“คำพูดอะไร?” ฉีหลงถูหน้าตัวเองโดยพลัน ทันใดนั้นก็ตระหนักได้ว่าคนที่มีนิสัยใจร้อนอย่างเขาได้พบเจอคนที่มีการตอบสนองเชื่องช้าอย่างจีอู๋ปู้ซิวคนนี้คือการทรมานอย่างหนึ่งจริงๆ
“ลูกพี่หลานบอกว่า ถ้าเกิดพวกเรากระจัดกระจายกันออกไป ก็ใช้ชื่อปลอมที่ตกลงกันไว้แล้วตามหาอีกฝ่าย…” ฉางซินหยวนตอบ
“นายบอกว่าลูกพี่หลานจะใช้ชื่อปลอมเหรอ? เป็นไปไม่ได้ ถ้าเกิดลูกพี่หลานลักลอบเข้ามาในฐานที่มั่นซวิ่นหลงแล้วจริงๆ จะต้องใช้สถานะตัวตนของพวกทหารที่ตายไปแน่นอน ไม่อย่างนั้นจะถูกฝ่ายตรงข้ามมองออกได้นะ” ฉีหลงแสดงท่าทีไม่เชื่อเป็นคนแรก หากใช้ชื่อปลอมละก็ ขอเพียงไปตรวจสอบที่คลังข้อมูลก็จะถูกเปิดโปง
“แต่พวกนายบอกว่าลูกพี่หลานคือแฮคเกอร์ที่มีความสามารถเก่งกาจนี่ หรือว่าเขาแก้ไขคลังข้อมูลไม่ได้?” ฉางซินหยวนรู้เรื่องเกี่ยวกับแฮคเกอร์มากนัก ดังนั้นจึงบอกสิ่งที่เขาคิดออกมาทั้งหมด
“คลังข้อมูลจะถูกแก้ไขได้ง่ายแบบนี้ที่ไหนกัน?” ฉีหลงได้ยินคำพูดก็อดหัวเราะพรืดขึ้นมาไม่ได้ ต่อให้เป็นแฮคเกอร์ที่เก่งกาจอีกสักแค่ไหนก็ไม่กล้าเล่นลูกไม้ในออปติคัลคอมพิวเตอร์หลักหรอก
“ไม่หรอก บางทีจีอู๋ปู้ซิวอาจพูดถูก…” หานจี้จวินพลันพูดตัดบทฉีหลง
คำพูดของหานจี้จวินทำให้ฉีหลงเก็บเสียงกลับไปทันใด เขายังคงเชื่อถือการตัดสินใจของเพื่อนสนิทตัวเองมากๆ เขาเลยได้แต่ขยี้จมูกด้วยความจนปัญญา ไม่เอ่ยปากพูดอีก
“ความสามารถด้านแฮคเกอร์ของลูกพี่หลานน่ากลัวมาก ฉันเชื่อว่าทุกคนที่รู้ความสามารถของลูกพี่หลานต่างรู้ข้อนี้ดี” คำพูดของหานจี้จวินทำให้พวกฉีหลงสี่คนผงกศีรษะโดยพลัน เมื่อเทียบกับหลี่ซื่ออวี๋และฉางซินหยวนที่ยังไม่ค่อยรู้มากนักเพราะช่วงเวลาสั้นๆ พวกเขาสี่คนที่เติบโตมาด้วยกันกับหลิงหลานตั้งแต่เด็กๆ รู้ความสามารถด้านแฮคเกอร์ของหลิงหลานดีมาก
“ดังนั้น ใครบอกได้ว่าลูกพี่หลานจะแก้ไขคลังข้อมูลของยานหลักบัญชาการไม่ได้จริงๆ?” หานจี้จวินเอ่ยถึงตรงนี้ แววตาก็สว่างโรจน์ “ฉันเชื่อว่าลูกพี่หลานจะต้องคิดถึงสภาพอับจนของพวกเราอยู่แล้ว เขาจะต้องเพิ่มชื่อปลอมที่เราตกลงกันไว้รวมถึงข้อมูลที่เกี่ยวข้องลงในคลังข้อมูลแน่นอน”
“ถ้าเกิดถึงฐานที่มั่นซวิ่นหลงแล้วมีคนมาตรวจสอบสถานะตัวตนจริงๆ ละก็ ขอเพียงเราบอกสถานะตัวตนปลอมของตัวเองไปก็ได้แล้ว” หานจี้จวินบอกการตัดสินใจของเขาออกมา
“ถ้าหัวหน้าหลานแก้ไขไม่ทันล่ะ…” หลี่ซื่ออวี๋ที่ไม่รู้ความสามารถของหลิงหลานดีได้ยินคำกล่าวก็รู้สึกกังวลใจเล็กน้อย เขารู้สึกว่าวิธีการที่เสี่ยงโชคแบบนี้ดูไม่เหมาะสมอยู่บ้าง
“ในเมื่อไม่ว่าพวกเราจะทำยังไงก็มีโอกาสถูกเปิดโปง ไม่สู้เราเดิมพันกันสักตั้งต่อสู้อย่างหลังชนฝา ฉันเชื่อลูกพี่หลาน” หานจี้จวินตอบกลับอย่างเด็ดขาด
คำพูดของเขาได้รับการเห็นชอบจากพวกฉีหลงสี่คนอย่างยิ่งยวด หลี่ซื่ออวี๋เห็นแววตาเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ของทั้งห้าคนก็ได้แต่เก็บความสงสัยกลับไป ถอนหายใจเฮือกหนึ่งบ่งบอกถึงการตกลง ส่วนฉางซินหยวนก็ไม่มีความเห็นอะไร ช่างพัฒนาหุ่นรบที่สนใจการวิจัยพัฒนาหุ่นรบอย่างเขา ขอเพียงทีมทำการตัดสินใจสุดท้ายแล้ว เขาก็ไม่มีทางมีความเห็นอะไรอีก
หนึ่งวันกับอีกครึ่งคืนผ่านไปเช่นนี้เอง เช้าตรู่ยามตีสาม ยานรบได้มาถึงฐานที่มั่นซวิ่นหลงอย่างปลอดภัย
ฐานที่มั่นซวิ่นหลงที่ได้รับข้อมูลมานานแล้วได้จัดให้บุคลากรทุกคนของยานหลักไปที่ค่ายทหารขนาดใหญ่แห่งหนึ่งตามระเบียบแผน พวกฉีหลงเดินเข้าไปในฐานที่มั่นอย่างเยือกเย็นภายใต้คำบอกของเจ้าหน้าที่ทหารของฐานที่มั่นซวิ่นหลง
พวกเขาแค่ชำเลืองมองสถานการณ์รอบด้านอย่างลวกๆ ไม่กี่ครั้ง ไม่ได้มองไปทั่วๆ อีก แต่สายตาที่มองไปไม่กี่ครั้งนั้นทำให้พวกเขาลอบตกใจ เพราะว่าทุกๆ หนึ่งร้อยก้าวของฐานที่มั่นซวิ่นหลงมีทหารลาดตระเวนอยู่หนึ่งคน ดูเหมือนว่าฐานที่มั่นซวิ่นหลงจะเข้มงวดด้านการป้องกันด้วยกำลังคนอย่างยิ่งยวด
นี่เป็นเรื่องที่หายากยิ่งในกองพลสหพันธรัฐที่พึ่งพาเทคโนโลยีชั้นสูง ควรรู้เอาไว้ว่า ฐานที่มั่นค่ายทหารทั่วไปต่างอาศัยอุปกรณ์กล้องวงจรปิดมองเห็นสามร้อยหกสิบองศาที่ไร้มุมอับสายตาเป็นวิธีการหลักในการเฝ้าระวัง น้อยมากที่จะจัดการป้องกันด้วยกำลังคนมากมายขนาดนี้
ภายนอกของพวกฉีหลงดูเหมือนยังคงไม่มีความเปลี่ยนแปลง แต่ส่วนลึกภายในใจกลับระมัดระวังขึ้นมาแล้ว หากคิดจะตามหาลูกพี่ของตนให้เจอรวมถึงทำภารกิจสุดท้ายให้สำเร็จภายใต้การป้องกันที่เข้มงวดแบบนี้ย่อมไม่ใช่เรื่องง่ายดายแน่นอน พวกเขารู้ดีว่า ยังมีอุปกรณ์เฝ้าระวังตรวจสอบไฟฟ้าที่มองไม่เห็นอีกนับไม่ถ้วนกำลังจับตามองพวกเขาภายใต้การเฝ้าระวังที่เข้มงวดของเจ้าหน้าที่เหล่านี้ ขอเพียงพวกเขาเผยพิรุธออกมาเล็กน้อยก็จะถูกเจ้าหน้าที่เฝ้าระวังของฐานที่มั่นซวิ่นหลงพบเจอ ผลสุดท้ายย่อมเลวร้ายจนไม่กล้าคิด
เนื่องจากเป็นการจัดการชั่วคราว ฐานที่มั่นไม่สามารถจัดที่พักสภาพดีเยี่ยมให้กับผู้รอดชีวิตของยานหลักได้ ไม่ว่าจะเป็นทหารยศไหนก็ต้องอยู่รวมกันสิบคนต่อหนึ่งห้อง แน่นอนว่าทหารชั้นสูงอย่างผู้บัญชาการยานรบไม่ได้มีสภาพแย่ขนาดนั้น
พวกฉีหลงเจ็ดคนถูกจัดให้พักผ่อนอยู่ในห้องร่วมกับคนอื่นอีกสามคน พวกเขาเพิ่งจะพักผ่อนไปได้ไม่กี่ชั่วโมง ยังไม่ได้ฟื้นฟูร่างกายกลับมาโดยสมบูรณ์ก็ถูกปลุกด้วยเสียงเคาะประตู ที่แท้เจ้าหน้าที่พลาธิการของฐานที่มั่นซวิ่นหลงเข้ามาลงทะเบียนข้อมูลของพวกเขาแล้ว
พวกฉีหลงสบตากันเองแวบหนึ่ง หานจี้จวินส่งสัญญาณให้พวกเขาแสร้งหลับต่อไป หนึ่งในสามคนที่เหลือเปิดประตูพลางก่นด่า หานจี้จวินเงี่ยหูฟังบทสนทนาของพวกเขาอย่างละเอียด
พอได้ยินว่ามาลงทะเบียนข้อมูล ท่าทีของคนที่เปิดประตูอ่อนลงเล็กน้อย จากนั้นค่อยบอกข้อมูลของตัวเองออกมาว่า “หยางอีหลง หัวหน้าฝ่ายพลาธิการหน่วยหุ่นรบเหลยกวงของยานหลักจิ่งหลงจากกองยานรบลำเลียงหลงเหอ!”
หลังจากเจ้าหน้าที่ฝ่ายพลาธิการของฐานที่มั่นซวิ่นหลงกรอกข้อมูลลงไปแล้ว ใบหน้าก็เผยรอยยิ้มออกมา รีบทักทายด้วยความเคารพว่า “สวัสดีครับ ร้อยตรีหยาง รบกวนการพักผ่อนของคุณแล้ว ต้องขออภัยด้วยจริงๆ ครับ”
หานจี้จวินค่อยลืมตาขึ้นมา เหลือบมองอินทรธนูของอีกฝ่ายแวบหนึ่ง ที่แท้ยศของคนนั้นคือสิบตรี มิน่าล่ะ ท่าทีถึงได้เปลี่ยนเป็นเคารพนับถือขนาดนี้ สถานะของทหารฝ่ายพลาธิการในฐานที่มั่นเทียบกับสถานะของเจ้าหน้าที่พลาธิการบนยานรบไม่ได้อย่างชัดเจน นี่ก็คือเหตุผลว่าทำไมทหารต่างมุ่งไปเป็นทหารบนยานรบ เพราะว่าจุดเริ่มต้นของพวกเขาสูงกว่ากองกำลังภาคพื้นดินมากนัก
เวลานี้เอง คนอื่นๆ ต่างถูกปลุกขึ้นมาแล้ว พวกเขาทยอยกันขยี้ตาอ้าปากหาว เจ้าหน้าที่ฝ่ายพลาธิการเห็นดังนั้นก็เดินไปที่หน้าเตียงซึ่งอยู่ใกล้กับหน้าประตูมากที่สุด คนที่นอนอยู่ตรงนั้นก็คือฉางซินหยวนนี่เอง ฉางซินหยวนกำลังขยี้ตา พอเห็นแบบนั้นฝ่ามือก็หลั่งเหงื่อออกมา มือที่ขยี้ตาอดแข็งทื่อเองไม่ได้
หานจี้จวินที่นอนอยู่ด้านในเตียงเดียวกับฉางซินหยวนเห็นแบบนั้นก็รีบหาวพลางกล่าวว่า “ลงทะเบียนให้ฉันก่อนเถอะ ทำเสร็จเร็วก็ได้พักผ่อนเร็ว”
เจ้าหน้าที่ฝ่ายพลาธิการซวิ่นหลงเห็นดังนั้นก็รีบเดินขึ้นหน้าหลายก้าวมาถึงหานจี้จวิน
“ฉันคือจี่อิงหลง สมาชิกหน่วยหุ่นรบหมายเลขห้าของหน่วยหุ่นรบชีตาห์จากยานหลักจิ่นหลงของกองยานรบลำเลียงหลงเหอ” หานจี้จวินบอกข้อมูลที่พวกเขาตั้งไว้ในตอนแรกออกมาอย่างใจเย็น สาเหตุที่แสร้งนอนหลับตั้งแต่ต้นก็เพราะอยากให้ อีกสามคนลงทะเบียนก่อน เช่นนั้นเขาถึงค่อยรู้ได้ว่าชื่อของยานหลักลำนั้นคืออะไร ในสายตาของทหารทางการของยานรบเหล่านี้ไม่เห็นว่ามันเป็นความลับอะไร แต่สำหรับพวกเขาที่เป็นคนนอกแล้ว พวกเขาไม่รู้เลยจริงๆ นอกจากนี้เขาก็อยากรู้ให้แน่ชัดว่าตอบอย่างไรถึงจะนับว่าเป็นคำตอบมาตรฐาน
เมื่อมีคำตอบของหยางอีหลง หานจี้จวินก็รู้แล้วว่าตัวเองควรจะตอบอย่างไร
คำตอบของหานจี้จวินทำให้หยางอีหลงหัวหน้าฝ่ายพลาธิการหน่วยหุ่นรบเหลยกวงจากยานหลักจิ่นหลงเช่นเดียวกันตะลึงงัน เขามองยังหานจี้จวินด้วยความแปลกใจ แต่ก็ปฏิบัติตามกฎอย่างระมัดระวัง ไม่ได้เอ่ยปากสอบถามออกมา เขาเองก็ไม่สามารถแน่ใจได้ว่ายานหลักของเขามีหน่วยหุ่นรบที่ฟังดูไม่คุ้นหูนี้หรือว่าไม่มีกันแน่
เจ้าหน้าที่ฝ่ายพลาธิการซวิ่นหลงได้รับคำตอบของหานจี้จวินแล้วก็กรอกข้อมูลเหล่านี้ลงไปในระบบสอบถามของฐานที่มั่นซวิ่นหลง จากนั้นค่อยเอ่ยด้วยความเคารพว่า “ร้อยโทจี่ สวัสดีครับ”
หานจี้จวินเห็นแบบนี้ค่อยทักทายกลับอย่างเฉยชาเท่านั้น ทว่าในใจกลับร้อง YES ดังลั่น ลูกพี่หลานแก้ไขคลังข้อมูลแล้วจริงๆ ด้วย ไม่อย่างนั้นอีกฝ่ายคงไม่มีทางตอบรับเช่นนี้ ยิ่งไปกว่านั้นนี่ยิ่งยืนยันได้ว่าลูกพี่หลานรอดชีวิตจากในคลื่นพายุสนามแม่เหล็กได้ตามที่คาดไว้ นอกจากนี้ยังมาถึงฐานที่มั่นซวิ่นหลงได้อย่างปลอดภัยไม่ประสบปัญหาใดๆ
คนอื่นๆ เห็นหานจี้จวินผ่านด่านไปได้อย่างราบรื่น ในใจก็สงบลง และคำตอบของหานจี้จวินก็ทำให้พวกเขารู้ว่าควรจะพูดอย่างไร
หลี่ซื่ออวี๋กับฉางซินหยวนเห็นหานจี้จวินผ่านด่านได้อย่างปลอดภัยจริงๆ ในใจก็แอบพูดไม่ออก มีความเข้าใจใหม่เกี่ยวกับความสามารถด้านแฮคเกอร์ของหลิงหลานแล้ว
เดิมทีฉางซินหยวนนับถือความสามารถด้านการควบคุมหุ่นรบของหลิงหลาน ตอนนี้เขายิ่งชื่นชมความสามารถด้านแฮคเกอร์ของหลิงหลานเข้าไปอีก เขาที่เดิมทีไม่ได้มีความหวังเกี่ยวกับผลลัพธ์ของภารกิจนี้มากเท่าไหร่ เริ่มมีความมั่นใจแล้ว ไม่แน่ว่าบางทีพวกเขาอาจจะสำเร็จภารกิจระดับ SSS ที่ไม่เคยมีใครทำสำเร็จมาก่อนในประวัติศาสตร์ได้จริงๆ…ฉางซินหยวนคิดถึงตรงนี้ หัวใจพลันเต้นกระหน่ำหลายครั้ง แต่เขาก็ข่มกลั้นความคิดแบบนี้ลงไปอย่างรวดเร็ว
ฉางซินหยวนแอบยิ้มเจื่อน การอยู่กับเด็กหนุ่มที่เป็นลูกวัวเพิ่งเกิดไม่กลัวเสืออย่างพวกฉีหลงทำให้เขาเริ่มหมดความเยือกเย็นไปโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว ไม่นึกเลยว่าเขาจะมีความคิดเพ้อฝันแบบนี้ได้เหมือนกัน…แต่ถ้าเกิดเป็นจริง ถ้าเป็นความจริง…ฉางซินหยวนสูดลมหายใจลึกเฮือกหนึ่ง โยนความคิดสับสนออกไปให้พ้นจากสมองอย่างเด็ดขาด เขารู้ดีว่าภารกิจเพิ่งจะเริ่มต้น ความยากที่เข้มงวดกวดขันยิ่งกว่านี้ยังคงอยู่ช่วงท้าย
ส่วนหลี่ซื่ออวี๋ก็ได้เห็นหลิงหลานตรงๆ เป็นครั้งแรก หลิงหลานที่เดิมทีเป็นคนหน้าด้านไร้ยางอาย ชอบใช้วิธีการสกปรกในใจเขาเริ่มมีภาพลักษณ์ในแง่ดีแล้ว อย่างที่คิดไว้เลย การที่อีกฝ่ายสามารถกลายเป็นลูกพี่ได้ต้องมีความสามารถที่เป็นเอกลักษณ์ของเขา…
หลังจากที่เจ้าหน้าที่ฝ่ายพลาธิการซวิ่นหลงยืนยันข้อมูลทุกคนแล้วว่าไม่มีปัญหาก็ออกไปจากห้อง เวลานี้เองหยางอีหลงถามฉีหลงเสียงดังว่า “ร้อยเอกหลัว (ชื่อปลอมของฉีหลงคือ หลัวอิง) คิดไม่ถึงว่าคุณจะเป็นสมาชิกหมายเลขสองของหน่วยหุ่นรบชีตาห์ นั่นเป็นไพ่ราชาของหน่วยรบเลยนะครับ”
โดยทั่วไปแล้ว หมายเลขหนึ่งคือหัวหน้าทีม หมายเลขสองคือไพ่ราชาหลักของหน่วยรบ หมายเลขสามคือไพ่ราชารองของหน่วยรบ หมายเลขสี่คือผู้ควบคุมหุ่นรบกำลังสำคัญ หมายเลขห้าลงไปก็ไม่มีข้อกำหนดแล้ว มีความเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นสมาชิกฝ่ายพลาธิการ และก็มีความเป็นไปได้สูงว่ายังคงเป็นผู้ควบคุมหุ่นรบกำลังสำคัญ ถึงแม้หยางอีหลงรู้สึกว่าชื่อหน่วยหุ่นรบชีตาห์นี้ไม่คุ้นหูเอามากๆ แต่เขายังคงแสดงความชื่นชมต่อฉีหลง
ฉีหลงเกาหัวเอ่ยด้วยรอยยิ้มขัดเขินว่า “ผมไม่ใช่ไพ่ราชาหรอก หัวหน้าทีมของเราถึงจะใช่….”
ดวงหน้าซื่อสัตย์จริงใจบวกกับรอยยิ้มนี้ดูเซ่อซ่าอยู่บ้าง ทว่าทำให้คนรู้สึกว่าแสนซื่อสัตย์บริสุทธ์ หยางอีหลงเห็นดังนั้นก็อดเกิดความรู้สึกดีๆ ต่อฉีหลงไม่ได้
หยางอีหลงพูดคุยกับฉีหลงอยู่หลายประโยค เมื่อได้ยินว่าหัวหน้าทีมกับสมาชิกหมายเลขเจ็ดของพวกเขายังไม่รู้ว่าเป็นหรือตาย เขาก็รู้สึกสงสารไม่หยุดทันที ฉีหลงเห็นแบบนั้นก็ทำหน้าแสดงท่าทีโมโห เขาเชื่อว่าหัวหน้าทีมของเขาจะต้องมีชีวิตอยู่แน่นอน การแสดงท่าทีเชื่อมั่นว่าเป็นเรื่องจริงแน่นอนของฉีหลงทำให้หยางอีหลงยิ่งชื่นชมฉีหลงมากขึ้น ความสงสัยที่อยู่ในใจแต่เดิมค่อยๆ หายไปอย่างไร้ร่องรอยทีละนิดตามการแสดงออกของฉีหลง
หานจี้จวินเห็นถึงตรงนี้ค่อยพรูลมหายใจเบาๆ ตอนที่เขาตอบนั้นก็กังวลว่าชื่อหน่วยรบที่ไม่คุ้นเคยนี้จะทำให้สมาชิกของยานหลักเหล่านี้เกิดความสงสัยขึ้นในใจ ยังดีที่รูปลักษณ์ภายนอกของฉีหลงหลอกลวงคนได้ง่ายมาก อย่างน้อยที่สุดดูจากท่าทีของหยางอีหลงในตอนนี้ เขาไม่ได้สงสัยแล้ว
—————————–