินกับวิธีการต่อสู้ของเธอแล้ว จุดคอขวดนี้จึงไม่ได้หย่อนลงบ้าง นี่ก็คือสาเหตุว่าทำไมหลิงหลานถึงเลือกฉีหลงไปปะทะกับคนที่แข็งแกร่งเป็นอันดับสอง ตอนที่หลิงหลานรับประกันชัยชนะในตอนสุดท้าย เธอก็หวังว่าฉีหลงจะเก็บเกี่ยวอะไรในการประลองครั้งนี้ได้บ้าง
“ฝ่ายตรงข้ามเว้นระยะห่างแล้ว” อู่จย่งลุกขึ้นตะโกนเสียงดังฉับพลัน ในขณะเดียวกันฉากที่ปรากฏขึ้นบนเวทีประลองก็ทำให้หลิงหลานขมวดคิ้วมุ่น
————————–
[1] อุปมาว่าเป็นคนที่มีความอดทนเป็นพิเศษ