หลิงหลานคิดถึงตรงนี้มุมปากก็อดยกขึ้นไม่ได้ ในเมื่อมีวิธีการแก้ปัญหาเรื่องผู้ป่วยบาดเจ็บแล้ว ถ้าอย่างนั้นก็อย่าโทษคนเป็นลูกพี่อย่างเธอว่าใจยักษ์ล่ะ
มือทั้งสองข้างของหลิงหลานกุมเข้าหากัน นิ้วมือส่งเสียงกระดูกดังกร๊อบ การกระทำนี้ทำให้แววตาของบุคลิกเย็นชาสุดขีดเปลี่ยนไป เนื่องจากเขารู้สึกได้ว่าแผนการที่เขาวางไว้ในตอนแรกอาจจะไม่มีประโยชน์แล้ว…แต่ฝ่ายตรงข้ามจะลงมืออย่างเหี้ยมโหดได้จริงๆ เหรอ? ถ้าเป็นแบบนี้ละก็ การที่บุคลิกหลักยอมรับคนแบบนี้เป็นลูกพี่จะไม่มีตาและน่าสงสารมากเกินไปหรือเปล่า?
บุคลิกเย็นชาสุดขีดยังไม่แน่ใจความคิดที่แท้จริงของหลิงหลาน หลิงหลานก็พุ่งเข้ามาแล้ว ครั้งนี้เธอเตรียมตัวจู่โจมก่อน หมัดข้างหนึ่งซัดตรงไปที่หน้าของลั่วล่าง กำปั้นที่มารุนแรงและป่าเถื่อน ยังไม่ทันแตะถูก บุคลิกเย็นชาสุดขีดก็สัมผัสได้ถึงพลังอันน่ากลัวที่แฝงอยู่ในหมัด
สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อย ก่อนจะรีบก้าวเท้าพรวด หลบการโจมตีของหลิงหลาน
เสียง ‘ปัง’ ดังสนั่น หมัดของหลิงหลานซัดใส่พื้นของห้องส่วนตัวทันที พื้นพลันแตกออกเนื่องจากพลังมหาศาลนี้
อันที่จริงห้องส่วนตัวใช้วัสดุที่มีความแข็งแกร่งและความทนทานสูงสร้างขึ้นด้วยเทคโนโลยีชั้นสูง เพียงพอที่จะต้านทานการโจมตีของพลังปราณที่ต่ำกว่าระดับเขตแดนลงไป ประสิทธิผลที่แสดงออกมาในตอนนี้ก็เป็นเทคโนโลยีล้ำหน้าของยุคนี้ ผ่านไปหลายสิบวินาที พื้นก็กลับคืนเป็นปกติ
เมื่อบุคลิกเย็นชาสุดขีดเห็นปรากฏการณ์ที่พื้นของห้องส่วนตัวแตกร้าวอย่างมหาศาลเช่นนี้ เขาก็แน่ใจแล้วว่าคนที่อยู่ตรงข้ามเขาตัดสินใจลงมืออย่างเหี้ยมโหดตามที่คาดเอาไว้เลย ตอนนี้เขาอดดูถูกบุคลิกหลักของตัวอีกครั้งไม่ได้ คิดว่าสายตาของเขาย่ำแย่จริงๆ ยอมรับลูกพี่ที่ไม่ใส่ใจเขาเลย ไม่เช่นนั้นเขาพูดว่าจะลงมืออย่างโหดเหี้ยม เขาก็ลงมืออย่างอำมหิตเลยได้อย่างไร? แม่งเอ๊ย เป็นบุคลิกหลักที่ล้มเหลวสุดขีดจริงๆ
ในเมื่อไม่สามารถคำนวณด้านอารมณ์แล้ว บุคลิกเย็นชาสุดขีดก็ทิ้งแผนการเดิมโดยไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย เขาเริ่มค้นหาโอกาสอื่นที่สามารถเอาชนะได้
และในเวลานี้เองก็เห็นคนทั้งสองต่อสู้กันไปมา คนหนึ่งโจมตี คนหนึ่งหลบ สู้กันได้อย่างสูสีจริงๆ จำเป็นต้องพูดว่า การที่บุคลิกเย็นชาสุดขีดแข็งแกร่งที่สุดในหมู่บุคลิกทั้งหมด เป็นเพราะว่าเขาใช้ความสามารถของร่างกายลั่วล่างออกมาอย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นความเร็วหรือว่าพละกำลังต่างก็ไปจนถึงขีดสุด หลิงหลานคิดจะเอาชนะคู่ต่อสู้เกรงว่าคงไม่สามารถทำได้ใน ช่วงเวลาสั้นๆ
เนื่องจากฝ่ายตรงข้ามอยู่ในขีดจำกัดสูงสุดของร่างกาย ในขณะเดียวกันก็คำนวณเส้นทางการหลบหนีที่เหมาะกับเขามากที่สุด ความสามารถในการคำนวณที่ล้ำเลิศทำให้บุคลิกเย็นชาสุดขีดโชคดีหลบหนีขณะอยู่ในวิกฤติได้หลายครั้ง
“ดูเหมือนว่า ไม่ใช้เขตแดนคงจะไม่ได้แล้วสินะ” หลิงหลานลอบเอ่ยในใจ
ความจริงแล้วดูจากความสามารถของหลิงหลาน หากเธอทุ่มกำลังสุดตัวจริงๆ ก็ไม่ใช่ว่าไม่สามารถเอาชนะอีกฝ่ายได้ แต่เธอไม่กล้าใช้พลังขั้นสูงสุดของระดับพลังปราณโดยสมบูรณ์อย่างเต็มที่ได้ อีกอย่างหมัดหนึ่งนิ้วขั้นสามอะไรนั่นก็ไม่กล้าใช้ นี่ทำให้ขอบเขตการโจมตีของหลิงหลานลดลงไปมากอย่างเห็นได้ชัด นี่ก็คือสาเหตุที่ทำให้บุคลิกเย็นชาสุดขีดหลบหนีไปได้หลายครั้ง
เนื่องจากพละกำลังที่หลิงหลานใช้ในตอนนี้ถูกเธอคำนวณเอาไว้แล้ว ต่อให้โจมตีโดนลั่วล่างจริงๆ ก็ทำให้ลั่วล่างได้รับบาดเจ็บสาหัสที่ร่างกาย แต่ไม่มีทางเกิดโศกนาฏกรรมขึ้นมา หากเพิ่มพลังขึ้นไปอีกส่วน เธอกลัวว่าจะโชคร้ายเล่นงานชีวิตน้อยๆ ของลั่วล่างจนจบสิ้นลง
ตอนนี้บุคลิกเย็นชาสุดขีดพบว่าหลิงหลานที่เขาเผชิญหน้าด้วยนั้นแข็งแกร่งกว่าเขาหลายเท่า ต่อให้เขาวางแผนมากมายก็ไม่มีประโยชน์เลย เมื่อความสามารถแข็งแกร่งไปจนถึงระดับหนึ่ง แผนการทุกอย่างต่างไม่มีประโยชน์แล้ว
นี่เป็นครั้งแรกที่บุคลิกเย็นชาสุดขีดเกิดความรู้สึกที่เรียกว่าหมดกำลังใจ แต่จะให้เขายอมแพ้ตอนนี้ก็ไม่ใช่นิสัยของบุคลิกเย็นชาสุดขีดเหมือนกัน ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจใช้เจ็บแลกเจ็บ นี่เป็นวิธีการที่อับจนปัญญามากที่สุดแล้ว ถ้าหากไม่ใช่เพราะถึงจุดที่จนปัญญาแล้วละก็ เขาไม่ยอมทำแบบนี้เหมือนกัน
ทั้งสองคนต่างตั้งใจจบการประลองในครั้งนี้ เมื่อการโจมตีของหลิงหลานมาถึง บุคลิกเย็นชาสุดขีดไม่ได้หลบออก เขาชูหมัดขวาของตัวเองขึ้นมาทันที ก่อนจะตะโกนฉับพลัน หมัดหนึ่งนิ้วสี่ชั้นถูกปล่อยออกมาโดยไม่ได้ลังเลเลยสักนิดเดียว…
หลิงหลานเห็นแบบนี้ แววตาก็มีไฟโทสะพาดผ่าน เธอตะโกนโดยไม่ลังเลแม้แต้น้อยว่า “เปิดใช้งานเขตแดน!”
จากนั้นก็เห็นเขตแดนขนาดเล็กสุดขีดโผล่ขึ้นในห้องส่วนตัว มันผนึกร่างกายทั่วทั้งร่างของลั่วล่างที่ปล่อยหมัดหนึ่งนิ้วสี่ชั้นทันที ก่อนจะเห็นลั่วล่างหยุดนิ่งอยู่กลางอากาศขณะคงท่วงท่าโจมตีไว้
เขตแดนยิ่งเล็ก เวลาในการควบคุมของหลิงหลานก็ยิ่งมากขึ้น แน่นอนว่าเวลาในการควบคุมเขตแดนที่เล็กที่สุดของหลิงหลานก็ไม่เกินหนึ่งนาที และหลิงหลานสามารถควบคุมเขตแดนขนาดเล็กนี้ได้ประมาณสี่สิบกว่าวินาที ถึงแม้เวลามีไม่มาก แต่มันเพียงพอที่จะปราบบุคลิกเย็นชาสุดขีดได้
“น่าชิงชังนัก!” หลิงหลานคำรามด้วยความโกรธเกรี้ยว หมัดในมือต่อยออกไปทันที ซัดใส่ลั่วล่างที่ไม่สามารถขยับเขยื้อนได้โดยตรง ในขณะที่ต่อยโดนนั้น หลิงหลานก็ปลดเขตแดนที่ผนึกลั่วล่างออกในชั่วพริบตา
อย่างไรก็ตาม บุคลิกเย็นชาสุดขีดไม่มีทางหลบหลีกได้เลย จากนั้นกำปั้นก็ต่อยลั่วล่างอย่างรุนแรง ร่างของลั่วล่างกระเด็นลอยออกไปก่อนจะกระแทกเข้ากับผนังของห้องส่วนตัวอย่างหนักหน่วงแล้วกระดอนกลับมาที่พื้นอีกครั้ง
แหวะ ลั่วล่างที่ล้มลงพื้นกระอักเลือดพรวดออกมาหลายคำ หลิงหลานไม่ได้ยั้งมือในการโจมตีนี้เลย กำลังภายในของเธอที่ถูกคำนวณไว้อย่างดีถูกลั่วล่างแบกรับไว้ทันที ไม่น่าแปลกใจเลยสักนิดที่ลั่วล่างได้รับบาดเจ็บสาหัส
“นายรู้ไหมว่าตอนนี้ฉันเกลียดนายมาก จากความสามารถของลั่วล่างในตอนนี้ การใช้หมัดหนึ่งนิ้วขั้นสี่จะทำให้พลังปราณทั่วทั้งร่างเขาปั่นป่วน โชคร้ายก็อาจจะทำให้ระดับลดลงได้ ครั้งแรกบนสนามประลอง นายไม่อยากแพ้ให้คนนอก นายก็เลยใช้มัน ต่อให้จ่ายค่าตอบแทนด้วยแขนขวาก็ตาม ฉันก็อดทนแล้วนะ…แต่ว่าตอนนี้นายก็ใช้กระบวนท่าทำร้ายศัตรูหนึ่งร้อย ตัวเองบาดเจ็บหนึ่งพันเพราะไม่อยากแพ้ฉันเนี่ยนะ นายแม่งโง่หรือเปล่า? ยังเป็นบุคลิกเย็นชาสุดขีดอีกเหรอ? นายมันไอ้คนโง่เง่าไร้สมอง! เยือกเย็นบ้าบอน่ะสิ!”
หลิงหลานที่ถูกการกระทำของฝ่ายตรงข้ามยั่วโทสะก็ทำหน้าเย็นชาก่อนจะลากบุคลิกเย็นชาสุดขีดขึ้นมาจากพื้นทันที จากนั้นก็ใช้กำปั้นที่แข็งแกร่งเขกหัวเขา ด่าทออย่างรุนแรงด้วยความเดือดดาล
ท่าทีของหลิงหลานทำให้บุคลิกเย็นชาสุดขีดตกอยู่ในสภาพตะลึงงันไปทันที บางทีการกระทำแบบมังกรพ่นไฟเช่นนี้ไม่อาจทำความเข้าใจได้ในโลกของเขา…คนเจ็บคือเขาไม่ใช่เหรอ? ทำไมฝ่ายตรงข้ามถึงเดือดดาลขนาดนี้ล่ะ? บางทีเขาอาจจะถูกหลอกมาตั้งแต่แรกแล้ว ความจริงแล้วความรู้สึกของอีกฝ่ายที่มีต่อบุคลิกหลักคือความจริงใจ อีกฝ่ายไม่อยากลงมืออย่างเหี้ยมโหดเลย?
บุคลิกเย็นชาสุดขีดสัมผัสได้ถึงอาการบาดเจ็บของตัวเอง เขาคิดว่าการตัดสินใจของเขาถูกต้องแล้ว เดิมทีเขาควรจะหมดอาลัยตายอยาก เพราะเขาถูกฝ่ายตรงข้ามหลอกลวงจนไม่อาจคว้าโอกาสนี้ไว้ได้ แต่ไม่รู้ทำไม ในใจเขากลับผ่อนคลายมาก ราวกับว่าแบบนี้ถึงจะถูกต้องแล้ว
สายตาที่ตกตะลึงของบุคลิกเย็นชาสุดขีดไม่ได้ย้ายออกไปจากดวงหน้าของหลิงหลานเลย แต่หลิงหลานที่กำลังเดือดดาลหมดความอดทนแล้ว เธอถลึงตากล่าวอย่างโมโหว่า “มองอะไร นายแม่งยอมจำนนหรือยัง?”
“….” บุคลิกเย็นชาสุดขีดเงียบไป เขาถูกเขกหัวอยู่ในมืออีกฝ่าย เขายังไม่ยอมจำนนได้อีกเหรอ?
หลิงหลานเห็นท่าทีให้ความร่วมมือของบุคลิกเย็นชาสุดขีดก็อารมณ์ดีขึ้นเล็กน้อย เธอตบศีรษะของลั่วล่างเบาๆ ฉับพลัน กล่าวว่า “ถ้าทำแบบนี้แต่แรก ก็ได้แล้วไม่ใช่เหรอ” บางทีหลิงหลานอาจจะสังเกตเห็นสีหน้าหมดกำลังใจของบุคลิกเย็นชาสุดขีดเลยกล่าวขึ้นอีกว่า “อีกอย่าง ฉันเป็นลูกพี่ของนาย แพ้ให้ลูกพี่มีอะไรน่าหดหู่ใจกัน ไม่มีความก้าวหน้าเลยจริงๆ”
เขาไม่มีความก้าวหน้าเหรอ? เขาดีกว่าบุคลิกหลักนิดหน่อยมาตลอดเถอะ…บุคลิกเย็นชาสุดขีดอดนิ่วหน้าไม่ได้ เขาไม่ยอมรับคำวิจารณ์นี้ “แต่บุคลิกหลักอ่อนแอแบบนี้จะไม่โดนลูกพี่ดูถูกมากกว่าเดิมเหรอ?” บุคลิกเย็นชาสุดขีดเริ่มกังวลตำแหน่งของบุคลิกหลักในสายตาของลูกพี่โดยไม่รู้ตัว
“ตอนนี้ให้บุคลิกหลักออกมาเถอะ” หลิงหลานต่อยอีกครั้ง ซัดความรู้สึกห่อเหี่ยวใจของบุคลิกเย็นชาสุดขีดจนกระเด็นลอยไป บุคลิกเย็นชาสุดขีดไม่อยากทนรับกำปั้นของลูกพี่อีกต่อไปแล้ว ได้แต่เชื่อฟังปล่อยให้บุคลิกหลักออกมา
“ลูกพี่ นายจัดการบุคลิกอีกอันแล้วเหรอ?” เมื่อลั่วล่างออกมาก็เอ่ยด้วยความยินดี ลั่วล่างปราบบุคลิกครั้งแล้วครั้งเล่าก็รู้สึกว่าตัวเองแข็งแกร่งขึ้น เมื่อใช้พรสวรรค์ก็รู้สึกว่าทำได้ราบรื่นแล้ว
“ใช่แล้ว ยินดีด้วยที่นายหลุดพ้นจากความทุกข์แล้ว” หลิงหลานเห็นลั่วล่างออกมา อารมณ์ที่เดิมทีเดือดดาลก็มีแนวโน้มว่าจะสงบลงอีกครั้ง น้ำเสียงราบเรียบ อารมณ์เย็นชาเหมือนตามปกติ ลั่วล่างที่เป็นบุคลิกหลักไม่ได้สังเกตเห็นความผิดปกติอะไร ส่วนบุคลิกเย็นชาสุดขีดอีกทางด้านหนึ่งกลับรู้สึกได้ถึงความเปลี่ยนแปลงของกลิ่นอายหลิงหลาน เสียงเคร่งขรึมเย็นชาเหมือนเดิม เย็นเยียบเหมือนเดิม แต่เมื่อเทียบกับตอนที่ต่อสู้กับเขาแล้ว มันกลับดูอบอุ่นมาก ที่แท้ต่อให้เป็นท่าทีเย็นชา แต่เมื่อเขาเผชิญหน้ากับบุคลิกที่แตกต่างกันก็จะปฏิบัติคนละแบบเช่นกัน
นี่เป็นครั้งแรกที่บุคลิกเย็นชาสุดขีดเกิดความรู้สึกที่เรียกว่าความอิจฉา เขาอิจฉาบุคลิกหลักที่สามารถได้รับความความรักและความห่วงใยของลูกพี่
ลั่วล่างเป็นเด็กฉลาด เมื่อเขาได้ยินหลิงหลานพูดแบบนี้ก็พลันเอ่ยด้วยความตื่นเต้นยินดีว่า “หาบุคลิกเย็นชาสุดขีดเจอแล้วเหรอ?”
“อื้อ รีบไปปราบสิ ยาปลุกที่นายโดนก็เกือบจะจัดการได้แล้วเหมือนกัน” หลิงหลานกล่าวเรียบๆ
“อย่าพยายามขัดขืนล่ะ สุภาพบุรุษพูดคำไหนคำนั้น” น้ำเสียงของหลิงหลานเปลี่ยนไปฉับพลัน กลายเป็นเย็นชาเคร่งขรึมอย่างผิดปกติ บุคลิกเย็นชาสุดขีดรู้ว่านี่เป็นคำพูดที่เอ่ยกับเขา เป็นบุคลิกเหมือนกัน แต่ว่าปฏิบัติแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง เห็นได้ชัดว่าน้ำเสียงนั้นต่างจากน้ำเสียงเมื่อสักครู่นี้ไปไกลลิบตา…บุคลิกเย็นชาสุดขีดคิดอย่างหดหู่ใจอยู่บ้าง
ลั่วล่างไม่รู้ความคิดของบุคลิกเย็นชาสุดขีดเลย เขาได้ยินคำสั่งของหลิงหลานก็กระโจนเข้าไปหาบุคลิกเย็นชาสุดขีดที่อยู่ด้านข้าง เมื่อเขาแตะโดนอีกฝ่าย บุคลิกหลักก็สัมผัสได้ถึงความแข็งแกร่งของฝ่ายตรงข้าม ไม่มีที่ให้เขาลงมือเลย ได้แต่มองตาปริบๆ เท่านั้น
“โง่เง่าจริงๆ!” บุคลิกเย็นชาสุดขีดเห็นบุคลิกหลักแสดงท่าทีห่วยแตกเช่นนี้ก็ด่าด้วยความดูถูก อย่างไรก็ตาม เขาไม่อยากละเมิดสัญญาที่ตัวเองให้ไว้กับหลิงหลาน ได้แต่บีบพลังจิตของตัวเองอย่างสุดความสามารถ มันเล็กลงเรื่อยๆ จนในที่สุดบุคลิกหลักก็เอาชนะได้แล้ว
บุคลิกทั้งสองเริ่มหลอมรวมกัน บุคลิกเย็นชาสุดขีดรับรู้ทุกสิ่งทุกอย่างของบุคลิกหลักและประสบการณ์ตั้งแต่เด็กจนโตของเขา รวมถึงเพื่อนๆ เหล่านั้นด้วย…
แม่งเอ๊ย บุคลิกหลักอ่อนปวกเปียกโคตรๆ เลย ถ้าเกิดเขาเป็นบุคลิกหลักละก็ ตำแหน่งลูกน้องอันดับหนึ่งของลูกพี่ต้องเป็นของเขาอย่างแน่นอน ไม่ใช่ฉีหลงที่สมองทึมทื่อนั่น…บุคลิกเย็นชาสุดขีดครุ่นคิดด้วยความหงุดหงิด
ครั้งนี้เวลาในการปราบบุคลิกเย็นชาสุดขีดนานกว่าบุคลิกอื่น ฟ้าสว่างแล้ว ในหอต่อสู้เริ่มมีผู้คนมากขึ้น มีบางคนกักตนทำสมาธิ มีบางคนฝึกฝนวิชาต่อสู้ พวกเขาต่างทยอยกันเปิดห้องแล้วเดินออกไป และมีนักเรียนบางคนที่วันนี้ไม่มีวิชาเรียนและไม่อยากเข้าไปในโลกหุ่นรบก็เข้ามาในหอต่อสู้และท้าประลองสักรอบสองรอบ
ในที่สุดดวงตาสองข้างที่หลับสนิทของลั่วล่างก็เปิดขึ้นมา รัศมีเย็นเยียบสายหนึ่งพาดผ่าน หลังจากนั้นก็เห็นลั่วล่างยิ้มขึ้นและกล่าวว่า “ลูกพี่ สำเร็จแล้ว”
“ร่างกายรู้สึกยังไงบ้าง หมายถึงยาปลุกน่ะ…” หลิงหลานเป็นห่วงปัญหาเรื่องนี้มากที่สุด
———————–